27 ส.ค.60 รายงานข่าวจากฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยถึงเบื้องหลังการเดินทางออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีคำตัดสินคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น ฝ่ายความมั่นคงได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ให้ติดตามความความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาโดยตลอด

จนกระทั่ง วันที่ 23 ส.ค.60 หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทำบุญที่บ้านพักในซอยโยธินพัฒนา3 เสร็จแล้ว และเดินทางไปทำบุญกราบไหว้สมเด็จโตที่วัดระฆังฯ ทางฝ่ายความมั่นคงได้ติดตามความเคลื่อนไหว และช่วงเย็นทราบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าไปพักผ่อนที่โรงแรมชื่อดังย่านทาวน์ อิน ทาวน์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ติดตามเฝ้าดูอยู่เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ช่วงกลางดึกได้มีคำสั่งจากผู้ใหญ่ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ประสานกับตำรวจท้องที่ เพื่อเตรียมแผนเข้าบล็อกตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โรงแรมดังกล่าว หลังจากมีข่าวเข้ามาค่อนข้างชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เตรียมเดินทางออกนอกประเทศ

หลังจากประชุมเสร็จ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จึงเดินทางไปยังโรงแรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าพัก ในเวลาเกือบ 03.00 น. แต่เมื่อไปถึงทราบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางออกจากโรงแรมไปเมื่อเวลา 02.00 น.เศษ โดยคาดเคลื่อนกันราว 30 นาที หลังตรวจสอบไม่พบตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เจ้าหน้าที่จึงเดินทางกลับ

แหล่งข่าว เผยว่า จากการตรวจสอบทราบว่า ทันทีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากโรงแรมก็ได้เดินทางโดยรถยนต์มุ่งหน้าสู่ จ.ตราด โดยมีรายงานว่าเมื่อไปถึง จ.ตราด แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับความช่วยเหลือนำทางไปลงเรือเดินทางเข้าสู่เกาะกง เพื่อไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่ถูกจัดเตรียมรอไว้ล่วงหน้าอย่างลับๆ ก่อนบินเข้าประเทศกัมพูชาเพื่อขึ้นเครื่องบินพาณิชย์บินเข้าสู่ประเทศสิงคโปร์ โดยมี ดร.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย นำเครื่องบินส่วนตัวมาจอดรอรับก่อนบินเข้านครรัฐดูไบ

“การตัดสินใจหนีออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้ ได้รับคำสั่งจาก ดร.ทักษิณ ที่เตรียมแผนการเอาไว้ทั้งหมด หลังมีการวิเคราะห์แนวโน้มทางคดีกันแล้ว และเป็นไปได้ว่าข่าวที่ตำรวจเตรียมจะเข้าไปบล็อกตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็อาจจะรั่วด้วย จึงได้ตัดสินใจหนีไปได้แบบหวุดหวิด ทั้งนี้นอกจาก ดร.ทักษิณจะวางแผนเส้นทางหลบหนีให้แล้ว ยังจัดเตรียมเอกสารและประสานงานกับองค์กรต่างประเทศเพื่อยื่นขอลี้ภัยในสหราชอาณาจักรให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกด้วย” แหล่งข่าว กล่าว

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.