ผู้สื่อข่าวบีบีซีเล่าประสบการณ์ถูกเกาหลีเหนือคุมตัวสอบสวนนาน 10 ชั่วโมง
เมื่อสัปดาห์ก่อน รูเพิร์ต วิงฟิลด์-เฮยส์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีถูกทางการเกาหลีเหนือขับออกนอกประเทศ และถูกบังคับให้เขียนจดหมายขอโทษต่อการรายงานข่าวในเกาหลีเหนือของเขา ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจเป็นครั้งแรกถึงประสบการณ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือควบคุมตัวและสอบปากคำนานกว่า 10 ชั่วโมง
วิงฟิลด์-เฮยส์ ได้รับมอบหมายให้ทำข่าวการเยือนเกาหลีเหนือของคณะผู้ได้รับรางวัลโนเบล เขาบอกว่า การทำงานตลอดหนึ่งสัปดาห์นั้นเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียด เขาและทีมงานอีก 2 คนไม่สามารถไปไหนมาไหนในกรุงเปียงยางได้โดยปราศจากเจ้าหน้าที่ “ผู้ดูแล” จำนวน 5 คน ที่ตามประกบพวกเขาทุกฝีก้าว อีกทั้งยังแสดงท่าทีเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย ส่วนในตอนกลางคืนนั้นทีมข่าวถูกจัดให้อยู่แต่ภายในบ้านพักที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจนเขารู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่งานเสร็จสิ้นในที่สุดและจะได้ออกจากเกาหลีเหนือเสียที
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในระหว่างที่ทีมข่าวบีบีซีกำลังเดินทางกลับ โดยวิงฟิลด์-เฮยส์ ถูกเจ้าหน้าที่พิทักษ์พรมแดนที่สนามบินเรียกตรวจอุปกรณ์บันทึกเสียงดิจิตัลในมือของเขา จากนั้นก็ถูกแยกตัวนำตัวไปยังห้องสอบสวน โดยที่ไม่รู้ชะตากรรมของเพื่อนร่วมงานทั้ง 2 คน หลังจากที่ถูกสอบสวนจนตกเครื่องบิน เขาถูกนำตัวออกไปสอบสวนนอกสนามบิน ตอนนั้นเองเป็นช่วงที่วิงฟิลด์-เฮยส์ รู้ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก ส่วนเพื่อนร่วมงานของเขา คือ มาเรีย เบิร์น และแมทธิว กอดดาร์ด ปฏิเสธที่จะขึ้นเครื่องบินโดยปราศจากวิงฟิลด์-เฮยส์ แม้ว่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์พรมแดนจะพยายามบังคับให้ออกเดินทางก็ตาม
จากนั้น วิงฟิลด์-เฮยส์ ถูกนำตัวไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วการสอบปากคำที่ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมงก็เริ่มต้นขึ้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือแจ้งว่า ข่าวที่วิงฟิลด์-เฮยส์ นำเสนอในระหว่างติดตามคณะผู้ได้รับรางวัลโนเบลนั้นมีเนื้อหาดูหมิ่นประชาชนเกาหลีเหนือ และเขาจะต้องยอมรับผิดต่อการกระทำนี้
เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งกล่าวหาว่า ข่าวที่ วิงฟิลด์-เฮยส์ เขียนนั้นดูถูกว่าชาวเกาหลีเหนือมีหน้าตาน่าเกลียด และส่งเสียงเหมือนสุนัข ซึ่งข้อกล่าวหานี้หมายถึงข่าวที่ วิงฟิลด์-เฮยส์ เขียนเล่าตอนที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสัมภาระของเขาโดยใช้ถ้อยคำว่า “The grim-faced customs officer” (เจ้าหน้าที่ศุลกากรหน้าตาเคร่งขรึม) และ “he turns to my suitcase. "Books?" he barks” (เขาหันไปที่กระเป๋าเดินทางของผม “หนังสือ?” เขาตะคอกถาม)
แม้ วิงฟิลด์-เฮยส์ จะพยายามอธิบายว่านี่เป็นความเข้าใจผิดในการตีความข่าวที่เขาเขียน แต่เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือกลับไม่ยอมรับฟัง อ้างว่ามีความเข้าใจภาษาอังกฤษดี และตรวจสอบเนื้อข่าวที่เขาเขียนแบบคำต่อคำ พร้อมขู่ว่าการสอบสวนครั้งนี้อาจดำเนินต่อไปอีกนาน หากผู้สื่อข่าวบีบีซีไม่ยอมรับสารภาพผิดฐานหมิ่นประมาทประเทศและประชาชนเกาหลีเหนือ รวมทั้งข้อกล่าวหาที่ว่าเขาไม่แสดงความเคารพต่อผู้นำประเทศ ผู้สอบสวนเขาบอกนักข่าวบีบีซีว่า เขานี่แหละคือคนที่ดำเนินคดีเครเนธ เบ ชาวอเมริกันสัญชาติเกาหลีที่ถูกสั่งจำขังถึง 15 ปีพร้อมให้ทำงานหนัก
หลายชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดการหายตัวไปจากทีมงานของวิงฟิลด์-เฮยส์ก็เป็นที่รับรู้ของทีมงานกลุ่มอื่นที่ ทีมข่าวบีบีซีอีกทีมที่นำโดย โจ โฟลโต บรรณาธิการสำนักงานเอเชียของบีบีซี ซึ่งเข้าไปทำข่าวการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคนงานในกรุงเปียงยางได้ทราบเรื่องนี้เข้า แล้วติดต่อขอเข้าพบวิงฟิลด์-เฮยส์ ซึ่งโฟลโต ตัดสินใจตัดตอนปัญหาเพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามจนทำอะไรไม่ได้ด้วยการให้ วิงฟิลด์-เฮยส์แสดงความสำนึกผิดตามที่เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือต้องการ เขาต้องเขียนจดหมายขอโทษแต่จากตอนแรกที่ตกลงกันว่าให้เขียนจดหมายเพียงอย่างเดียว เขาถูกบังคับให้อ่านและเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนืออัดวิดีโอไว้ด้วย แต่โฟลโตตัดสินใจให้ทำ ทั้งนี้เพื่อให้วิงฟิลด์-เฮยส์และทีมงานอีก 2 คนได้ออกจากเกาหลีเหนือโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกนำตัวไปไว้ที่โรงแรมที่บรรดานักข่าวพำนักรอวันจะได้กลับออกจากเกาหลีเหนือ แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น ทางการเกาหลีเหนือกลับออกคำสั่งขับทีมข่าวบีบีซีทั้ง 3 คนออกนอกประเทศ
วิงฟิลด์-เฮยส์ บอกว่า การกระทำของเกาหลีเหนือครั้งนี้เป็นเพราะคิดว่าการรายงานข่าวของเขาจะขัดขวางความสำเร็จในการเยือนเกาหลีเหนือของคณะผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งรัฐบาลเกาหลีเหนือพยายามนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีในด้านวิชาการของประเทศ และต้องการได้รับการยอมรับในด้านนี้ วิงฟิลด์-เฮยส์ มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาได้สัมผัสกับด้านมืดของเกาหลีเหนือ ซึ่งแม้จะถูกคุมตัวสอบสวนเพียง 10 ชั่วโมง แต่ก็ทำให้เขาได้เห็นว่าการที่ใครคนหนึ่งจะหายตัวไปในเกาหลีเหนือนั้นเป็นเรื่องง่ายเพียงใด ขณะเดียวกันเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกหวาดกลัว โดดเดี่ยว การถูกกล่าวหาในความผิดที่ตนเองไม่ได้กระทำ การถูกข่มขู่ในการสอบสวนด้วยหลักฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง และการที่เขาถูกตัดสินให้มีความผิดเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น



แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.