มูนิบา มาซารี ทูตสันถวไมตรีเพื่อผู้หญิงของยูเอ็นประจำปากีสถาน “มนุษย์สื่อถึงกันผ่านความเจ็บปวด ทำให้เปิดใจรับฟังและเติมพลังให้แก่กัน”
อุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีก่อน ปลดปล่อยผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งในปากีสถานให้หลุดพ้นจากวิถีอันเคร่งครัด ที่กำหนดให้ผู้หญิงต้องถูกจับคลุมถุงชนตั้งแต่อายุ 18 ปี อยู่แต่ในบ้านเพื่อทำหน้าที่ภรรยา และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการมีลูกเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลของสามี แต่อิสรภาพนั้นก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียความสามารถในการเดินด้วยขาทั้งสองข้างของเธอเอง มูนิบา มาซารี วัย 29 ปี ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เส้นประสาทที่สันหลังถูกกดทับและทำให้เธอเป็นอัมพาตท่อนล่าง สามีจึงหย่าขาดจากเธอ เพราะไม่สามารถมีลูกให้กับเขาได้
ในสังคมปากีสถานนั้น ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านอยู่แล้ว การที่ต้องเป็นผู้พิการในสังคมที่เชื่อว่าคนพิการนั้นถูกสาป ยิ่งผลักให้เธอไปอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม แต่เธอก็พยายามยืนหยัดอย่างเข้มแข็งและเริ่มทำงานด้านศิลปะ รวมทั้งเริ่มพูดกับสาธารณะถึงสิทธิและศักยภาพที่ถูกมองข้ามไปของคนทั้งสองกลุ่มนี้ หลังจากฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บป่วย
มูนิบา มาซารี วันนี้ เป็นทั้งศิลปิน นักพูด และแม่ของเด็กชายวัย 5 ขวบที่เธอรับมาอุปการะ เธอยังมีชื่อติดอันดับ 1 ใน 100 ผู้หญิงซึ่งเป็นแรงบันดาลใจทั่วโลกของบีบีซี ที่จัดอันดับในปี 2558
เมื่อเดือนธันวาคมปี 2558 เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีขององค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเสริมพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) คนแรกของประเทศปากีสถาน
มูนิบาให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า การได้ทำงานเพื่อส่งเสริมพลังของผู้หญิงนั้นทำให้เธอเห็นว่า หญิงและชายนั้นต่างต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันเหมือนกับการทำงานเป็นทีม และจากประสบการณ์ของเธอเอง ผู้เป็นทีมที่ดีก็คือแม่และน้องชาย แต่คนที่จะสร้างพลังให้กับตัวผู้หญิงเองได้อย่างสำคัญที่สุดไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากตัวของผู้หญิงเอง และเธอยืนยันว่า ความพิการและความเจ็บปวดนั้นเองที่เป็นตัวเชื่อมร้อยเธอเข้ากับคนอื่นได้อย่างดี “มนุษย์สื่อถึงกันด้วยความเจ็บปวด” เธอกล่าวตอนหนึ่งในการสัมภาษณ์ และเธอว่าความเจ็บปวดนั้นทำให้คนได้เปิดใจรับฟังและเติมพลังให้แก่กัน

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.