Posted: 20 Sep 2018 09:57 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Thu, 2018-09-20 23:57



เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
18 กันยายน 2561

แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ เส้นสีแดงล้อมรอบด้านบนคือเขตคำขอประทานบัตรที่ 2/2559 

เส้นสีแดงล้อมรอบด้านล่างคือเขตป่าน้ำซับซึมและบ่อน้ำซับบ่อที่ 3 
เครดิตภาพ : กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย 

1 สิงหาคม 2561 กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ได้ติดประกาศคำขอประทานบัตรที่ 2/2559 ทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินทรายเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างเนื้อที่ 215 ไร่ 3 งาน 38 ตารางวา ของบริษัท ทรี มาเธอร์ เทรดดิ้ง จำกัด[[1]] เอาไว้ในพื้นที่ตำบลคำป่าหลาย อ.เมือง จ.มุกดาหาร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนคัดค้านภายใน 30 วัน ก่อนที่จะดำเนินการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 56 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 หรือกฎหมายแร่ฉบับใหม่เป็นขั้นตอนต่อไป 

ภาพถ่ายชาวบ้านยืนถือป้ายคัดค้านการขอประทานบัตรทำเหมืองหินทราย
เครดิตภาพ : กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย

ชาวบ้านในนาม “กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย” จึงได้ยื่นหนังสือคัดค้านตามกำหนดเวลาโดยให้เหตุผลว่า ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนระบบนิเวศในพื้นที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งน้ำซับของคนในพื้นที่ตำบลคำป่าหลายและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีน้ำเพียงพอใช้ได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นแหล่งป่าต้นน้ำที่มีน้ำผุด “ดานกะลอม” ที่ไหลลงลำห้วยปงและลำห้วยบังทรายและแม่น้ำโขงเป็นลำดับถัด ๆ ไป หากเกิดการทำเหมืองแร่ขึ้นมาแหล่งน้ำซับอาจจะหายไป ยากแก่การหาแหล่งน้ำอื่นมาทดแทนได้






ภาพถ่ายจากจุดบ่อน้ำซับบ่อที่ 3
เครดิตภาพ : อดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน

ความรู้ทางธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณีบอกกับเราว่าหินทรายในบริเวณดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่อการใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างอาคาร แต่เหมาะสำหรับใช้เป็นหินถมที่และหินถมสร้างเขื่อนกันตลิ่งพังริมฝั่งแม่น้ำลำธาร ส่วนความรู้ของชาวบ้านบอกกับเราว่าบริเวณแหล่งหินทรายเหล่านี้มักมีแหล่งน้ำซับซึมผุดขึ้นมาเป็นหย่อม ๆ ให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สร้างบ้านแปลงเรือน

นิเวศวิทยาของชาวบ้านได้พึ่งพาน้ำซับที่ผุดขึ้นมาจากหินทรายเหล่านี้มาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคนแล้ว ที่ตำบลคำป่าหลายมีบ่อน้ำซับแหล่งใหญ่อย่างน้อยสามบ่อที่ชาวบ้านใช้สำหรับทำการเกษตรและประโยชน์ใช้สอยอื่นในชีวิตประจำวัน บ่อน้ำซับที่ใกล้เขตคำขอประทานบัตรที่สุดห่างกันแค่ 300 เมตร ไม่เพียงเท่านั้น, ลักษณะของน้ำซับที่นั่นนอกจากจะผุดขึ้นมาเป็นตาน้ำใหญ่ไหลรวมกันเป็นแอ่งและเป็นบ่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีลักษณะน้ำซับที่ซึมออกมาจากเนื้อหินทรายกระจายไปทั่วบริเวณด้วย ซึ่งหินทรายที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตคำขอประทานบัตรของบริษัทฯก็มีน้ำซับซึมไหลแทรกเนื้อหินทรายขึ้นมาบนพื้นผิวกระจายไปทั่วบริเวณเช่นเดียวกัน

มีเรื่องน่าสนใจตรงที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ มาตรา 17 วรรคสี่ได้บัญญัติเนื้อหาสอดคล้องกับความรู้ในนิเวศวิทยาของชาวบ้านเอาไว้ว่า “พื้นที่ที่จะกําหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทําเหมืองต้องไม่ใช่พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เขตโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เขตพื้นที่ที่มีกฎหมายห้ามการเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ หรือพื้นที่แหล่งต้นน้ําหรือป่าน้ําซับซึม” นั่นหมายความว่าแหล่งหินทรายที่นั่นมีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศสูงมาก ในสภาพพื้นที่จริงนอกจากเป็นแหล่งน้ำซับน้ำซึมแล้ว ยังเป็นพื้นที่แหล่งอาหารหาอยู่หากินของชาวบ้านอีกด้วย หากเกิดกระทบกระเทือนจากการระเบิดที่ประกอบด้วยปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทผสมน้ำมันดีเซลเพื่อทำเหมืองหินทรายอาจจะส่งผลให้แหล่งน้ำสำคัญต่อชีวิตของผู้คนที่นั่นเสียหายไปด้วยอย่างแน่นอน

ในด้านการคมนาคมขนส่งที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA หากมีการทำเหมืองเกิดขึ้นจะมีรถบรรทุกหนักขนแร่วิ่งเข้าออกหมู่บ้านไม่ต่ำกว่าวันละ 108 เที่ยว (แบ่งเป็นรถเปล่า 54 คัน และบรรทุกแร่เต็มรถอีก 54 คัน) นั่นแสดงว่าจะมีรถบรรทุกแร่หินทรายวิ่งเข้าออกหมู่บ้านเดือนละ 3,240 เที่ยว ปีละ 39,420 เที่ยว และ 985,500 เที่ยวตลอดอายุประทานบัตร จากปริมาณสินแร่หินทรายที่คำนวณได้ตลอดอายุประทานบัตร 25 ปี เท่ากับ 19,711,620 เมตริกตัน คิดเป็นเงินจากการขายแร่หินทรายที่ 150 บาทต่อเมตริกตัน ตลอดอายุประทานบัตรจะได้เป็นเงิน 2,956,743,000 บาท มันจึงเป็นตัวเลขที่ยั่วยวนใจสมาชิกสภาเทศบาลตำบลคำป่าหลายเมื่อคราวการประชุมสมัยวิสามัญ สมัยที่ 1 ครั้งที่ 1 ประจำปี 2560 วันที่ 25 มกราคม 2560 ณ ห้องประชุมสภาเทศบาลตำบลคำป่าหลาย ให้ยกมือรับรองรายงานการประชุมประชาคมของชาวบ้านนาคำน้อยหมู่ที่ 6 เพื่อให้บริษัทฯดำเนินการขอประทานบัตรในขั้นตอนต่อไปได้ด้วย 7 คะแนนเสียง อีก 5 คะแนนเสียงแทนที่จะยกมือไม่เห็นด้วย แต่ลังเลใจจึงใช้วิธีแสดงตนว่างดออกเสียงแทน เผื่อวันข้างหน้าอาจจะเปลี่ยนใจมาสนับสนุนเหมืองได้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ที่จะได้จากค่าภาคหลวงแร่เพียงปีละ 946,158 บาทเท่านั้น[[2]] ไม่ใช่ปีละ 1,600,000 บาท ตามความเข้าใจผิดของสมาชิกสภาเทศบาลตำบลคำป่าหลายที่ยกมือให้กับเหมือง

หกปีก่อนหน้านี้กรมทรัพยากรธรณีมีความเห็นไว้ว่า[[3]] เนื่องจากแหล่งหินทรายบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้หมู่บ้านแหล่งชุมชน และจากผลการสำรวจจะเห็นได้ว่าทรัพยากรแร่ของจังหวัดมุกดาหารถึงแม้จะมีปริมาณไม่สูงมาก แต่การนำทรัพยากรแร่มาใช้ประโยชน์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้ส่งผลกระทบหลายด้าน โดยเฉพาะทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การนำทรัพยากรแร่ของจังหวัดมุกดาหารมาใช้ประโยชน์ควรคำนึงถึงความต้องการใช้ประโยชน์แร่ชนิดนั้นของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วน

โดยอธิบายขยายความเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า หากจะนำหินทรายในบริเวณดังกล่าวมาพัฒนาโดยส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนหรือแม้กระทั่งรัฐเองเข้าไปทำเหมืองแร่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนเป็นอย่างมากด้วย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการพิจารณาอนุญาตตามแนวทาง ระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมพิจารณา เช่น ข้อจำกัดเชิงพื้นที่ และการมีส่วนร่วมในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการทำเหมือง เป็นต้น

ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำที่ดีมาก แต่ความจริงกลับพบว่า EIA หรือ “รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินทราย เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง คำขอประทานบัตรที่ 2/2559 ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 6 ตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร” ที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่ (คชก.) ให้ความเห็นชอบไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ที่อยู่ในมือของบริษัทฯและหน่วยงานราชการกลับไม่ได้เปิดเผยเป็นการทั่วไปให้ชาวบ้านได้รับทราบหรือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระเสรี



ในวันประชุมสมัยวิสามัญ สมัยที่ 1 ที่ยกมือให้เหมือง 7 เสียงนั้น ทั้งพนักงานบริษัทฯและสมาชิกสภาเทศบาลได้หยิบยกเรื่องผลกระทบด้านลบต่อวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมขึ้นมาพูดคุยกันประปราย ซักถามกันพอประมาณเพราะรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ยังอยู่ในระหว่างการจัดทำและยังไม่ได้รับความเห็นชอบจาก คชก. จึงไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงในการประเมินและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมาแสดงให้สมาชิกสภาเทศบาลได้เห็นเลย แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่คุยกันถึงผลกระทบด้านบวกที่จะได้รับจากการทำเหมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าภาคหลวงแร่ กองทุนเฝ้าระวังดูแลสุขภาพของชุมชน กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน การจ้างงาน (ซึ่งไม่บอกว่ากี่ตำแหน่ง แต่บอกแค่ว่าราษฎรซึ่งทำกินในบริเวณที่ขอประทานบัตร 4 ราย จะจ้างให้เป็นยามหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย) และผลประโยชน์ที่จะได้รับอื่น ๆ จึงนับว่าเป็นกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการขอประทานบัตรที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย เพราะไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงด้านการประเมินและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมาประกอบการตัดสินใจได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพียงพอ

ภาพถ่ายหมุดเขตคำขอประทานบัตรและสภาพหินทรายในบริเวณคำขอประทานบัตรที่ 2/2559 เครดิตภาพ : อดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน
ข้อย้อนแย้งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือในท้องที่ตำบลคำป่าหลายมีความขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์ในที่ดินเขตป่ามายาวนาน นโยบายจัดสรรที่ดินทำกินในเขตป่าและขับไล่คนออกจากป่าเปลี่ยนมาตามยุคสมัย ปัจจุบัน, จากผลของนโยบายทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้บางคนกำลังดำเนินการเพื่อยึดคืนที่ดินทำกินในเขตป่าของชาวบ้านซึ่งอยู่ในเขตคำขอประทานบัตรแปลงดังกล่าวเอาไปให้เอกชนทำเหมืองหินทราย

ในขณะที่ชาวบ้านต้องการความยั่งยืนในการดำเนินชีวิตอันประกอบด้วยความมั่นคงในที่ดินสามส่วนด้วยกัน อันได้แก่ ที่ดินอยู่อาศัยซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านเรือน ที่ดินทำกินเพื่อปลูกอาหารและเลี้ยงสัตว์ และที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวมอย่างเช่นป่าชุมชนเพื่อใช้สอยในประโยชน์สาธารณะตามฤดูกาล ซึ่งในคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ที่ออกมาปรามการกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้มาตรการและวิธีรุนแรงกับชาวบ้านตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 มากจนเกินไปก็ระบุไว้ชัดเจนว่า “การดําเนินการใด ๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทํากิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้น ๆ ก่อนคําสั่งนี้มีผลบังคับใช้ ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะต้องดําเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกําหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป” ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นั่นก็เป็นผู้อาศัยในพื้นที่เดิมนั้น ๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ก็ยังถูกกลั่นแกล้ง อาจจะด้วยผลประโยชน์บังตาหรือไม่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้เพราะไม่มีหลักฐานหนักแน่นเพียงพอที่จะกล่าวหาเจ้าหน้าที่คนนั้นได้

แต่ทั้งหมดนี้ จะส่งผลให้ระบบนิเวศน้ำซับคำป่าหลายถูกทำลายลงหากกลไกและมือไม้ของรัฐอนุญาตให้ประทานบัตรทำเหมืองหินทราย.


เชิงอรรถ


[[1]] ประกาศกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เรื่อง ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ คำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินทรายเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง คำขอที่ 2/2559 เนื้อที่ประมาณ 215 ไร่ 3 งาน 38 ตารางวา ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ 6 ตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ประกาศ ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ลงชื่อนายวสันต์ นิสัยมั่น เจ้าพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องที่


[[2]] กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ประกาศพิกัดค่าภาคหลวงแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินทรายอยู่ที่ร้อยละ 4 จากราคาขายของสินแร่ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2558 เป็นต้นมา โดยเทศบาลตำบลคำป่าหลายซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่คำขอประทานบัตรจะได้ส่วนแบ่งร้อยละ 20 จากค่าภาคหลวงแร่


[[3]] จากเอกสาร “การจำแนกเขตเพ่ือการจัดการด้านธรณีวิทยา และทรัพยากรธรณีจังหวัดมุกดาหาร”. กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2555
[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.