Posted: 30 Dec 2018 07:01 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-12-30 22:01


ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้มีสหายท่านหนึ่งตั้งคำถามในโซเชียลมีเดียว่าทำไมพรรคการเมืองไทยไม่ค่อยสนใจประเด็นสิทธิทางเพศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสิทธิของคนรักเพศเดียวกัน และสิทธิของคนข้ามเพศ

หลายคนเมื่อพูดถึงคนที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือคนข้ามเพศ มักจะพูดในทำนองทีตลกขบขัน หรือมองว่าเป็นคนที่ผิดจากมนุษย์ธรรมดา แต่สำหรับนักสังคมนิยม เราตั้งคำถามว่า “เกย์ ทอม ดี้ กะเทย เป็นมนุษย์เพี้ยน หรือ ระบบมันเพี้ยน?” และเราตอบเองว่าปัญหาอยู่ที่ระบบทุนนิยมและชนชั้น เพราะระบบปัจจุบันเน้นครอบครัวจารีตแบบผัวเมียพ่อแม่ ซึ่งแนวคิดนี้กีดกันสิทธิทางเพศของคนรักเพศเดียวกัน ของคนข้ามเพศ และของสตรี ผู้มีอำนาจในระบบทุนนิยมพยายามสร้างให้สังคมมีเพียงสองเพศเท่านั้น เพศอื่น ๆ ที่ดำรงอยู่ในสังคม ถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องแปลกประหลาด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย สังคมไทยและสังคมเอเซียแถบนี้มีคน “เพศที่สาม” มาพันๆ ปี สังคมตะวันตกก็เช่นกัน

เหตุผลที่มีแนวคิดครอบครัวจารีตคือ มันเกี่ยวข้องกับการผลิตมนุษย์รุ่นต่อไป มันเกี่ยวกับความต้องการแรงงานรุ่นต่อไปแบบราคาถูก คือยกให้เป็นเรื่องภาระปัจเจกในการเลี้ยงเด็กของสังคม โดยผู้หญิงต้องรับภาระนี้เป็นหลัก

แต่เมื่อทุนนิยมพัฒนามากขึ้นและดึงผู้หญิงเข้าไปในสถานที่ทำงานมากขึ้น เพราะขาดแคลนกำลังงาน ผู้หญิงเหล่านั้นมั่นใจที่จะพึ่งตนเอง และมั่นใจมากขึ้นที่จะรวมตัวกับผู้หญิงคนอื่นในการเรียกร้องสิทธิ การเรียกร้องสิทธิของมวลชนในรูปแบบนี้ให้กำลังใจกับ เกย์ ทอม ดี้ กะเทย คนผิวดำ และคนที่ถูกกดขี่อื่นๆ เพื่อที่จะลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิของตนเองด้วย เราเห็นปรากฏการณ์นี้ทั่วโลก และในสังคมไทยด้วย

นี่คือสาเหตุที่ชนชั้นปกครองเริ่มยอมในเรื่องสิทธิทางเพศบางส่วน แต่พยายามปกป้องครอบครัวจารีตในเวลาเดียวกัน

บ่อยครั้งการต่อสู้ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจะขึ้นๆ ลงๆ ตามกระแสสากล สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือพรรคการเมืองที่ปลุกระดมคนในสังคมเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมจะอธิบายว่าทำไมเราต้องสู้เพื่อสิทธิต่างๆ พร้อมจะอธิบายว่าจะสู้อย่างไร และพร้อมจะเถียงกับคนที่เห็นต่างเสมอ

แต่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในไทย ทั้งพรรคเก่าและใหม่ ไม่ทำในสิ่งนี้ บางพรรคอาจพูดในนามธรรมว่าทุกคนควรมีสิทธิทางเพศ พูดถึงความเสมอภาค และบางพรรค เช่นพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคเพื่อชาติ พูดว่าควรแก้กฏหมาย แต่บ่อยครั้งมีการพูดแบบคลุมเครือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อนในสังคม” ซึ่งคงเป็นแนวทางสู่การประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่สำคัญคือพรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่กล้ารณรงค์เรื่องนี้อย่างชัดเจนหรือปลุกระดมมวลชนให้เปลี่ยนความคิด เพราะภายในพรรคยังไม่เป็นเอกภาพเรื่องนี้ และกลัวว่าจะเสียคะแนนเสียงจากประชาชนในวันเลือกตั้ง พรรคส่วนใหญ่จึงเดินตามกระแสที่มีอยู่ในสังคมซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดจารีตนิยม [ดูข่าวประชาไท 10 พรรคการเมืองหนุน LGBT มีสิทธิเท่าเทียมคนทั่วไป]

ภาพโดย WASAWAT LUKHARANG/BBC THAI

ถ้าจะพูดกันถึงรูปธรรม มันมีหลายเรื่องที่ถกกันในสังคมไทยตอนนี้ เช่นร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ที่ตกค้างมาจากยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นักกิจกรรมหลายคนต้องการเห็นการผ่าน พ.ร.บ.นี้ เพราะจะเปิดโอกาสให้คนรักเพศเดียวกันจดทะเบียนเป็น “คู่ชีวิต” ได้ แต่มีนักเคลื่อนไหวและนักวิจัยอีกหลายคน เช่นชวินโรจน์ ธีรพัชรพร ที่ชี้ว่า พ.ร.บ. นี้ให้สิทธิกับคนรักเพศเดียวกันน้อยกว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างชายกับหญิง เช่นสิทธิที่จะร่วมกันเลี้ยงลูกที่มาจากวิธีการต่างๆ สิทธิที่จะลดภาษี สิทธิในสวัสดิการสังคม สิทธิที่จะใช้นามสกุลร่วมกัน ฯลฯ [ดู พ.ร.บ. คู่ชีวิต : ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต แต่ยังไม่เปิดให้รับบุตรบุญธรรมร่วมกัน ]

ส่วน ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ เสนอว่าควรแก้กฎหมายสมรส ให้เปลี่ยนคำจาก “ชาย-หญิง” เป็นการจดทะเบียนระหว่าง “บุคคล” ก็น่าจะทำให้สิทธิเท่าเทียมกันมากขึ้น

และสำหรับสิทธิของคนข้ามเพศ (“กะเทย”) หรือคนที่ไม่อยากจำกัดตัวเองว่าเป็นเพศอะไร คณาสิต พ่วงอำไพ นักกิจกรรมภาคี “นอนไบนารี” (ไม่มีแค่สองเพศ) อธิบายว่าร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตไม่ให้อะไรกับคนเหล่านี้

ในประเทศตะวันตกเริ่มมีการต่อสู้ของคนข้ามเพศ เพื่อให้มีสิทธิเลือกเพศที่ตนเองต้องการในเอกสารทางการ เพื่อให้มีสิทธิ์เลือกเข้าห้องน้ำตามเพศที่ตัวเองเลือก และสำหรับคนที่ต้องติดคุกก็เพื่อที่จะเลือกอยู่คุกตามเพศที่ตนเลือกเช่นกัน แต่เป็นที่น่าสลดใจที่พวกสิทธิสตรีคับแคบล้าหลังบางคน ไม่พอใจกับการเรียกร้องสิทธิของคนข้ามเพศ เพราะอ้างว่ามันจะทำให้ความเป็นผู้หญิงหมดความหมาย

ที่แน่นอนก็คือในไทย ยังไม่มีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ชูประเด็นนี้และพร้อมจะต่อสู้เพื่อสิทธิทางเพศอย่างถ้วนหน้า ซึ่งนอกจากสิทธิของคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนไม่เลือกเพศแล้ว ยังต้องรวมถึงสิทธิทำแท้งเสรีสำหรับสตรีอีกด้วย

เราชาวสังคมนิยมมองว่า ไม่ว่ามนุษย์ในสังคมจะเลือกเป็นเพศอะไร หรือเลือกที่จะรักเพศอะไร อย่างไร นับเป็นสิทธิที่ชอบธรรมอันดับแรกที่สามารถเลือกได้ และพวกเราที่ต้องการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมจะต้องสนับสนุนสิทธิดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไข ตราบใดที่คนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ หรือสตรี ไม่มีสิทธิเต็มตัว สังคมเราไม่มีวันมีประชาธิปไตยและเสรีภาพสมบูรณ์ นี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่เราควรมีพรรคสังคมนิยม



เผยแพร่ครั้งแรกใน: Turnleft-Thailand

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.