ชายแดนแห่งชาติ:สำนวนจากรัฐกั มพูชา บนกรณีความขัดแย้ งปราสาทเขาพระวิหาร
Posted: 26 Dec 2016 07:55 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
บทความของ Kimly Ngoun ว่าด้วย การบรรยายเรื่องชายแดนแห่งชาติ: สำนวนจากรัฐกัมพูชา และ วาทกรรมที่เป็นที่นิยมในเหตุ การณ์ความขัดแย้งปราสาทเขาพระวิ หาร บทบาทของปราสาทเขาพระวิ หารโดดเด่นขึ้นภายใต้ห้ วงเวลาแห่งความขัดแย้ง กรณีพิพาทระหว่างไทยกับเขมร นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่ างไพศาลต่อประเทศกัมพูชา ทั้งรัฐและประชาชนต่างได้รั บผลกระทบจากข้อพิพาทนี้ทั้งสิ้ น ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งได้ ก่อให้เกิด กระแสชาตินิยมขึ้นในทั้งกัมพู ชาและไทย รัฐต่างพยายามสร้างบทบาทของตนขึ้ นภายใต้สถานะของผู้ที่กำลังปกป้ อง“เขตแดน” ทั้งที่ในช่วงก่อนหน้าจะเกิ ดเหตุกรณีพิพาทนี้ รัฐบาลกัมพูชาแทบไม่ได้ให้ ความสำคัญบริเวณโดยรอบ และกับปราสาทเขาพระวิหารเลย แต่ภายหลังจากการได้รับชั ยชนะบนเวทีศาลโลก บริเวณโดยรอบปราสาทเขาพระวิ หารกลับถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ ว ดูราวกับว่า “...ปราสาทเขาพระวิหารหลังได้รั บคำตัดสินให้ตกเป็นของกัมพูชา จะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งชั ยชนะและความภาคภูมิใจของเขมร…”[ 1]
อย่างไรก็ตาม การที่ถูกมองว่าปราสาทเขาพระวิ หารนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และความภาคภูมิใจ ก็เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่กลุ่ มชนชั้นนำเขมรได้สร้างขึ้น หลังจากที่ไม่เคยยิ่งใหญ่อี กเลยนานนับ 500 ปี[2] กองจมอยู่บนการถูกกดขี่ระหว่ างสองชาติเพื่อนบ้าน หรืออีกมุมหนึ่งก็เป็นเสมื อนโอกาส รัฐบาลเองก็ตระหนักถึงความไม่มั่ นคง เพราะถูกจับตามองและตำหนิว่าเป็ นผู้ขายชาติให้กับเวียดนาม ฉะนั้นกรณีพิพาทจึงเสมือนเป็ นโอกาสที่ให้รัฐบาลได้หยิ บฉวยไปใช้ในฐานะ “ผู้ปกป้องเขตแดน” และนำมาซึ่งการเดินหน้าสู่ การใช้นโยบายสร้าง “ชาติ” ของรัฐ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อว่ารั ฐบาลกัมพูชา ได้พยายามสร้างความเป็นหนึ่งเดี ยวแก่ “คนในชาติ” โดยใช้กรณีเขาพระวิหาร แต่หากมองในบริบทท้องถิ่นแล้ว กรณีพิพาทเขาพระวิหารได้ นำเอาความเปลี่ยนแปลงอย่าง มหาศาลมาสู่คนชายขอบในจังหวั ดพระวิหาร ทั้งผู้อยู่อาศัยใหม่และเก่า ชาวบ้านเดิม และผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ ตำรวจ ทหาร และชนพื้นเมืองชาวกูยในที่ราบสู ง ซึ่งมองว่า “ชาติ” พัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วภายหลั งเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา จากพื้นที่ป่ารกชัฏอดีตที่มั่ นสุดท้ายเขมรแดงสู่ที่โล่งมากผู้ คน คับคั่งคาสิโนทัวร์ท่องเที่ยว และต่างนิยามตัวเองเป็นส่วนหนึ่ งของชาวกัมพูชาเพื่อรั บผลประโยชน์ที่พึงได้จากรัฐ ยังผลมาซึ่งปัญหาการแย่งพื้นที่ ดำรงชีวิตของคนที่อยู่เก่าและผู้ มาใหม่ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงนโยบายการสร้างชาติ ของรัฐ ที่ไม่สามารถอธิบายให้ง่ายต่ อความเข้าใจได้ว่า ทำไปเพื่อ “ปกป้อง หรือไม่ปกป้องชายแดน” หรือ “เป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกับไทย” แต่กระทำไปบนความเข้าใจที่ง่ ายต่อชนชั้นนำและคนกลุ่มอื่ นๆในพื้นที่โดยรอบเท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้ใช้ข้อพิ พาทชายแดนในการเล่าเรื่ องของชาติ และสะท้อนออกมาในรูปแบบที่ซับซ้ อน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเด็นสำคั ญของบทความนี้ นอกจากแสดงให้เห็นว่า รัฐพยายามนำเอากรณีพิ พาทเขาพระวิหาร มาสร้างความเป็นชาติ สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดี ยวกันให้แก่คนกัมพูชาแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่ าปราสาทเขาพระวิหารนั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางกระแสแห่ งความหลากหลายที่กำลังเปลี่ ยนแปลงและดำรงอยู่รายรอบ อันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่ อมโยงกันระหว่างรัฐและประชาชน ที่ต่างให้ความหมายแก่ ปราสาทเขาพระวิหารที่แตกต่างกั นออกไป แต่เชื่อมโยงกันได้ภายใต้ ความเป็นชาติกัมพูชา โดยผู้เขียนขอหยิบยกมาอธิบายเพี ยงประเด็นที่เห็นได้เด่นชัดที่ สุดคือ ประเด็นที่ว่าด้วย “การตระหนักถึงสำนึกความเป็ นชาติที่เกิดขึ้ นบนความหลากหลายภายใต้กรณี เขาพระวิหาร”
การตระหนักถึงชาติเกิดขึ้ นในหลากหลายมุมมอง ดังที่บทความนี้ได้หยิบยกผ่ านสำนวนของผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง ต่างก็มีมุมมองต่อชาติที่แตกต่ างกันออกไป ดังกรณีที่ผู้เขียนจะยกตัวอย่ างนี้เพื่อประกอบคำอธิบายว่ าชาติในที่นี้คืออะไร “คุณทำอย่างไรเมื่อลูกคุณป่วย?” เธอตอบว่า “ฉันพาเขาไปหาหมอ” เมื่อถามว่าทำไมเธอไม่ใช้ ยาแผนโบราณหรือพิธีกรรมรักษา เธอตอบว่า “ฉันเคยเห็นบางคนในหมู่บ้ านตายจากการบำบัดดังกล่าว”[3]คำ สัมภาษณ์หญิงสาวชาวกูย ที่อาศัยอยู่ในป่าได้สะท้อนให้ เห็นสำนึกต่อความเป็นชาติกัมพู ชา สังเกตได้ว่าเธอเลือกที่จะเข้ าถึงบริการสาธารณสุขของรัฐ(กั มพูชา) มากกว่าการอยู่กับความเชื่ อแบบรากเหง้าเดิม นี่ก็เป็นหนึ่งในการตระหนักถึ งชาติเช่นกัน เพราะเธอเลือกที่จะนิยามตั วเองเป็นส่วนหนึ่งของชาวกัมพูชา เพื่อรับผลประโยชน์ที่พึงได้ จากรัฐ ถึงแม้จะขัดแย้งกันกับผู้ที่ อพยพเข้ามาใหม่ก็ตาม กระทั่งคนในพื้นที่จังหวัดพระวิ หารเอง ก็มีการตระหนักถึงความเป็นชาติ เช่นกัน อย่างคำสัมภาษณ์ที่แดกดันรั ฐบาลที่ว่า “ผมต้องขอขอบคุณประเทศไทยที่ก่ อให้เกิดความขัดแย้ง มิฉะนั้น จังหวัดของผมจะต้องถูกปล่อยแยก” [4]ถึงเป็นการตำหนิรัฐบาล แต่ก็เท่ากับยอมรับว่าตนยังเป็ นส่วนหนึ่งของชาติกัมพูชา ภายหลังจากตัดถนนใหม่ และรัฐเข้ามาบริหารอย่างจริงจั งจะพบว่าหลายคนในจังหวัด ดูจะเพิ่มความคล่องตัว การค้า ขนส่ง วิถีชีวิต และท้องถิ่นมีศักยภาพมากขึ้น[5] นับเป็นผลดี แต่กระนั้นก็ตามการแข่งขันก็ทวี สูงขึ้นด้วย ซึ่งหากมองจากสองกลุ่มนี้จะพบว่ าต่างก็มีมุมมองต่อความเป็นชาติ ที่เหมือนกัน แต่การเข้าถึงความเป็นชาตินั้ นต่างกัน ชาติในที่นี้คือกัมพูชา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดยังไงก็ คนกัมพูชา ไม่อาจเป็นอื่นไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วรัฐจะดำเนิ นนโยบายไปเช่นไร ผู้ที่รับผลของนโยบายนั้นก็คื อประชาชนของกัมพูชาเอง ในเมื่อพวกเขาเหล่านี้ต่างยอมรั บผล และดำเนินตามกฎกรอบระเบี ยบของนโยบายรัฐ ย่อมเท่ากับว่าพวกเขาก็เป็นส่ วนหนึ่งของชาตินั้นด้วย
ฉะนั้นการก่อตัวของสำนึกความเป็ นชาติ จึงก่อกำเนิดขึ้นจากตัวของบุ คคลเหล่านั้นเอง การขัดผลประโยชน์ หรือการแสวงหาประโยชน์จากสิ่งนั้ น ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นภายใต้เงื่ อนไขที่ว่า “...เราใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ เป็นโลกที่มีการลากเส้นแบ่ งเขตบนแผนที่อย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงถึงเขตแดนภายใต้ การปกครองของรัฐชาติต่างๆ เรา, คนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้, ต่างถือสัญชาติหนึ่งใดไว้อั นแสดงถึงการสังกัดเป็นพลเมื องของรัฐชาติหนึ่งใด...”[6]จึ งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้ นได้ ในเมื่อเขาพระวิหารเมื่อตกเป็ นของกัมพูชาโดยสมบูรณ์[7]รั ฐบาลกัมพูชาจึงมีสิทธิในการจั ดการเข้าไปพัฒนา ซึ่งการพัฒนาที่ว่า บทความนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงนั ยยะแฝงทางการเมือง ผ่านการใช้ปราสาทเขาพระวิหารเป็ นตัวแทนของ ความภาคภูมิใจและชัยชนะของกัมพู ชา เพื่อใช้เป็นสัญญะของการสร้ างความรู้สึกชาตินิยมร่วม โดยยกเอาเขาพระวิหารเป็นเสมื อนตัวแทนของความภาคภูมิใจและชั ยชนะของกัมพูชาสิ่งที่น่าสั งเกตคือการหยิบยกเอาเขาพระวิหาร มาเป็นตัวแทนของความภูมิใจแห่ งชาติกัมพูชา สามารถสร้างความตระหนักร่ วมของความเป็น“ชาติ”ได้อย่ างแนบเนียนและนิ่มนวล อาจด้วยเหตุที่ว่าเขมรตระหนักถึ งบทเรียนราคาแพง จากความคิดแบบชาตินิยมทางชาติพั นธุ์ ที่พัฒนาไปสู่ความคิดแบบคลั่ งชาติ [Chauvinism] หรือความคิดแบบคลั่งเผ่าพันธุ์ [Ethnocentrism] ที่ถึงขั้นทำลายล้างกลุ่มชนที่ มองว่าเป็นศัตรู[8]ดังกรณี ของเขมรแดง
การกระทำของคนชายขอบ ราวกับดำรงอยู่ภายใต้ ผลของนโยบายที่รัฐได้ส่งมอบให้ และจัดการดำเนินตาม อีกทั้งรัฐบาลเองยั งสามารถดำรงอยู่บนการรับรู้ ของประชาชนที่ว่า รัฐบาลโฆษณาตนว่าเป็นผู้ที่ สามารถรั กษาเขตแดนของประเทศเอาไว้ได้ หวังสร้างความพึงพอใจแก่ประชาชน เพราะฮุนเซนกลัวการลุกขึ้ นมาของประชาชนมากกว่าโรคร้ายที่ คุกคามอยู่[9] ทั้งยังหวังอุดช่องโหว่ ทางการเมืองของตน[10]ซึ่งกำลั งถูกคุกคามจากฝ่ายค้าน CNPP[11] ถึงแม้ว่าก่อนหน้าการได้รับชั ยชนะในศาลโลกของเขมร ไทยก็ยังมีทีท่าที่จะพยายามยั นฝ่ายเขมรไว้อย่างแข็งขัน โดยไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางเดียว ทำให้สถานการณ์ทวีความตึงเครี ยดมากขึ้น และไม่ช่วยให้การเจรจาตกลงระหว่ างไทยและกัมพูชา มีความราบรื่นสมกับที่จะสร้างสั มพันธไมตรีที่ดีต่อกันสืบไป[12] คนชายขอบเหล่านั้นกลับไม่ได้ หวาดกลัวการปะทะกันของทหารเลย[ 13]พวกเขาไม่ได้ห่วงความตึงเครี ยดตามแนวชายแดน บรรดาแม่ค้าในตลาดของเมืองกล่ าวว่า “ในช่วงต่อสู้บริเวณชายแดน ตลาดของเราเปิดเป็นปกติและชีวิ ตในเมืองเป็นไปอย่างปกติ”[14]ซึ่ งมันสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาเหล่ านี้ต่างรับรู้ว่าตนอยู่เหนื อความขัดแย้ง อันเป็นความขัดแย้งในเรื่องที่ คนชายขอบเหล่านั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญมากไปกว่ าการดำรงอยู่ของตน การดำรงอยู่ในฐานะคนในชาติกัมพู ชา ชาตินิยมที่เกิดขึ้นนี้ดูซับซ้ อนและยากที่จะอธิบาย การเกิดขึ้นเสมือนตั้งอยู่บนพื้ นฐานของการดำรงอยู่ ในฐานะของคนในชาติ แต่ไม่ใช่เชื้อชาติ เขาพระวิหารเป็นตัวแทนความภูมิ ใจของคนชั้นนำและรัฐบาล แต่ในทางกลับกันคือสิ่งที่เปิ ดโอกาสให้ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น และการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชี วิตใหม่ หากมองเช่นนี้จะทำให้เห็นว่า เส้นเขตแดนแทบไม่ได้มี ความหมายอะไรต่อตัวของพวกเขา กรณีพิพาทก็เช่นกัน การต่อสู้ตั้งอยู่บนพื้ นฐานของการป้องกั นอาณาเขตของชาติ และเขาพระวิหารก็เป็นเสมือนตั วแปรสำคัญ การหยิบเอาเขาพระวิหารมาเป็นตั วอธิบายถึงความเป็นชาติในแบบฉบั บของรัฐบาล ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินเข้าใจ แต่การประกาศชัยชนะของรัฐบาลที่ มีต่อเขาพระวิหารทำให้เกิดข้ อสงสัยที่ว่า แล้วคนชายขอบเหล่านั้น อยู่บนส่วนไหนของความขัดแย้ง กัมพูชาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกั บไทย เพราะในเมื่ออธิปไตยเหนื อเขาพระวิหารคือชัยชนะของกัมพู ชาที่ชิงกลับไปจากไทย ชาตินิยมที่เกิดขึ้นมันจึงไม่ ได้เกิดบนพื้นฐานที่ว่ารัฐเป็ นผู้จัดการก่อให้เกิดเช่นไร แต่มันเกิดขึ้นบนสำนึกรู้ ของคนในชาติเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องบังคับ การที่รัฐพร่ำโฆษณาถึงชั ยชนะและเกียรติที่ได้จากกรณี เขาพระวิหาร มันจึงไม่ใช่ตัวแทนของความภาคภู มิใจของชาติกัมพูชา แต่เป็นเพียงหมุดหมายให้เห็นถึ งความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้ นภายใต้ขอบขัณฑ์เขาพระวิหารนี้ ดังนั้นข้อมูลทั้งมวลที่ ปรากฏในบทความนี้ จึงเน้นหนักและเพียงพอที่ จะทำให้เห็นถึง ความตระหนักถึงความเป็นชาติ ที่กำเนิดเกิดจากตัวบุคคลไม่ใช่ เกิดโดยรัฐ และเกิดขึ้นบนความหลากหลายไม่ ใช่เกิดบนชาติเชื้อเดียว และทั้งหมดนี้คือคำอธิบายประเด็ นที่ว่าด้วย “การตระหนักถึงสำนึกความเป็ นชาติที่เกิดขึ้ นบนความหลากหลายภายใต้กรณี เขาพระวิหาร”
ในส่วนท้ายนี้ผู้เขียนมีข้ อเสนอเล็กน้อย เพราะเห็นถึงคุณค่าแก่การศึ กษาในภายภาคหน้า บทความนี้ถือเป็นหนึ่งในบทความ ที่สะท้อนให้เห็นการศึ กษาบทบาทของคนผู้อยู่ข้างล่ างของสังคม คนชายขอบของประเทศ อันถือเป็นแนวทางการศึกษาใหม่ ผู้เขียนเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ าการศึกษาประวัติศาสตร์ จากมุมมองของฐานแห่งพีระมิดชนชั้ น ย่อมทำให้เราพบเส้นทางการศึ กษาใหม่ เส้นทางที่จะนำพาไปสู่ความรู้ ความเข้าใจประวัติศาสตร์จากอี กมุมมองหนึ่ง งานเขียนเรื่องเรย์ อิเลโต้ โดยทวีศักดิ์ เผือกสม ก็เป็นอีกหนึ่งในชิ้นงานที่ทำขึ้ นเพื่อเป็นหมุดหมายแก่นักเรี ยนประวัติศาสตร์ เพื่อบอกแก่ผู้ชนว่าประวัติ ศาสตร์ฟิลิปปินส์ก็หลุ ดออกมาจากกรอบของบูรพคดีศึ กษาได้เช่นกัน[15] ซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์จากผู้ ที่อยู่ข้างล่าง จะทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นตั วตนมากขึ้น บทความเกี่ยวกับกัมพูชาชิ้นนี้ ถือได้ว่าเป็นเสมือนหนึ่ งในแนวทางอันดีที่สะท้อนให้เห็น เส้นทางแห่งการแสวงหาและเขี ยนประวัติศาสตร์จากมุ มมองของคนผู้อยู่ข้างล่าง ถึงแม้ว่าหลักฐานจะเป็นของชนชั้ นนำก็ตาม แต่เราเลือกที่จะแสวงหาร่องรอย และแซะร่องแทรกตั วออกมาจากกรอบของประวัติศาสตร์ ชาติแบบชนชั้นนำ ด้วยงานของพวกเขา และนำพาประวัติศาสตร์ไปสู่มุ มมองใหม่และคำอธิบายเพื่อตัวเรา ดังคำที่ว่าประวัติศาสตร์ คือศาสตร์ที่ศึกษาการกระทำในอดี ตของมนุษย์[16] ไม่ใช่แค่อดีตของวีรบุรุษ หรือการกระทำของรัฐแต่เพียงเท่ านั้น
เชิงอรรถ
[1]Kimly Ngoun . “Narrating the national border: Cambodian state rhetoric vs popular discourse on the Preah Vihear conflict” Journal of Southeast Asian Studies (2016) : 210.
[2] เรื่องเดียวกัน หน้า 217.
[3] เรื่องเดียวกัน หน้า 231.
[4] เรื่องเดียวกัน หน้า 223.
[5] เรื่องเดียวกัน หน้า 221.
[6]บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์, ความเป็นชาติ : รัฐชาติและชาตินิยมในยุคโลกาภิ วัตน์, [ออนไลน์], แหล่งที่มา, http://hadesworld-boonsong. blogspot.com/2013/10/blog- post_6048.html.
[7]นกบินเดี่ยว , เรื่องเล่าเขาพระวิหาร, [ออนไลน์], แหล่งที่มา,
https://nokbindeaw.wordpress. com/2008/07/06/%E0%B9%80%E0% B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8% AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5% E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0% B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8% A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4% E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/.
https://nokbindeaw.wordpress.
[8] บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์, ความเป็นชาติ : รัฐชาติและชาตินิยมในยุคโลกาภิ วัตน์, [ออนไลน์], แหล่งที่มา, http://hadesworld-boonsong. blogspot.com/2013/10/blog- post_6048.html.
[9] นันทเดช เมฆสวัสดิ์ , ทหารเขมร – ไทย ใครยิงใครก่อน, มาจากสาเหตุอะไร, ทำไมรบกันนาน และอนาคตจะเป็นอย่างไร เกี่ยวกับการเมืองไทยหรือไม่ ฯลฯ, [ออนไลน์] สืบค้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559.
[10]สำนักข่าวชายขอบ, เลือกตั้งกัมพูชา”ฮุน เซน”ถูกท้าทาย”สมรังสี”หวังเสี ยงคนรุ่นใหม่, [ออนไลน์] , สืบค้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559
“ถ้าเราดูภาพรวมของประเทศ ประชาชนแค่อยากมีชีวิตที่ดี อยากได้เสรีภาพ ความยุติธรรม แต่ปัจจุบันเราเห็นว่าการปกป้ องเหล่านั้น โดยเฉพาะเรื่องที่ดินทำกินทำได้ ยากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ชาวกัมพูชาต้องช่ วยกันผลักดันระบอบประชาธิ ปไตยให้ดีดว่าเดิม ต้องช่วยกันป้องกันแผ่นดิ นของเราเอง เพราะผู้นำวันนี้ ติดบุญคุณเวียดนามเยอะ ใช้หนี้กันไม่รู้จักหมด เราต้องคัดค้านกันทุกเรื่องที่ ผู้นำเอาที่ดินไปให้สัมปทานแก่ ต่างชาติ และปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบ เพื่อเอาเงินส่วนนั้นมาขึ้นเงิ นเดือนข้าราชการและให้สวัสดิ การประชาชน” นายวน ชัย กล่าว.
“ถ้าเราดูภาพรวมของประเทศ ประชาชนแค่อยากมีชีวิตที่ดี อยากได้เสรีภาพ ความยุติธรรม แต่ปัจจุบันเราเห็นว่าการปกป้
[11] Kimly Ngoun . “Narrating the national border: Cambodian state rhetoric vs popular discourse on the Preah Vihear conflict” Journal of Southeast Asian Studies (2016) : 219.
[12] นิธิ เอียวศรีวงศ์ , นิธิ เอียวศรีวงศ์: อนาคตไทย-กัมพูชาจากคำพิพากษา,[ ออนไลน์], แหล่งที่มา, http://prachatai.com/journal/ 2013/11/49864.
[13]Kimly Ngoun . “Narrating the national border: Cambodian state rhetoric vs popular discourse on the Preah Vihear conflict” Journal of Southeast Asian Studies (2016) : 225.
[14] เรื่องเดียวกัน.
[15]ทวีศักดิ์ เผือกสม, เรย์นัลโด อิเลโต้: ว่าด้วยคนชั้นล่าง ประวัติศาสตร์ชาติ และความรู้แบบอาณานิคม (ฉบับปรับปรุงสำหรับการจัดพิมพ์ , 2558).
[16]นิธิ เอียวศรีวงศ์, ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก(กรุ งเทพ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ,2525) หน้า 8.
แสดงความคิดเห็น