ความไม่รู้ประวัติศาสตร์สร้ างเผด็จการ-บทเรียนจากฟิลิปปิ นส์และทายาทเผด็จการมาร์กอส
Posted: 01 Apr 2016 05:29 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เป็นอดีตประธานาธิบดีเผด็จการที ่เคยครองอำนาจอยู่ในฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ปี 2508-2529 ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งจากการลุกฮื อของประชาชน อย่างไรก็ตามลูกๆ ของเขายังคงอยู่ และประสบความสำเร็จทางการเมือง คลีฟ อาเกเยส นักวิชาการฟิลิปปินส์เขี ยนบทความอธิบายถึงปรากฏการณ์นี้
"มีคำกล่าวว่าต้องใช้หมู่บ้านทั ้งหมู่บ้านถึงจะเลี้ยงดูเด็กให้ โตได้หนึ่งคน แต่ในการที่จะเลี้ยงดูลู กชายของเผด็จการคนหนึ่งแล้วปู ทางไปสู่ความเป็นผู้นำชาติล่ะ มันต้องใช้ประเทศทั้งประเทศ" คลีฟ เควิน โรเบิร์ต วี อาเกเยส ระบุในบทความ อาเกเยสเป็นอาจารย์ผู้ สอนและประธานโครงการรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์มะนิ ลา ผู้ที่มีโครงการวิจัยเรื่องเกี่ ยวกับความทรงจำทางการเมื องของชาวฟิลิปปินส์ยุคใหม่
บทความของอาเกเยสในเว็บไซต์นิ วแมนดาลาระบุว่า เฟอร์ดินานด์ "บองบอง" มาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายของอดีตเผด็จการมาร์กอสมี เป้าหมายต้องการได้ตำแหน่ งรองประธานาธิบดีผ่านการเลือกตั ้งในระดับชาติในปีนี้ 30 ปีหลังการลุกฮือโค่นล้มพ่ อของเขา โดยที่ในปัจจุบันบองบอง มาร์กอส ก็เป็นวุฒิสมาชิกของฟิลิปปินส์ อยู่แล้ว (ในฟิลิปปินส์ตำแหน่งวุฒิสมาชิ กมาจากการเลือกตั้ง) พี่สาวของเขา ไอมี มาร์กอส ก็เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอิ โลคอส นอร์เต ที่มีคะแนนเสียงจำนวนมาก และแม่ของเขาอิเมลดา มาร์กอส ก็เป็นส.ส. สภาล่างเป็นตัวแทนจากจังหวัดเดี ยวกัน
เป็นที่น่าตั้งคำถามว่าทำไมถึ งมีผู้ลงคะแนนจำนวนมากให้กั บครอบครัวของอดีตเผด็จการผู้ เคยปล้นชิงจากคนในประเทศเดียวกั นมาก่อนเช่นนี้ อาเกเยสระบุว่าเป็ นเพราะประเทศของเขาไม่มี ความทรงจำร่วมกันระดับชาติในช่ วงที่มาร์กอสยังคงปกครองประเทศ
อากาเยส เล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เติ บโตมาในครอบครัว "ผู้ภักดี" ซึ่งเป็นคำที่คนใช้เรียกผู้ที่ ยังจงรักภักดีต่อเผด็จการมาร์ กอสและครบครัวของเขาถึงแม้ว่ ามาร์กอสจะหนีออกจากประเทศหลั งการลุกฮือไปแล้ว ยายของเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาหมู่ บ้านสนับสนุนครอบครัวมาร์ กอสเสมอมา เธอบอกว่าถ้าหากเลือกมิเรียม ซานติอาโก ผู้เป็นคู่หูลงสมัครเลือกตั้งกั บบองบองแล้วให้ซานติอาโกเป็ นประธานาธิบดีส่วนบองบองเป็ นรองประธานาธิบดี ยายของอากาเยสเชื่อว่าพอถึงจุ ดหนึ่งซานดิอาโกจะล้มป่วยแล้ วยกตำแหน่งให้กับบองบองซึ่งเป็ นแผนการที่ครอบครัวมาร์กอสจะได้ กลับสู่ทำเนียบประธานาธิบดีอี กครั้ง
ในเรื่องนี้อากาเยสได้ ไปสำรวจความคิดเห็นจากชุ มชนคนยากจนในเมือง พบว่าพวกเขาจดจำช่วงที่ถู กปกครองโดยเผด็จการมาร์กอสไว้ โดยคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี เช่นเดียวกับที่ยายของเขาอ้ างไว้ว่าช่วงเผด็จการมาร์กอสเป็ นช่วงเวลาที่มีแต่ความสงบเรี ยบร้อย สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ในยุ คนั้นมาก่อนอาจจะฟังความคิดเห็ นเหล่านี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่สำหรับคนยุคใหม่ที่อายุราว 18 ปีซึ่งมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้ งแรกพวกเขาจะได้ยินได้ฟั งและจดจำประวัติศาสตร์ แบบใดในเมื่อการเล่าประวัติ ศาสตร์ทั้งความทรงจำและการลืมต่ างก็ถูกทำให้เป็นการเมืองทั้งนั ้น
อากาเยสกล่าวถึงปัญหานี้ว่าคนที ่ไม่มีความทรงจำในช่วงเผด็ จการมาร์กอสจะต้องอาศัยข้อมู ลจากสถาบันต่างๆ อย่างสถาบันการศึกษา, สื่อ, ครอบครัว และรัฐ แทน โดยที่ตำราเรียนทั้งในโรงเรี ยนรัฐและโรงเรียนเอกชนต่างก็เป็ นฉบับที่มีการ "แก้ไข" ประวัติศาสตร์ช่วงยุคเผด็ จการให้ดูดีขึ้นโดยอ้างว่ามี "การพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวฟิลิปปินส์" ในช่วงนั้น ขณะเดียวกันก็ละเลยพูดถึงประวั ติศาสตร์การใช้อำนาจในทางที่ผิด การใช้ความรุนแรงหรื อความละโมภของรัฐบาลมาร์กอส ในประเด็นเรื่องความทรงจำร่วมกั นของผู้คน ความเงียบก็มีความสำคัญเท่ากั บการจำ
สำหรับสื่อในฟิลิปปินส์แล้วไม่ ได้เงียบเฉยในเรื่องนี้ อากาเยสระบุว่ามีการเผยแพร่ รายการที่พูดถึงกลุ่มปฏิวัติพลั งประชาชน (People Power Revolution) ของฟิลิปปินส์ที่โค่นล้มมาร์ กอสเป็นประจำทุกปี แต่ก็ยังมีปัญหาว่ าความทรงจำในเรื่องการลุกฮือโค่ นล้มเผด็จการมาร์กอสนั้นเน้นย้ ำอยู่แต่ที่ศูนย์กลางอย่ างในกลางกรุงมะนิลาในฐานะสัญลั กษณ์ของการลุกฮือต่อต้านอยู่ที่ เดียว ทำให้มีการนำเสนอภาพจำการโค่นล้ มเผด็จการมาร์กอสว่ามีการแพร่ กระจายมาจากศูนย์ กลางของนครหลวงแต่อย่างเดียว
อากาเยสระบุต่อไปว่าพอไม่มี การนำเสนอภาพตัวแทนจากคนในพื้ นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มชายขอบอยู่ในเรื ่องราวของการโค่นล้มเผด็จการ ทำให้ความทรงจำอย่างเป็ นทางการในระดับชาติไม่มีเรื่ องของความทรงจำคนในท้องถิ่นอยู่ ด้วย เรื่องของอนุสรณ์กำแพงแห่ งความทรงจำ (The Wall of Remembrance) ที่ตั้งขึ้นเพื่อสดุดีวีรชนผู้ ต่อสู้กับมาร์กอสก็มีปัญหาเช่ นกัน จากการที่มีแต่กลุ่มชนชั้นผู้ เชี่ยวชาญในเมือง อากาเยสมองว่าถ้าหากมี การรวมเอากลุ่มคนในท้องถิ่นเข้ าไปมีส่วนร่ วมในความทรงจำของการต่อต้านเผด็ จการด้วย ถึงแม้ว่าอาจจะมีความทรงจำที่ขั ดแย้งกับความทรงจำของส่ วนกลางอยู่บ้าง แต่ก็จะทำให้เกิดการมีส่วนร่ วมในประวัติศาสตร์ความทรงจำร่ วมกันระดับชาติได้ และลดโอกาสการเข้าสู่ อำนาจของครอบครัวมาร์กอสคนอื่น
อากาเยสระบุว่าปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี ้คือการที่ระบบการเมืองในฟิลิ ปปินส์ยังถูกครอบงำโดยผู้นำท้ องถิ่นในยุคหลังมาร์กอส ทำให้การพยายามทำให้การเมื องในฟิลิปปินส์กลายเป็นประชาธิ ปไตยมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่ างรุนแรงจากพวกคณาธิปไตย
อีกปัจจัยหนึ่งคือการที่ไม่มี คณะกรรมการข้อเท็จจริงเพื่ อทำให้มีการเขียนประวัติศาสตร์ ตามข้อเท็จจริงได้เปิดทางให้ มาร์กอสและพรรคพวกมีโอกาสชั กใยความทรงจำของผู้คนไปอี กทางหนึ่ง ไม่มีรัฐบาลหลังมาร์กอสรั ฐบาลใดที่พยายามรั กษาความทรงจำเกี่ยวกับความอยุติ ธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการทุจริตคอร์รัปชั่น ในช่วงยุคสมัยเผด็จการมาร์กอส
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เฟอร์ ดินานด์ มาร์กอส เสียชีวิตในปี 2532 หัวหน้าหน่วยงานเซนเซอร์ของฟิลิ ปปินส์ตำหนิสื่อว่า "ทำให้ครอบครัวมาร์กอสดูเป็นผู้ ร้าย" ในความเป็นจริงแล้วพอไม่มี การลงโทษผู้กระทำความผิดก็ทำให้ มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ กลายเป็นนิยายได้ ไม่มีครอบครัวมาร์กอสคนใดเลยที่ ต้องถูกจำคุ กเพราะการกระทำของพวกเขา
สำหรับอากาเยสแล้วมาร์กอสไม่ได้ "กำลังหวนคืนมา" แต่มาร์กอสไม่เคยจากไปตั้งแต่ แรกแล้ว เศษเสี้ยวต่างๆ ของมาร์กอสยังคงอยู่ในจิ นตนาการระดับชาติที่แพร่ หลายในหมู่ผู้คนและถูกครอบครั วมาร์กอสหยิบฉวยมาใช้ให้เป็ นประโยชน์
"ถ้าไม่มีการควบคุมอดีตของเรา พวกเราก็สูญเสียอำนาจทางการเมื องของพวกเราไป"
"การขาดความทรงจำในระดับชาติที่ ผู้คนมีส่วนร่วมทำให้ครอบครั วมาร์กอสสามารถาเยือนถึงหน้ าประตูทำเนียบประธานาธิบดีได้อี กครั้ง" อากาเยสระบุในบทความ
เรียบเรียงจาก
It takes a nation to raise a dictator’s son, Cleve Kevin Robert V Arguelles, New Mandala, 31-03-2016 http://asiapacific.anu.edu.au/ newmandala/2016/03/31/it- takes-a-nation-to-raise-a- dictators-son
แสดงความคิดเห็น