Atukkit Sawangsuk
อันนี้รับจ้างข่าวสด แต่ถ้าไม่รับจ้างนะ เขียนแรงกว่านี้อีก 55 นี่ต้องระวังนิดเพราะข่าวสดมติชนก็โดนเพ่งเล็ง
จริงๆ จะพาดหัวว่า "คำสั่งใหญ่กว่ากฎหมาย" โดยยกกรณี พ.ร.บ.ประชามติ ตัวกฎหมายมันก็แย่อยู่แล้ว แต่การชี้นิ้วโดยรัฐบาลทหาร กลายเป็นคำสั่งที่ตำรวจเอามาใช้ "ทำอะไรก็ผิด"
พรบ.ประชามติ ที่จริงมันต้องยึดหลักเดียวกันกับ พรบ.เลือกตั้งคือห้ามซื้อเสียง ห้ามข่มขู่ คุกคาม ห้ามใช้อำนาจบังคับ เจ้าหน้าที่รัฐต้องเป็นกลาง ฯลฯ ชาวบ้านมีเสรีภาพที่จะบอกว่าเลือกใครเชียร์ใคร
นี่มีอย่างที่ไหน ห้ามรณรงค์ ก็เหมือนห้าม ส.ส.หาเสียง แล้วอำนาจวินิจฉัยดำเนินคดี ก็ต้องเหมือน กม.เลือกตั้งคือเป็นมติ กกต. ไม่ใช่ใครก็แจ้งจับได้ แบบจับประธานกองทุนเพื่อสิทธิเด็กออทิสทิก แจ้งจับปั๊บตำรวจไปลากตัวจากขอนแก่นมาแถลงกลางดึกทันที ทำแบบนี้แม่-ก็มีผู้ต้องหาล้นห้องขัง
ประเด็นนี้ อุดม รัฐอมฤต แย้งสมชัยถูกแล้วว่า ไม่ใช่ใครก็จับได้ ต้องเป็นมติ กกต.
ส่วนกรณีอย่างจีรพันธ์ ตันมณี ก็เป็นการเอาผิดอย่างผิดเพี้ยน ใช่ละ เธอใช้คำหยาบ แต่นั่นคือความผิดหมิ่นประมาทบุคคล มันใช่การล้มประชามติ หรือมีผลชักจูงโน้มน้าวใครซะที่ไหน แต่มันตีความกันจนกว้างไปหมด "ไม่รับ" ได้ แต่ใช้คำว่า "คว่ำ" ไม่ได้ เอ๊ะ มันก็แค่สำนวนที่หมายถึงไม่รับนั่นละ "ชี้นำ" ไม่ได้ "จูงใจ" มีที่ไหน คนเราพูดกันก็ต้องใช้เหตุผลจูงใจ มีแต่พวกพูดออกทีวีไม่มีคนดูสิ ชี้นำจูงใจไม่ได้
ตัวกฎหมายว่าแย่ การตีความของทหารยิ่งแย่กว่า สมชัยบอกว่าให้สัมภาษณ์ได้ โพสต์ fb ส่งไลน์ได้ ติดป้ายยังได้ อ.มหิดลแจกใบปลิวไม่เข้าข่าย แต่ คสช.ยังยืนกรานว่าผิด ถามว่าใครใหญ่กว่าใคร รัฎฐาธิปัตย์สิครับ ฉะนั้นที่สมชัยบอกว่าให้สื่อ ให้มหาลัยจัดเสวนาได้ ก็ไม่มีหลักประกันอะไร คสช.อาจบอกว่าผิด กม.ประชามติ หรือ คสช.อาจจัดการเบ็ดเสร็จไปเลยว่า ขัดคำสั่ง หรือผิด ม.116 แบบจับเพจเรารักประยุทธ์นี่ไง
ประเด็นการจับ 8 คนเพียงเพราะล้อเลียนผิด 116 ยังไม่พูดในบทความี้ แต่ที่พูดคือเรื่องกระบวนการจับกุม และการชี้แจง จะว่าไปพวกทหารนี่ก็เรียกแขกโดยไม่จำเป็นจริงนะ ถ้าจับ 8 คนโดยขอหมายจับหมายค้น (ก็ศาลทหาร ขอยากอะไร) อาจถูกวิจารณ์น้อยกว่านี้ พอจับแล้ว ก็ไม่มีความชัดเจน ตอนแรกบอก พรบ.คอมพ์ แล้ววินธัยยังบอกว่าจะสอบสวนเรื่อง พรบ.ประชามติด้วย อ้าว ใช้อำนาจเลอะไปหมดนี่หว่า ทหารมีอำนาจจับกุมตาม พรบ.คอมพ์ พรบ.ประชามติด้วยหรือ พอตั้งตัวได้ถึงค่อยมาบอก 116
ชัดเจนว่านี่คือประชามติ "ขอเวลาอีก 5 ปี" ที่มาพร้อมการกวาดล้างใหญ่ ซึ่งแน่ละว่าต่อให้รัฐธรรมนูญผ่านออกมาก็ไม่มี "ความศักดิ์สิทธิ์" ให้อ้างแบบปี 50 การปฏิเสธต่างชาติสังเกตการณ์ยิ่งทำให้เป็นมลทิน เมื่ออ้างแบบวิษณุว่า ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ โห ใช่เลย ไม่มีการแข่งขัน มหาดไทยจะใช้ 3 แสนคน "ชี้แจงข้อดี" แต่ อ.คนเดียวแจกใบปลิวไม่รับ กลับจะเอาผิด

000000

กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร แจ้งจับประธานกองทุนเพื่อสิทธิเด็กออทิสติก ฐานโพสต์เฟซบุ๊กผิด พ.ร.บ.ประชามติ ตำรวจไทยโชว์ประสิทธิภาพ จับจากขอนแก่นมาแถลงคืนนั้นทันที แบบนี้ถ้าใครก็แจ้งจับได้ตามที่กกต.สมชัยว่า และถ้าตำรวจฉับไวทุกครั้งที่มีการกล่าวหา ผู้ต้องขังประชามติคงล้นโรงพัก

กระนั้นยังมีข้อสงสัย ใครก็แจ้งจับได้จริงหรือ เพราะอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ.เห็นแย้งกกต.สมชัย ว่าอำนาจวินิจฉัยควรเป็นมติกกต.

กรณีนี้กรธ.น่าจะถูกนะครับ เพราะถ้าเทียบกฎหมายเลือกตั้ง การร้องเรียนคนทำผิดต้องร้องกกต. ไม่ใช่ใครก็ร้องได้ ใครก็จับได้ วุ่นวายไปหมด

กฎหมายประชามติน่าจะอยู่ในหลักเดียวกับกฎหมายเลือกตั้ง คือห้ามซื้อเสียง ห้ามใช้สินจ้างรางวัล ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นกลาง ห้ามให้ร้ายป้ายสี แต่พอร่างมาบังคับใช้ไหง “ห้ามรณรงค์” ซึ่งก็คล้าย “ห้ามหาเสียง” เพียงบอกว่าประชาชนมีเสรีภาพแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ได้โดยสุจริตใจ นอกจากเพิ่มข้อห้ามยังมีการตีความหลากหลาย โดยไม่รู้ใครมีอำนาจชี้ขาดกันแน่

เช่นบอก “ไม่รับ” ได้ แต่ใช้สำนวน “คว่ำ” ไม่ได้ “ชี้นำ” ไม่ได้ “จูงใจ” ไม่ได้ คนเราพูดชี้แจงแสดงเหตุผลก็ต้องหวังผลจูงใจชักนำความคิดไม่ใช่หรือ ถ้าจะผิดก็ต้องจูงใจโดยอามิสสินจ้าง หรือใช้อำนาจบังคับ แม้แต่พูดคำหยาบหรือปลุกระดม ประชาชนคนฟังก็มีสติคิดได้เอง

ยกตัวอย่าง คุณจีรพันธ์ ตันมณี เท่าที่มีสื่อก๊อบข้อความมาลง ก็พบว่าใช้คำหยาบด่ากราดสับสน ตั้งแต่กรธ. คสช. ไปจนยิ่งลักษณ์ ทักษิณ (เธอเป็นเสื้อเหลืองไม่ใช่เสื้อแดง ไม่พอใจเรื่องรัฐสวัสดิการและมาตรา 178) ถามว่าถ้อยคำ อย่างนี้จูงใจใครได้ ถ้าจะผิดก็ฐานหมิ่นประมาท ไม่เห็นต้องถึงขั้นคุก 10 ปี

แต่การตีความตอนนี้สับสนไปหมด โดยแต่ละท่านที่พูดก็มีอำนาจ จนประชาชนไม่รู้จะฟังใครดี กกต.สมชัยบอกโพสต์ เฟซบุ๊กได้ ส่งไลน์ได้ ติดป้ายหน้าบ้านยังได้ สื่อ มหาวิทยาลัย จัดเวทีได้ (แต่ไม่ยักบอกว่าใส่เสื้อ Vote No, Vote Yes ได้ไหม) กรณี อ.มหิดลแจกใบปลิวท่านว่าทำได้ แต่คสช.ยังยืนกรานว่าผิด ชาวบ้านก็งง ไม่รู้ใครมีอำนาจชี้ขาด แต่ที่แน่ๆ กกต.สมชัยยอมรับว่าถึงไม่ผิดพ.ร.บ.ประชามติก็อาจขัดประกาศคำสั่งคสช. ซึ่งกกต.ไม่รับรู้ด้วยนะ ไปเสี่ยงกันเอง

อ้าว พูดอย่างนี้ใครจะกล้าจัดแสดงความเห็นต่าง ขาข้างหนึ่งอาจแหย่เข้าคุก ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์บุกจับประชาชน 10 คน โดยวันแรก โฆษกคสช.พูดให้งงว่าผิดพ.ร.บ.คอมพ์ ส่วนจะผิดกฎหมายประชามติไหม ต้องสอบสวนก่อน จนวันที่สองค่อยไปขอหมายศาลว่าผิดความมั่นคงพร้อมเปิดเผย “ผังล้มรัฐบาล”

ใครผิดใครถูกเป็นอีกเรื่อง แต่หมุนเวลาย้อนไป ถ้าท่านขอหมายศาลก่อน (ก็ศาลทหารนั่นแหละ) จับกุมแล้วรีบแถลงข่าวเปิดเผยข้อกล่าวหา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ประชาชนวิตกกังวลว่าจู่ๆ ทหารบุกบ้านจับคนโดยไม่มีหมายศาล โดยไม่แจ้งข้อหาได้อย่างไร อย่างน้อยก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์น้อยกว่านี้ อย่างน้อยพลเมืองโต้กลับก็คงไม่ไปยืนเฉยๆ ให้ถูกจับอีก

นี่พอข่าวตอนแรกออกไปว่าอาจเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ทำให้คนหวาดหวั่นว่าใช้ ม.44 จัดการคนไม่รับร่างหรือเปล่า

คสช. รัฐบาล กรธ. กกต. ควรตกลงกำหนดให้ชัด อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ถ้ามีปัญหาก็ต้องแก้กฎหมาย เปิดกว้างให้แสดงความเห็น ประเด็นสำคัญคือไม่ควรใช้ ม.44 กับคนเห็นต่างระหว่างทำประชามติ เพราะจะทำให้ประกาศคำสั่งคสช. “ใหญ่กว่า” กฎหมายประชามติ และจะทำให้ประชามติสูญเสียความน่าเชื่อถือ

แหมอุตส่าห์ทำประชามติ “ขอเวลาอีก 5 ปี” ถ้ารัฐธรรมนูญผ่านมาบังคับใช้แล้วไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะมีความหมายอะไร เดี๋ยวก็วุ่นวายใหม่

ถ้าเชิญองค์กรระหว่างประเทศสังเกตการณ์ได้ก็เชิญสิครับ “เจตนาบริสุทธิ์” จะต้องกลัวอะไร ไม่จำเป็นต้องเปิดพจนานุกรม เพราะแค่เริ่มต้น สมาชิกสภาอาเซียนก็กังวลว่าร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ การทำประชามติปิดกั้นความเห็นต่าง แล้วแทนที่รมว.ต่างประเทศจะปฏิเสธว่าไม่ได้ปิดกั้น กลับพูดว่าร่างรัฐธรรมนูญทำให้ใครเสียหายหรือเจ็บปวดนักหรือถ้าไม่ได้แสดงความคิดเห็น เป็นงั้นไป

วิษณุ เครืองาม พูดหน้าตาเฉยว่าประชามติไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ต้องมาสังเกตการณ์ แหม ก็จริงอย่างท่านว่า ไม่มีการแข่งขัน ใช้คน 3 แสน “พูดข้อดี” ไม่ได้บอกให้รับ แต่อาจารย์คนเดียวแจกใบปลิว “ไม่รับ” จะถูกจับ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบจริงๆ

source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461932527

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.