สมชัย บี้ กกต.สอบปม โต๊ะจีน พลังประชารัฐ ขู่เพิกเฉย เจอ ม.157 แฉเป็นชุดผู้ร่วมบริจาค


เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการจัดระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐในรูปแบบการจัดโต๊ะจีนแล้วเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายว่า
ในมาตรา 73 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ข้าราชการการเมืองใช้สถานะหรือตำแหน่งหน้าที่เรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

แต่การจัดงานระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ มีข้าราชการการเมืองที่เกี่ยงข้อง 4 รายการคือ กรณีแรก เป็นโต๊ะจีนในนาม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีจำนวน 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท ต้องตวจสอบว่าได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปเรี่ยไรหรือไม่ หรือหากตัวรัฐมนตรีเป็นผู้บริจาคเอง ตามกฎหมายระบุว่าจะบริจาคให้พรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ดังนั้น อีก 2 ล้านบาทเป็นเงินที่ได้มาจากไหน ต้องมีการตรวจสอบ

ส่วนกรณีที่สอง เป็นโต๊ะจีนของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค จำนวน 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท กรณีนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพราะหากนายอุตตมเป็นผู้บริจาคเองก็จบ แต่หากเงิน 3 ล้านไปเรี่ยไรจากคนอื่นก็จะผิดในฐานะใช้ตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรมไปเรี่ยไรเงิน

ส่วนกรณีนายณพพงศ์ ธีระวร หรือ ดร.เอก ที่ปรึกษารัฐมนตรี พาณิชย์และ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม มีความลึกลับซับซ้อน เพราะมีการบริจาคจำนวนเงินที่สูงมากที่สุด มีการระบุว่าจองโต๊ะถึง 24 โต๊ะ 72 ล้านบาท หาก ดร.เอก เป็นที่ปรึกษาของสองรัฐมนตรีจริง และจ่ายเงินของตนเองจริง จะได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท จึงเป็นภาระที่ต้องพิสูจน์ ว่าเกิดจากการเรี่ยไรหรือไม่

แต่ในทางนิตินัยกลับพบว่า ดร.เอก เป็นที่ปรึกษาจากการแต่งตั้งพิเศษของรัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถือว่าเป็นที่รับรู้ของสังคมเพราะมีการให้เครดิตตัวเองบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เป็นที่ปรึกษาทั้งที่ความจริง ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาโดยตำแหน่ง ซึ่งมาตรา 73 ไม่ครอบคลุมถึง จึงไม่เข้าข่ายข้าราชการการเมือง เอาผิดไม่ได้

แต่ตนอยากชี้ให้สังคมเห็นว่า มีการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อทำหน้าที่หาเงินเข้าพรรค ดังนั้นคนที่เป็นรัฐมนตรีคนที่มีคำสั่งแต่งตั้ง ดร.เอก ต้องรู้จักละอาย และรับผิดชอบในเรื่องนี้ และกรรมการบริหารพรรคในฐานะที่เป็นองค์รวมของกิจกรรมนี้ ต้องไปตรวจสอบว่ามีใครชักชวน ให้มาร่วมบริจาคหรือไม่

ส่วนรายการที่ 4 คือ กรรมการบริหารพรรค 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท ซึ่งมี 7 คน ใน 26 คน ที่เป็นข้าราชการการเมือง จึงต้อบไปตรวจสอบว่า ทั้ง 7 คนนี้ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปชักชวนเรี่ยไรหรือไม่ ตนถือว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะกรรมการบริหารพรรคด้วย ซึ่งต้องดูตามกฎหมายว่าจะพาดพิงถืงกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งในมาตราที่ 27 กำหนดโทษไว้ชัดว่า ใครทำผิดมาตรา 73 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

เรื่องนี้จึงต้องเดินหน้าต่อ และทั้ง 10 คน ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาความผิด ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และท้ายาย กกต. ว่าจะจัดการอย่างไร เพราะเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ป. พรรคการเมือง แม้จะมีผู้บริหารของ กกต.บางคน พูดว่า ระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง พรรคการเมืองจะทำอะไรก็ได้ นั้น

ขอให้กลับไปดูกฎหมายใหม่ เพราะในกฎหมาย กกต.มาตรา22 วรรครองสุดท้าย ระบุไว้ชัดเจนว่า ในการควบคุม กำกับ ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ถือเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการที่จะดำเนินการสอดส่อง สืบสวน หรือไต่สวน เพื่อป้งกันและขจัดการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันใดที่อาจก่อให้เกิความไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมในการเลือกตั้งได้ ไม่ว่าจะเปนเวลาในระหว่างประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมาตรานี้เป็นไม้เด็ดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีต ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจ กกต. ไว้

นายสมชัย ยังกล่าต่อว่า สำหรับกรณีการจัดระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐยังไม่เข้าข่ายถูกยุบพรรค เพราะกฎหมายมุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่ถ้าตัวบุคคลมีความผิดก้ถึงขั้นถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี พร้อมขอให้ กกต.อย่าทำงานเชิงรับ แต่ต้องติดต่อกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อขอดูรายชื่อแขกที่ร่วมงานทั้งหมด แผนผังจากออร์แกไนซ์ และต้องขอดูกล้องวงจรปิดภายในงานว่ามีใครบ้าง สื่อที่ลงข่าว ว่าได้แผนผังมาอย่างไร

ซึ่งจะให้เวลา กกต.ในการรวบรวมข้อมูล 1 สัปดาห์ ถ้าหากยังไม่คิดทำอะไร อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผิดมาตรา 157 เพราะสังคมอยากเห็นการทำงานเชิงรุกของ กกต. เพื่อให้เห็นว่ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่นอนรอว่าเมื่อไหร่จะครบ 60 วัน ที่พรรคการเมืองจะส่งรายละเอียดมาให้ เพราะประเด็นนี้เป็นที่สงสัยของสังคม มีการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐ ลแะข้าราชการการเมืองไปทำให้เกิดประโยชน์และความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง กกต.จะนิ่งเฉยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเสื่อมไปมากกว่านี้

source ;- khaosod online

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.