ก็ระบอบที่ใช้อำนาจบังคับประชาชนจนไม่มีทางออกนี่ไง
ไม่ได้ว่าแย่กว่าเพื่อไทย ไม่ได้ว่าไม่ตั้งใจ ขยันแต่...
ก็มันมองไม่เห็นอนาคตจริง หนึ่ง รัฐประหารขัดกติกาโลก อเมริกายุโรปมีข้อจำกัดเจรจาการค้า สอง ร้ายแรงกว่า คือไม่มีใครมั่นใจว่าระบอบนี้จะออกหัวออกก้อยแบบไหน ประเทศไทยจะกลับสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ ขนาดประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติยังบอกว่าเอกชนไม่กล้าลงทุนเพราะรอดูความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
แน่ละ ถ้าประชามติผ่าน บางคนคงหวังว่าจะดีขึ้น กสิกรไทยบอกว่ามีโอกาสบวกเกิน 3% แต่ประชามติชี้ขาด-จบหรือ ไม่ใช่นะครับ ประชามติผ่านไม่ผ่าน ไม่ใช่อวสาน หรือแฮปปี้เอนดิ้ง ของ คสช. (หรือของฝ่ายประชาธิปไตย) เรายังขัดแย้งอีกนาน แล้วก็ยืนยัน ยังไม่ได้เป็นหลักประกันว่าทุกอย่างจบสวย
สมคิดบอกว่าการเมืองนิ่ง ต่างชาติต่อแถวลงทุน ขี้โม้ ไม่ใช่แค่การเมืองน้ำนิ่งคลื่่นลึก แต่ยุคสมัยปัจจุบันมันไม่ใช่ยุคขายทรัพยากรหรือค่าแรงต่ำ นักลงทุนจะได้ชอบอำนาจปืนบังคับไม่ให้คนต่อต้าน ยุคนี้และยุคต่อไปประเทศไทยต้องเป็นเศรษฐกิจดิจิตอล 4.0 อย่างคุณพูดนั่นแหละ ต้องเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เทคโนโลยีสูง หรือธุรกิจบริการมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งที่ฝันว่าบรรษัทข้ามชาติจะมาตั้งศูนย์กลางในเมืองไทย
เศรษฐกิจใหม่อย่างนี้ต้องการบรรยากาศประชาธิปไตย เสรีภาพที่เปิดกว้าง เสรีภาพสื่อสารออนไลน์ ซึ่งแน่ละมันมาพร้อมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นี่ตรงกันข้ามกลับถอยหลังไปเรื่อยๆ เป็นจารีตนิยม 4.0 ที่ประชุม UPR มีหลายประเทศเขาวิจารณ์เรื่อง พรบ.คอมพ์ แบบหมิ่นประมาทแล้วยังโดน พรบ.คอมพ์ซ้ำอีก แทนที่จะแก้ไขให้ชาวโลกสบายใจ ตำรวจไปแจ้งจับวีรบุรุษประชาธิปไตยซะเอง แหม อุตส่าห์ช่วยด่าทูตอยู่แหม็บๆ 55

000000

ใครทำเศรษฐกิจย่ำแย่
ใบตองแห้ง

ครบ 2 ปี คสช. ประเด็นโต้เถียงกันกลายเป็นใครทำเศรษฐกิจย่ำแย่ คสช.คงแย้งว่าแย่ซะที่ไหน ไตรมาสแรกโตตั้ง 3.2% แต่เสียดายท่านแถลงผลงานช้าไปหน่อย ตัวเลขใหม่ส่งออกวูบ 8%

อ้าวไม่เถียงกันเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วหรือ เถียงไปก็ไลฟ์บอย ปล่อยให้ต่างชาติวิจารณ์ตามสบาย ยังไงๆ ลุงดอน ปรมัตถ์วินัย ก็ยืนยันต่างชาติเข้าใจ ไทยโดนถามแค่ 249 ข้อ สหรัฐโดน 377 ข้อ คนไทยมีเสรี เห็นไหม สตรีศรีสยามยังไปชุมนุมไล่ทูตได้

ลุงตู่ก็ยืนยันว่าไม่เคย จับชาวบ้านจับส่งเดช ใช่ครับ จับส่งศาลทหาร ล่าสุดศาลตัดสินว่ามอบช่อดอกไม้พลเมืองโต้กลับมีความผิดแต่ปรานีรอลงอาญา UN เพิ่งชมรัฐบาลว่าออกกฎหมายป้องกันการทรมานและบังคับให้สูญหาย ไก่อูคุยฟุ้งใครจะเชื่อกฎหมายนี้ออกในรัฐบาลทหาร แต่การใช้ ม.44 ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่การอุ้มหาย แค่เอาตัวไปโดยไม่มีหมายศาล ม.44 มีไว้เพื่อความเมตตา ม.44 ไม่เคยทำให้นักกีฬาเดือดร้อน แต่ใครอย่า ล้อเลียนผู้นำก็แล้วกัน

เรื่องสิทธิมนุษยชนเอวังด้วยประการฉะนี้ ฝรั่งก็วิจารณ์ไป ไม่มีใครร้อนหนาว เรื่องของเราอย่ายุ่ง ฝรั่งควรรีบปลดเทียร์ 3 ให้ใบเขียวประมง แล้วมาลงทุนค้าขายในไทยเยอะๆ ดีกว่า

แต่เขาไม่มา เขาไปพม่า ไปเวียดนาม ย้ายฐานอีกต่างหาก พูดอย่างนี้ไม่ใช่โทษรัฐประหารทำต่างชาติหนี เพราะมีหลายปัจจัย ประเทศไทยติดกับดัก เราผลิตส่งออกค่าแรงต่ำต่อไป ไม่ได้ ต้องยกระดับสู่เกษตรอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง

ไก่อูยกจีดีพีปี 54, 56 มาย้อนพรรคเพื่อไทยว่าโตต่ำ ปี 54 น้ำท่วม ปี 56 ปลายปีตกวูบเพราะมีม็อบ ไม่ยักพูดถึงปี 55 ที่โต 6.4% ที่จริงควรย้อนยุคอภิสิทธิ์ปี 53 โตสุด 7.8% แต่ก็เพราะปี 52 ติดลบ 2.3% จากวิกฤตซับไพรม์

พูดไปทำไมมี ภาพรวมเศรษฐกิจไทยก่อนปี 40 โตเฉลี่ย 7% หลังจากนั้น 5% แล้ว 9 ปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ย 3% สาละวันเตี้ยลงเพราะไม่พัฒนาความสามารถแข่งขัน ถามว่าการเมืองเกี่ยวไหม เกี่ยวสิ ก็มัวแต่รบรากัน ไม่มีรัฐบาลไหนได้ตั้งลำพัฒนาจริงจัง (ต้องทำถนนลูกรังก่อน)

พูดอย่างให้ความเป็นธรรม รัฐบาล คสช.พยายามตั้งลำด้วยความร่วมมือจากภาคธุรกิจและเทคโนแครต แต่ถูกเงื่อนไขจำกัด นอกจากภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากปัญหารัฐราชการเทอะทะไร้ประสิทธิภาพ ก็ยังมีปัญหา "การเมือง" อีกนั่นแหละ แต่การเมืองในที่นี้ไม่ใช่นักการเมืองขัดขา นักศึกษาก่อความวุ่นวาย "การเมือง" ก็คือเงื่อนไขที่เกิดจากการรัฐประหารย้อนมาจำกัดตัวเอง

อ้าวดูง่ายๆ รัฐประหารมีปัญหากับกติกาโลก เกิดข้อจำกัดด้านการค้าการลงทุน เช่น หมด GSP แล้ว EU ไม่เจรจา FTA

ดูให้ลึก นักลงทุนไม่มั่นใจ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล พูดชัด "การเมืองฉุดเศรษฐกิจ" เอกชนยังไม่ลงทุนเพราะรอดูความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สวนทาง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่อ้างว่าการเมืองนิ่ง ต่างชาติต่อแถวลงทุน

นั่นสิครับ คนไทยก็คิดว่าการเมืองนิ่งเศรษฐกิจจะดี เรื่องที่ต่างชาติไม่ยอมรับรัฐประหาร วิจารณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ไม่เห็นเกี่ยวกับการทำมาหากินตรงไหน แต่เขามองว่านี่ไม่ใช่การเมืองนิ่งไง เขามองว่าจะยิ่งไม่สงบ จะไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้

อีกอย่างเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในยุคขายค่าแรงต่ำ นักลงทุนจะได้ชอบการเมืองนิ่งแบบอำนาจบังคับ นี่เราจะทำเศรษฐกิจดิจิตอล 4.0 เราจะชวนบรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงาน แต่เสรีภาพการสื่อสารกลับปิดกั้นลงไปเรื่อยๆ ตามทิศทางประชาธิปไตยตีบตัน

ไม่เห็นหรือ ที่ประชุม UPR มีหลายประเทศทักท้วงการใช้ พ.ร.บ.คอมพ์แบบไทยๆ หมิ่นประมาทไม่พอ โดนข้อหาแพร่ความเท็จด้วย ว่าแล้วตำรวจไทยก็แจ้งจับวีรบุรุษประชาธิปไตยให้ดู ทั้งที่เพิ่งช่วยด่าทูตกักขฬะอยู่แหม็บๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ถ้าประชามติผ่าน จีดีพีจะโตเกิน 3% แน่ใจนะว่าประชามติผ่านแล้วจะสงบ จบความขัดแย้ง กลับสู่ภาวะปกติ แล้วถ้าผ่านแบบ กรธ.มีชัยไม่ยอมดีเบตกับเด็กแต่จะให้ กกต.ไล่จับเด็กล่ะ จบไหม ผ่านแบบถูกวิจารณ์อื้ออึงว่าปิดกั้น ไม่ยอมให้คนกลางสังเกตการณ์ จบไหม ยังไม่ต้อง พูดถึง "ถ้าไม่ผ่าน"

ประชามติเป็นแค่ขั้นตอนหนึ่งเท่า นั้น ยังไม่ใช่บทสรุป ของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เอกชนรอดู ยังไม่ใช่ คำตอบว่าระบอบใช้อำนาจบังคับให้ประเทศสงบ จะจบลง แบบไหน กลับสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ และเมื่อไหร่


source : FB Atukkit Sawangsuk & http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1464332168

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.