มติ สปท. เห็นชอบเสนอคำถามพ่วงประชามติ 'รัฐสภาโหวตเลือกนายกฯ ช่วง 5 ปีเปลี่ยนผ่าน'
Posted: 01 Apr 2016 12:32 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศมีมติเห็นชอบเสนอคำพ่วงประชามติ 'ให้รัฐสภาโหวตเลือกนายกฯ ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5ปีหลังประกาศใช้รธน.' ของวันชัย ส่งไปยัง สนช. กษิต อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม ชี้เอื้ออำนาจให้ส.ว.แต่งตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกฯคนนอกได้ 
1 เม.ย.2559 สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)  มีมติ 138 เสียง ให้เสนอประเด็นคำถามหรือความเห็นของ สปท. ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อประกอบการพิจารณาในการเสนอคำถาม ที่สมควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม โดยมติ 136  เสียง เลือก “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่ในระยะ 5 ปีแรก นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากความเห็นชอบของรัฐสภา” เป็น 1 ประเด็นคำถามที่จะส่งไปยัง สนช.

สำหรับประเด็นความเห็นประกอบการตั้งคำถามพ่วงประชามติ ที่ สมาชิก สปท. เสนอเป็นญัตติ มายังวิป สปท. ก่อนเข้าหารือในที่ประชุมวันนี้ เพื่อหาข้อสรุปว่าจะส่งไปยัง สนช.หรือไม่ นั้น   มี 2 ข้อ ได้แก่ 1. หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้และมีรัฐบาลใหม่ให้มีคณะกรรมการปรองดอง มาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เสนอโดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิก สปท.  และ  2. เห็นด้วยหรือไม่ ที่ในระยะ 5 ปีแรก นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้  ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากความเห็นชอบของรัฐสภาเสนอโดยนายวันชัย สอนศิริ  สมาชิก สปท.

อย่างไรก็ตาม  แม้ที่ประชุม สปท. มีมติเห็นชอบกับการส่งความเห็นประกอบการตั้งคำถามพ่วงประชามติไปยัง สนช. แต่ก็มีสมาชิก สปท. ส่วนหนึ่ง ที่เห็นว่า การเสนอความเห็นประกอบการตั้งคำถามพ่วงประชามติ เหมือนเป็นการชี้จุดอ่อนของร่างรัฐธรรมนูญ
กษิต ไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม ชี้เอื้ออำนาจให้ส.ว.แต่งตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกฯคนนอกได้ 
โดย มติชนออนไลน์ รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนเข้าสู่การเสนอญัตติ มีสมาชิกจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่ สปท. ตั้งคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่า สปท.ไม่ได้มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น โดยนายนิกร จำนง สปท. ลุกขึ้นอภิปรายว่า ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 57 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด ที่ส่งมาให้สนช.พิจารณาก็ไม่ได้มีเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ที่สุดก็มีการแก้ไขให้สปท.สามารถตั้งคำถามได้ ด้านหนึ่งก็มองว่าเป็นการให้เกียรติสปท. แต่อีกด้านเห็นว่าอาจทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่จบ เพราะทุกวันนี้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่หากมีคำถามอาจทำให้ต้องกลับไปแก้รัฐธรรมนูญอีกก็ได้ ดังนั้น สปท.อาจจะเป็นเพียงหนังหน้าไฟจากการตั้งคำถาม เพราะเมื่อตอนรัฐบาลส่งความเห็นมาให้กรธ. เพื่อปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป้นความเห็นแม่น้ำ 4 สาย ตนก็เป็นหนึ่งในสมาชิกแม่น้ำสายหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย

ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ สปท. อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม เพราะการตั้งคำถามอาจนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง เพื่อให้คนนอกมาเป็นนายกฯ และมอบอำนาจให้ส.ว.แต่งตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกฯคนนอกที่ไม่ได้เป็นส.ส.ได้ ทั้งที่ในร่างรัฐธรรมนูญระบุแล้วว่าคนนอกสามารถเป็นนายกฯได้ ซึ่งตนคิดว่าควรยึดโยงกับประชาชน โดยการทำประชามติควรมุ่งไปที่เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ จึงอยากขอวิงวอน หากจะทำอะไรก็ควรคิดถึงปัญหาบ้านเมืองในอนาคตด้วย

จากนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวเสนอญัตติว่า ตนได้สอบถามสมาชิกหลายท่านบอกว่า ญัตตินี้เป็นคำถามเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ เพราะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับสังคม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่สร้างความแตกร้าว ที่สำคัญไม่เป็นคำถามที่มีลักษณะในการเปลี่ยนแปลงร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตนคิดว่า ต้องหาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งการยึดอำนาจ และการร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ทั้งสองเรื่องไม่ได้นำไปสู่ประเทศที่เจริญพัฒนา ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความพยายามสร้างความปรองดอง แต่พอมีรัฐบาลเข้ามาก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เมื่อตนดูร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 279 มาตรา ยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีและครอบคลุม แต่สิ่งที่ไม่พบในร่างรัฐธรรมนูญคือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงได้เสนอคำถามนี้ และเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ก็ควรมีการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ หรืออาจจะตั้งชื่ออื่น ๆ ที่เป็นทางการภายหลังก็ได้ โดยตนเสนอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ ให้มีคณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้ดำเนินการ มีหน้าที่ศึกษาปัญหาข้อเสนอแนะต่างๆต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ๆ

ด้าน นายวันชัย กล่าวเสนอญัตติว่า การเสนอญัตติเพื่อประกอบการพิจารณาคำถามประชามติ ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย จะต้องไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเหมือนก่อนเหตุการณ์รัฐประหารเข้ามาอีก ส.ว.สรรหา 250 คน มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้รัฐบาลมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ง่าย ๆ รวมทั้งมีหน้าที่ติดตามการเดินหน้าปฏิรูป ดังนั้น ถ้าส.ว.250 คน มีส่วนร่วมในการหานายกฯ ช่วยการดูว่า นายกฯคนไหนไม่ฉลาด ประวัติไม่ค่อยดี จะทำให้เราคอยช่วยกันดู ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยกันดูแลประคับประคอง ฝ่ายการเมืองที่มาจากภาคประชาชนจะได้เห็นว่า เรื่องการปฏิรูปนั้นสำคัญ เพราะส.ว.สรรหามีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯเข้ามา ดังนั้นญัตตินี้ถือว่า เป็นการแก้วิกฤติของประเทศได้จริง เพราะคนที่จะมาเป็นนายกฯ ถูกเลือกจากคนที่มาจากการสรรหาในหลายวิชาชีพกับฝ่ายเลือกตั้ง โดยร่วมกันดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือเป็นบรรยากาศที่สวยงาม จะทำให้เราได้รับช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรียบร้อย แม้ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอย่างประเทศสากล แต่คำถามนี้คำถามเดียวจะครอบคลุมไปถึงญัตติแรก เพราะถ้าเราร่วมกันก็จะนำไปสู่ความปรองดองได้

จากนั้น ที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย โดยสมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุนญัตติของนายวันชัย อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน และนายเสรี สุวรรณภานนท์ สปท. เพราะเห็นว่าประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แรกจะต้องมีกลไกควบคุมการทำงานของรัฐบาล จึงเห็นว่าการที่ส.ว.มีอำนาจในการดูแลและติดตามการทำงานของนายกฯจะช่วยให้ประเทศเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้ จากนั้น ที่ประชุมได้มีมติว่า ให้ส่งญัตติของนายวันชัยไปยังสนช.เพียงญัตติเดียว ด้วยคะแนน 136 : 3 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 จากนั้น ร.อ.ทินพันธุ์ได้สั่งปิดประชุมในเวลา 18.15 น.


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.