Posted: 16 Aug 2017 01:51 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ฮิวแมนไรท์วอทช์ แถลงเรียกร้องให้ทางการไทยถอนฟ้องทันที หลัง ตร.ออกหมายเรียก 5 นักวิชาการ-น.ศ. ฝืนคำสั่งชุมนุมทางการเมือง ปมกิจกรรมชูป้ายข้อความว่า “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร” ในงานไทยศึกษา


ภาพชูป้ายที่มีข้อความ “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร” ที่มาภาพ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง - คนส.

16 ส.ค. 2560 จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกนักวิชาการและนักศึกษา 5 คน ประกอบด้วย ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และยังเป็นประธานกรรมการและประธานฝ่ายวิชาการจัดงานประชุมไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่ จ.เชียงใหม่เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกคือ ธีรมล บัวงาม นักศึกษาปริญญาโท คณะการสื่อสารมวลชน มช. และยังเป็นบรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม, ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลและนักเขียนอิสระ, ชัยพงษ์ สำเนียง นักศึกษาปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มช. และนลธวัช มะชัย นักศึกษาปริญญาตรีคณะการสื่อสารมวลชน มช. ซึ่งเป็นหมายเรียกจากสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ลงวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 เรื่องการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคสช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากกรณีเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในการประชุมวิชาการไทยศึกษาเมื่อเดือนที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุด ฮิวแมนไรท์วอทช์ แถลงเรียกร้องให้ทางการไทยถอนฟ้องในคดีดังกล่าว โดยทันที

“การเซ็นเซอร์ของรัฐบาลและการสอดแนมข้อมูลของกองทัพ ไม่ควรปรากฏขึ้นในที่ประชุมวิชาการ” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว พร้อมระบุด้วยว่า การดำเนินคดีต่อผู้จัดการประชุมและผู้เข้าร่วม แสดงให้โลกเห็นว่ารัฐบาลทหารไทยดูถูกอย่างยิ่งต่อเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพด้านอื่นๆ
แถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุด้วยว่านับแต่ยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เน้นย้ำว่า การแสดงความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางสังคม ทางการมักใช้กำลังเพื่อสั่งให้ยกเลิกการประชุมตามหมู่บ้าน การอภิปรายทางวิชาการ การสัมมนาในประเด็นต่าง ๆ และเวทีสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการแสดงความเห็นต่างต่อนโยบายของคสช. หรือต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

บ่อยครั้งที่ทางคสช.ใช้อำนาจตามคำสั่งห้ามชุมนุมสาธารณะของบุคคลกว่าห้าคนและคำสั่งอื่น ๆ เพื่อเข้าแทรกแซงและปราบปราม โดยเป็นคำสั่งที่ห้ามไม่ให้สาธารณะวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบอบปกครองของทหารไม่ว่าแง่มุมใด รัฐบาลทหารมองว่าบุคคลที่มักออกมาแสดงความคิดและความเห็นต่าง หรือแสดงความสนับสนุนต่อรัฐบาลพลเรือนที่ถูกขับไล่ออกจากอำนาจ ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ และมักใช้อำนาจตามกฎหมายต่าง ๆ เพื่อจับกุมและดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านั้น

แถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุอีกว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นักกิจกรรม นักการเมือง ผู้สื่อข่าว และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายพันคน ได้ถูกจับกุมและนำตัวเข้าไปในค่ายทหารทั่วประเทศไทย เพื่อทำการสอบสวนในฐานะปรปักษ์กับรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการแสดงความเห็นต่าง และเป็นการบังคับให้บุคคลเหล่านั้นเปลี่ยนทัศนคติทางการเมือง หลายกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ทางภาคเหนือของไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

บุคคลที่ได้รับการปล่อยตัวจากการสอบสวน ซึ่งทางคสช.เรียกว่า “การปรับทัศนคติ” มักถูกบังคับให้ต้องลงชื่อในสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุว่าจะยุติการแสดงความเห็นทางการเมืองใด ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง หรือไม่ดำเนินการใด ๆ อันเป็นการต่อต้านระบอบปกครองของทหาร หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ถูกควบคุมตัวอีกครั้ง หรือถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดคำสั่งคสช. ซึ่งอาจมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี คุ้มครองสิทธิของบุคคลที่จะมีเสรีภาพด้านความเห็น การแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม ทางคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติซึ่งดูแลการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights) ซึ่งไทยให้สัตยาบันรับรองเช่นกัน ได้เคยเสนอแนะต่อรัฐบาลว่า เสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิทธิด้านการศึกษา ครอบคลุมถึง “เสรีภาพของบุคคลที่จะแสดงความเห็นอย่างเสรี เกี่ยวกับสถาบันหรือระบบที่ตนทำงานอยู่ด้วย รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือความหวาดกลัวต่อการปราบปรามจากรัฐหรือหน่วยงานอื่นใด ความสามารถที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรทางวิชาการหรือหน่วยงานด้านวิชาชีพอื่นใด และการได้รับความคุ้มครองต่อสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่นเดียวกับบุคคลอื่นที่อยู่ในเขตอำนาจศาลเดียวกัน”

“นักวิชาการทั่วโลกควรร่วมกันเรียกร้องให้มีการถอนฟ้องข้อหาที่กุขึ้นมานี้ต่อศาสตราจารย์ชยันต์ และผู้เข้าร่วมการประชุมอีกสี่คนโดยทันที” อดัมส์ กล่าวพร้อมระบุด้วยว่าประเทศไทยกำลังเผชิญอนาคตที่มืดมน หากมีการเซ็นเซอร์การแสดงความเห็น มีการลงโทษต่อการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการ และมีการสั่งห้ามการอภิปรายทางการเมืองแม้แต่ในเขตมหาวิทยาลัย

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.