บทบาทของสื่อในการสร้าง ‘กระแสทรัมป์’ (The Role of the Media in Creating Trump)
Posted: 31 Mar 2016 09:44 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ในช่วงปีที่ผ่านมาในสังคมอเมริ
จากผู้สมัครฯ ที่ในช่วงแรกมีสถานะความเป็ นเซเลบ (celebrity) โดยถูกคาดการณ์กันว่าจะมี บทบาทเพียงการเติมแต่งสีสั นของการเลือกตั้งในปีนี้ แต่เกือบ 9 เดือนผ่านไป ทรัมป์ กลับได้คะแนนความนิยมสูงสุ ดจากผู้ลงคะแนนฝั่งพรรครีพับลิ กัน โดยตอนนี้ได้ไป 736 เดเลเกตส์ (delegates – ผู้แทน) ซึ่งผู้สมัครฯ ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 1,237 เดเลเกตส์ จึงจะชนะการเลือกตั้งล่วงหน้ าเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน นอกจากนั้น ทรัมป์ ยังได้คะแนนห่างจากผู้สมัครฯ ที่ได้อันดับ 2 เท็ด ครู้ซ (Ted Cruz) อย่างมาก ตอนนี้ ครู้ซ ได้ไปแค่ 461 เดเลเกตส์เท่านั้น[1] และหากดูผลสำรวจความนิ ยมจากโพลล์สำนักต่างๆ ที่เว็บไซต์ข่าวสารทางการเมื องชื่อดังrealclearpolitics.com ได้รวบรวมไว้จะเห็นว่าความนิยม (popularity) ในปัจจุบันของ ทรัมป์ ยังมีสูงกว่าผู้สมัครฯ คนอื่นๆ จากทางฝั่งพรรครีพับลิกันอยู่ มาก[2]
แม้ในช่วงแรกนักวิเคราะห์ส่ วนใหญ่มองว่า ทรัมป์ ไม่น่าจะเป็นผู้สมัครฯ ที่มีโอกาสชนะได้ (not a serious candidate) เพราะ เขามีปัญหาและมีลักษณะบุคลิ กหลายอย่างที่ตรงกันข้ามกับ ‘ideal candidate’ (ผู้แทนพรรคในอุดมคติ) เช่น ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมายาวนาน แถมยังเคยสนับสนุนพรรคเดโมแครท (Democratic Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามมาก่ อนด้วย, จุดยืนทางการเมืองไม่ชัดเจนกลั บไปกลับมา และรวมถึงเรื่องการพูดที่มีลั กษณะเหยียดเพศ เหยียดผิว เหยียดศาสนา และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็ได้เห็ นว่าการคาดการณ์ต่างๆ เหล่านั้นล้วนผิดพลาดทั้งสิ้น
คำถาม คือ อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีฝีปากไวผู ้นี้ได้รับคะแนนความนิยมสูงถึ งเพียงนี้? มีการให้คำอธิบายที่หลากหลายเกี ่ยวกับปรากฏการณ์นี้ สำหรับผู้ที่นิยมชมชอบในตัว ทรัมป์ ก็จะอธิบายว่าสิ่งที่ ทรัมป์ พูดมันตรงใจคนอเมริกัน ทรัมป์ ประกาศอยู่เสมอว่าเขาไม่เหมื อนนักการเมืองคนอื่นที่มักจะเลี ่ยงการพูดในสิ่งที่ ‘ไม่ถูกต้องทางการเมือง’ (politically incorrect) เพราะกลัวจะเสียภาพพจน์ ทรัมป์ ไม่กลัวเสียภาพ แต่พูดตรงๆ ซึ่งทำให้ถูกใจบรรดาผู้สนับสนุ นที่รู้สึกเบื่อหน่ายหรื อโกรธเคืองนักการเมือง ‘ในระบบ’ (establishment) แห่มาเทคะแนนให้กับ ทรัมป์ อย่างมากมาย[3]
แต่สำหรับกลุ่มคนที่ไม่นิ ยมชมชอบในตัว ทรัมป์ คำอธิบายที่ดูเหมือนจะได้รั บการยอมรับมากที่สุดชี้ว่าตัว ทรัมป์ เองเป็นนัก ‘ฉวยโอกาส’ (opportunist) ที่ชาญฉลาด และสามารถปลุกระดมความกลั วและความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นกั บบรรดาผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกั น ซึ่งจำนวนมากเป็นคนชั้นล่าง ไม่มีการศึกษาสูง และเป็นพวกอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวา ที่รู้สึกไม่พอใจกับการอยู่ ในอำนาจมายาวนานของประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) ที่เป็นลูกครึ่งผิวดำ การที่คนอเมริกันถูกแย่ งงานโดยแรงงานผิดกฎหมาย การขึ้นมามีอำนาจทางเศรษฐกิ จของจีน และสถานการณ์การก่อการร้ ายของกลุ่มไอสิส (ISIS – Islamic State of Iraq and Syria) นักสังเกตการณ์หลายคนชี้ว่ าความนิยมของ ทรัมป์ มีรูปแบบคล้ายกับการขึ้นมามี อำนาจของอดีตผู้นำจากพรรคนาซี เยอรมนี ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ที่สร้างกระแสความตื่นกลัวให้ วามกลัวและมประชาชนให้เกิดนาซี เยอรมนี ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ องการพูดที่ไปประชาชน แล้วปลุกความรู้สึกชาตินิ ยมแบบสุดโต่งเพื่อให้ตนเองได้มี อำนาจขึ้นมา[4]
แต่ไม่นานมานี้ได้มีความคำอธิ บายอีกชุดหนึ่งที่พยายามชี้ให้ เห็นว่าไม่ใช่แค่ตัว ทรัมป์ หรือสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เท่านั้น ที่เป็นปัจจัยให้ ทรัมป์ กลายเป็นกระแสที่ฉุดไม่อยู่ แต่ยังมี ‘สื่อ’ ด้วยที่ช่วยสร้าง ‘กระแส ทรัมป์’ จนอาจจะทำให้เขาได้รับเลือกเป็ นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ แนวคิดนี้ถูกทำให้พูดถึงกั นมากหลังจากที่ Nicholas Kristof คอลัมนิสต์ของ New York Times ได้เขียนบทความที่ได้รับการวิ พากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง (ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้ วย) โดยใช้ชื่อบทความว่า “My Shared Shame: The Media Helped Make Trump” (ความอับอายที่ข้าพเจ้ามีส่วนรั บผิดชอบด้วย: สื่อได้ช่วยสถาปนา ทรัมป์) โดยเขียนวิพากษ์บทบาทของสื่อว่ ามิได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่ างเพียงพอในการตรวจสอบ โดนัลด์ ทรัมป์ จนทำให้มหาเศรษฐีผู้นี้มี โอกาสสูงที่จะได้เข้าชิงตำแหน่ งประธานาธิบดีสหรัฐฯ Kristof ได้โทษสื่อว่ามิได้ท้าทาย ทรัมป์ด้วยคำถามที่เกี่ยวกั บความสามารถของ ทรัมป์ อย่างจริงจังในการเป็นผู้ นำประเทศ เช่น ข้อเสนอในเชิงนโยบาย หรือความสามารถในการบริ หารประเทศ แต่กลับไปให้ความใส่ใจกับเรื่ องเล็กๆน้อยของ ทรัมป์ เช่น บุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมในสื่อสังคมใหม่ ซึ่งทำให้เขาได้พื้นที่ข่ าวไปอย่างมากมาย[5]
นอกจากนั้น Jim Rutenberg ได้อธิบายว่าสื่อโทรทัศน์เองก็ ได้รับประโยชน์กับการให้พื้นที่ กับ ทรัมป์ เพราะมันทำให้เรทติ้ง (rating) ของสถานีพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็ นได้ชัด ยกตัวอย่าง CNN สถานีโทรทัศน์ข่าวอันดับหนึ่ งของสหรัฐฯ ที่เมื่อ 18 เดือนที่แล้วถูกวิเคราะห์ว่ าเรทติ้งตกต่ำมากที่สุดในรอบ 20 ปี แต่เมื่อมีกระแส ทรัมป์ เกิดขึ้น CNN ก็ได้อานิสงส์ไปด้วยโดยได้ นำเสนอข่าวและถ่ายทอดการโต้วาที ของ ทรัมป์ อย่างหนักจนทำให้เรทติ้งของ CNN ในปีนี้สูงขึ้นกว่ากว่าร้อยละ 170 ไม่ใช่แค่ CNN เท่านั้นที่พยายามหาประโยชน์ จากกระแส ทรัมป์ แต่สื่อโทรทัศน์อื่นๆ ต่างก็ต้องปรับตัว (หรือแม้แต่ปรับรู ปแบบรายการและตารางการออกอากาศ) เพื่อให้มีเรื่องราวของ ทรัมป์ มาสนองความต้องการของผู้ชมที่ จะเสพเรื่องราวของมหาเศรษฐีผู้ นี้[6]
ผลของการที่สื่อให้ความสำคัญกับ ทรัมป์ ทำให้เขาได้พื้นที่สื่อไปโดยไม่ ต้องใช้เงินซื้อเหมือนผู้สมัครฯ คนอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินเป็ นจำนวนมากในการโฆษณาในสื่อ MediaQuant ที่เป็นบริษัทที่ศึกษาเกี่ยวกั บสื่อและการเมือง MediaQuant ได้วิเคราะห์ว่า ทรัมป์ ได้พื้นที่สื่อ (เรียกว่า earned media) ไปทั้งหมดมีมูลค่าถึงเกือบ 1.9 พันล้านเหรียญดอลล่าร์ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าที่ ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) ได้ไปกว่า 2 เท่า โดยฮิลลารีได้ไปเพียง 746 ล้านเหรียญดอลล่าร์ เท่านั้น[7] แต่ ทรัมป์ ใช้เงินจริงๆ ในการจ่ายค่าโฆษณาแค่ 10 ล้านเหรียญดอลล่าร์ ในขณะที่ ฮิลลารีใช้เงินไปถึง 28 ล้านเหรียญดอลล่าร์[8]
ยิ่งในช่วงที่ประเด็นที่ทำให้สั งคมอเมริกันเกิดความรู้สึกตื่ นกลัว (panic) เช่น หลังการก่อการร้าย เรทติ้งของ ทรัมป์ ก็จะพุ่งสูงขึ้นมาก ทรัมป์ ไม่ปล่อยให้โอกาสปล่อยให้นั่ นหลุดลอยไป แต่จะแสดงความรู้สึกต่อต้ านและเกลียดชังมิใช่แค่กับกลุ่ มผู้ก่อการร้ายเท่านั้น แต่รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ ของกลุ่มผู้ก่อการอีกด้วย ตัวอย่างในกรณีการก่อการร้ ายในกรุงปารีส (Paris, 13 พฤศจิกายน ค.ศ.2015) และซาน เบอร์นาดีโน่ (San Bernardino, 2 ธันวาคม ค.ศ.2015) ที่หลังจากเกิดเหตุแล้ว ทรัมป์ เรียกร้องให้มี “การปิดกั้นการเดินทางเข้ าประเทศสหรัฐอเมริกาของชาวมุสลิ มโดยสิ้นเชิงจนกว่าสมาชิกรั ฐสภาของเราจะคิดออกว่าเกิ ดอะไรขึ้นตอนนี้”[9] ซึ่งหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความกั งวลว่าข้อเสนอดังกล่าวจะสร้ างความแตกแยกในประเทศ และยังทำให้เกิดความรู้สึกเกลี ยดชังที่คนมุสลิมในประเทศอื่นมี ต่อสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นแบบไม่ สนใจความรู้สึกของคนมุสลิมเช่ นนี้กลับทำให้ ทรัมป์ ได้พื้นที่สื่อจำนวนมาก และมันยังทำให้คะแนนความนิยมของ ทรัมป์ ในกลุ่มพวกอนุรักษ์นิยมเพิ่ มมากขึ้นอีกด้วย[10]
อย่างไรก็ตาม มิใช่สื่อมวลชนทุกคนจะโทษสื่อที ่ไปช่วยสร้างกระแส ทรัมป์ บางคนชี้ว่า ทรัมป์ เองเป็นคนที่ชาญฉลาดในการสร้ างกระแสในสื่ออยู่แล้วตั้งแต่ก่ อนจะมีการประกาศลงชิงฯ ในช่วงเดือนมิถุนายนเมื่อปีที่ แล้วเสียอีก ไม่ว่าพฤติกรรมของ ทรัมป์ ดูเหมือนจะงี่เง่า (non-sense) เพียงใดก็ตาม มันเป็นหน้าที่ของสื่อที่จะต้ องบอกกับสาธารณชน แต่แน่นอนว่าสื่อที่ดีย่อมต้ องให้ความสำคัญกับ ‘ประเด็นที่สำคัญ’ (real issues) มากกว่าประเด็นยิบย่อยที่ สนองความบันเทิงมากกว่า นอกจากนั้น Eugene Robinson คอลัมนิสต์ของ Washington Post เตือนว่าการให้ความสำคัญกั บบทบาทของสื่อมากเกินไปให้ทำให้ เราหลงประเด็น สื่อเป็นแค่ผู้ส่งสาร (messenger) มิใช่ตัวสาร (message) สำหรับเขาประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ ทำไมผู้ลงคะแนนจึงแห่กั นไปลงคะแนนให้กับ ทรัมป์ ต่างหาก[11]
เชิงอรรถ
[1] ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nytimes.com/ interactive/2016/us/elections/ primary-calendar-and-results. html (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[2] http://www.realclearpolitics. com/epolls/2016/president/us/ 2016_republican_presidential_ nomination-3823.html (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[3] http://www.bbc.com/news/ magazine-35406324 (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[4] http://www.democracynow.org/ 2016/3/15/father_of_fascism_ studies_donald_trump. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[5] http://www.nytimes.com/2016/ 03/27/opinion/sunday/my- shared-shame-the-media-helped- make-trump.html?_r=0. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[6] http://www.nytimes.com/2016/ 03/21/business/media/the- mutual-dependence-of-trump- and-the-news-media.html. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[8] http://www.nytimes.com/2016/ 03/16/upshot/measuring-donald- trumps-mammoth-advantage-in- free-media.html?_r=0. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[9] https://www.donaldjtrump.com/ press-releases/donald-j.- trump-statement-on-preventing- muslim-immigration. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[10] http://fivethirtyeight.com/ features/past-terrorist- attacks-helped-trump- capitalize-on-anti-muslim- sentiment/. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
[11] https://www.washingtonpost. com/opinions/no-the-media- didnt-create-trump-covering- him-is-their-job/2016/03/28/ 11ffc5 54-f516-11e5-9804- 537defcc3cf6_story.html. (เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2559).
แสดงความคิดเห็น