Posted: 31 Jan 2018 05:53 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
ศาลสืบพยานโจทก์และจำเลย ไปแล้ว 11 ปาก เหลืออีก 3 ปากสุดท้าย นัดสืบ 26-27 เม.ย.นี้ คดีมารดาของอับดุลซิ(ผู้ตาย) ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก และสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตเมื่อปี 56
31 ม.ค.2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า ศาลจังหวัดปัตตานีสืบพยานโจทก์ และพยานจำเลย คดีหมายเลขดำที่ พ.122/2560 กรณีมารดาของ อับดุลอาซิ สาและ เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 1 กองทัพบก จำเลยที่ 2 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่เข้าปฏิบัติการปิดล้อมและตรวจค้นบ้านเรือนของชาวบ้านที่หมู่บ้านกำปงบือราแง หมู่ที่ 2 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี และขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ใช้อาวุธปืนยิง อับดุลอาซิ ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 15 ต.ค 2556
ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์จำเลยในวันที่ 23-26 และ 30-31 ม.ค. 2561 โดย ฝ่ายโจทก์ได้นำพยานมาสืบจำนวน 3 ปาก คือมารดาของอับดุลอาซิ (ผู้ตาย) ส่วนอีกสองปากคือเพื่อนบ้านของมารดาของอับดุลอาซิ ฝ่ายจำเลยนำพยานมาสืบจำนวน 8 ปาก ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ จำนวน 4 ปาก แพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย จำนวน 1 ปาก เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจเขม่าปืน จำนวน 1 ปาก พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ จำนวน 1 ปาก และประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฟ้องคดีแพ่งอันมีมูลเหตุมาจากการเสียชีวิตของ อับดุลอาซิ ที่แต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(จำเลยที่ 1) ภายหลังถูกฟ้องคดี จำนวน1 ปาก
เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยรวมทั้งสิ้น 11 ปากดังกล่าวแล้ว พนักงานอัยการทนายจำเลยทั้งสาม แถลงต่อศาลว่ายังคงมีพยานที่จำเลยประสงค์จะนำมาเบิกความต่อศาลอีก 3 ปากสุดท้าย ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐาน จำนวน 1 ปาก หัวหน้าชุดของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ จำนวน 1 ปาก และเจ้าหน้าทหารผู้ประสานงานคดีของฝ่ายจำนวน จำนวน 1 ปาก จึงขอเลื่อนนัดออกไปอีกสักครั้งเพื่อนำพยานทั้งสามปากมาเบิกความต่อศาล ด้วยเหตุดังกล่าวศาลจึงได้มีคำสั่งนัดสืบพยานจำเลยอีกครั้งเป็นวันที่ 26 และ 27 เม.ย.นี้
ขณะที่เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานีออกนั่งพิจารณานัดไกล่เกลี่ย ชี้สองสถาน และกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.397/2560 กรณีเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ยิงประชาชนเสียชีวิต 4 คน ในพื้นที่บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี โดยโจทก์ทั้งแปด (จาก 4 ครอบครัว) เป็นบิดามารดาของผู้ตาย ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2560 เรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก จำเลยที่ 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 2 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 3 รวมเป็นเงินกว่า 39 ล้านบาท
ในวันดังกล่าว ฝ่ายโจทก์มีทนายความของโจทก์ทั้งแปดมาศาล ฝ่ายจำเลยมีพนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีซึ่งเป็นทนายความจำเลยทั้งสาม มาศาล และพนักงานอัยการได้แถลงขอเลื่อนนัดดังกล่าว เนื่องจากตนได้ขอขยายวันยื่นคำให้การออกไปอีกเนื่องจากอยู่ในช่วงสอบสวนข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับวันเกิดเหตุและจะนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนนั้นทำคำให้การ รวมทั้งต้องส่งคำให้ก่อนให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาก่อนด้วย ศาลอนุญาตต่อตามคำขอโดยให้ยื่นคำให้การภายในวันที่ 26 ก.พ. 2561
ส่วนกรณีมีเจ้าหน้าที่ทหารยศพันตรีนายหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารชุดปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องขอ(ไม่อนุญาตตามคำขอ) เนื่องด้วยศาลเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีพนักงานอัยการทนายความของจำเลยทั้งสามอ้างเจ้าหน้าที่ทหารคนดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ฯคนดังกล่าวสามารถเบิกความอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และการปฏิบัติหน้าที่ของตนในวันเกิดเหตุได้โดยละเอียดอันเป็นการแก้ต่างของตนในคดีได้อยู่แล้ว
ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลจังหวัดปัตตานีพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งให้เลื่อนคดีออกไป เพื่อให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีภายในกำหนดเวลาดังกล่าวข้างต้น โดยศาลกำหนดนัดชี้สองสถานพร้อมกำหนดวันนัดสืบพยานและแนวทางการดำเนินคดี
ในวันที่ 19 มี.ค.นี้
จากเหตุการณ์ที่เป็นเหตุแห่งคดีนี้ ครอบครัวของผู้ตายทั้ง 4 ครอบครัว ได้รับการอนุมัติเงินเยียวยาจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2560 ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อต่างๆ ซึ่งทางครอบครัวของผู้ตายโดยบิดามารดาของผู้ตายซึ่งโจทก์ทั้งแปดคนในคดี ได้แจ้งต่อทนายความของตนว่า ทางครอบครัวได้รับเงินเยียวยาดังกล่าวแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 2561 ที่ผ่านมา แต่เป็นเงินจำนวนที่น้อยกว่าที่เรียกร้องตามคำฟ้องอยู่มาก จึงยังคงติดใจดำเนินคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายและความเป็นธรรมให้แก่ผู้ตายตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แสดงความคิดเห็น