Posted: 14 Apr 2018 07:50 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)

สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขอให้ทุกฝ่ายอดกลั้นหลังสหรัฐร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศสใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรีย ด้านพันธมิตรสหรัฐประกาศสนับสนุน ขณะที่กลุ่มเฮซบอลเลาะห์พันธมิตรซีเรียประกาศว่าตะวันตกไม่มีทางชนะ

14 เม.ย. 2561 นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็นแถลงเรียกร้องให้ทุกประเทศใช้ความอดกลั้นท่ามกลางสภาพการณ์ที่อันตรายนี้ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง อันจะทำให้ชาวซีเรียต้องทุกข์ยากมากยิ่งขึ้น การใช้อาวุธเคมีเป็นเรื่องน่าชิงชังเพราะก่อให้เกิดสิ่งที่น่าสยดสยอง ทุกฝ่ายต้องเคารพกฎบัตรยูเอ็นและระเบียบสากล ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเห็นพ้องเรื่องตั้งคณะสอบสวนผู้ใช้สารเคมีกับชาวซีเรีย ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้ระมัดระวัง จำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด เพราะชาวซีเรียต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและความสูญเสียมานานกว่า 7 ปีแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำของรัฐบาลซีเรียอีกเลย พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐเปิดประตูรับผู้ลี้ภัยที่หนีความรุนแรงในซีเรียด้วย

ด้านพันธมิตรสหรัฐพากันสนับสนุนการโจมตีซีเรีย นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แถลงว่าสนับสนุนสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสเพราะจะลดโอกาสที่รัฐบาลซีเรียจะใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนอีก นาโตถือว่าการใช้อาวุธเคมีเป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพสากล ประชาคมโลกจะต้องร่วมกันตอบโต้เรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นที่สนับสนุนปฏิบัติการดังกล่าว

ส่วนตุรกีที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านในซีเรียแถลงว่า เห็นด้วยกับปฏิบัติการโจมตีซีเรียเพราะได้ช่วยสร้างสำนึกจากเหตุการณ์ในเมืองดูมาที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย การใช้อาวุธทำลายล้างสูงรวมถึงอาวุธเคมีกับพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ผู้กระทำจะลอยนวลไปไม่ได้ ขณะที่กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอนประณามสามชาติตะวันตกว่า การทำสงครามกับซีเรีย กับประชาชนในภูมิภาคนี้ และกับความเคลื่อนไหวต่อต้านจะไม่มีวันสำเร็จตามที่ต้องการ

ซีเรียประณามสามชาติตะวันตกรุกรานอย่างป่าเถื่อน

สำนักข่าวซานาของทางการซีเรียรายงานแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศซีเรียที่ประณามเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่าการโจมตีของชาติตะวันตกเป็นการรุกรานที่ป่าเถื่อนโหดร้าย และมีขึ้นในจังหวะเดียวกับที่คณะทำงานขององค์การห้ามอาวุธเคมีเดินทางมาสอบสวนเรื่องที่กล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาของซีเรีย จึงเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการทำงานและผลการสอบสวนของคณะทำงานชุดนี้ หวังปกปิดเรื่องโกหกที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น

ด้านกระทรวงต่างประเทศอิหร่านแถลงว่า สหรัฐและพันธมิตรไม่มีหลักฐานเรื่องการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย และชิงใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยไม่รอให้องค์การห้ามอาวุธเคมีเข้ามาทำหน้าที่ กลุ่มประเทศเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบต่อผลจะที่ติดตามมาในภูมิภาคนี้ ถือเป็นการละเมิดระเบียบและกฎหมายสากลอย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังเป็นการรุกรานเพื่อชดเชยให้แก่กลุ่มก่อการร้ายที่ถูกกองทัพซีเรียกำราบในเขตกูตาตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้ด้วย

ขณะเดียวกันโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียโพสต์เฟซบุ๊กว่า ประเทศที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีอ้างตัวว่าเป็นผู้นำศีลธรรมของโลกและมีข้อยกเว้น จริง ๆ แล้วประเทศเหล่านี้จะต้องยกเว้นที่จะถล่มเมืองหลวงของซีเรียในยามที่ประเทศนี้มีโอกาสที่จะมีอนาคตที่มีสันติ เธอคิดว่า สื่อตะวันตกจะต้องร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเพราะทำเนียบขาวอ้างรายงานข่าวหลายกระแสว่า มีการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาของซีเรีย

ซีเรียอพยพเป้าหมายก่อนถูกถล่มเพราะได้รัสเซียเตือน

เจ้าหน้าที่ที่ขอสงวนนามบอกกับสำนักข่าวต่างประเทศว่าสามารถรับมือกับการโจมตีในเช้าวันที่ 14 เม.ย. ได้ เนื่องจากได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าจากรัสเซียจึงได้อพยพฐานทัพทั้งหมดไปตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว และได้ยิงขีปนาวุธตกไปราว 1 ใน 3 ของที่ยิงเข้ามาทั้งหมดประมาณ 30 ลูก ขณะนี้กำลังประเมินความเสียหายอยู่

สงครามกลางเมืองซีเรียที่เริ่มจากประชาชนประท้วงต่อต้านรัฐบาลในวันที่ 15 มี.ค. 2554 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งของหลายกลุ่มในซีเรีย โดยมีชาติมหาอำนาจเข้ามาร่วมด้วย แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รัสเซีย และเฮซบอลลาห์ ฝ่ายต่อต้านซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐที่สนับสนุนจนถึงปีก่อน ฝ่ายเคิร์ดทางตอนเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและฝรั่งเศส ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธที่มีทั้งกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัลชาม และอีกหลายกลุ่ม และกองกำลังพันธมิตรนานาชาติมุ่งจัดการกับไอเอสและกลุ่มติดอาวุธ จนถึงขณะนี้มีผู้คนล้มตายแล้วเกือบ 500,000 คน มีคนพลัดถิ่นในประเทศเกือบ 8 ล้านคน และมีผู้เสี่ยงตายลี้ภัยออกนอกประเทศอีกกว่า 5 ล้านคน

ที่มาเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2] [3]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.