Posted: 16 Sep 2018 10:28 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าวเว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-09-17 00:28
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ปักกิ่ง- ชาวโลกจำนวนมากกำลังเฝ้ามองประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนด้วยความกังวล ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเขารวบรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลางอีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตของเขาคือสิ่ง อำพรางการกวาดล้างทางเมือง พวกเขาวิตกว่าสีกำลังสร้างลัทธิเชิดชูบุคคล ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงอย่างมากกับลัทธิเชิดชูเหมา เจ๋อตงและช่วยกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม
ความจริงนั้นชั่วร้ายน้อยกว่าเยอะ ในขณะเป็นเรื่องจริงที่ว่า ในบางส่วน สีนั้นกำลังสะสมอำนาจ แรงผลักดันของเขาคือความต้องการทำให้จีนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของการปกครองและเศรษฐกิจ เพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จ เขาต้องทำให้ระบบราชการซึ่งค่อนข้างออกนอกลู่นอกทางกลับเข้าแถว
มากกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา อำนาจการปกครองของจีนนั้นถูกกระจายไปอย่างมหาศาล อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลท้องถิ่นและเทศบาลได้รับอำนาจการปกครองตัวเองอย่างมากมายในการทดลองและทดสอบการปฏิรูปซึ่งมุ่งไปสู่การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและการกระตุ้นการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาได้รับอำนาจในการควบคุมโดยตรงเหนือทรัพยากรต่างๆ อย่างเช่นที่ดิน การคลัง เชื้อเพลิงและวัตถุดิบ เช่นเดียวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น ดังนั้นรัฐบาลที่ต่ำกว่ารัฐบาลกลางนำไปสู่ร้อยละ 71 ของรายจ่ายทั้งหมดของรัฐในช่วงระหว่างปี 2000-2014 อันเป็นส่วนแบ่งที่สูงกว่าของประเทศที่ปกครองโดยระบอบสหพันธรัฐซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกทั้งหมด (ส่วนแบ่งของรายจ่ายของรัฐบาลระดับมลรัฐของสหรัฐฯ มีแค่ร้อยละ 46 เป็นต้น)
เป้าหมายนั้นคือการกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมโดยการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันระหว่างส่วนภูมิภาคต่างๆ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคประจำท้องถิ่นรู้ว่าเส้นทางอาชีพของพวกเขาขึ้นอยู่กับสมรรถนะทางเศรษฐกิจของพื้นที่ตัวเอง และโดยการทำงานหนักเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต พวกเขาได้ผลักดันให้จีนทะยานไปสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก (หรือใหญ่ที่สุดตามบางมาตรฐาน) อันจะทำให้ความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์มีความมั่นคงยิ่งขึ้นในยุคหลังเหมา เจ๋อตง
แต่การกระจายอำนาจมีข้อเสียหลายประการ มันก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น หนี้ขนาดมหึมาของรัฐบาลท้องถิ่น และมันยังกระตุ้นให้เกิดการฉ้อราษฎรบังหลวงขนานใหญ่ จากการที่เจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นมีการตกลงพิเศษกับองค์กรธุรกิจโดยมอบการลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ หรือที่ดินในราคาต่ำกว่าท้องตลาดให้
ในประเทศซึ่งมีกฎระเบียบเคร่งครัดและตลาดการเงินยังด้อยพัฒนา ธุรกิจเอกชนต้องพบกับอุปสรรคอย่างสูงในการเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจ หากข้อตกลงอันมิชอบคือนำไปสู่การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรและตลาดที่พวกเขาต้องการ บริษัทเอกชนมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวดในการบรรลุข้อเสนอนี้โดยการเสนอเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งใช้อำนาจแก้ไขหรือละเมิดกฎระเบียบให้
พฤติกรรมดังกล่าวได้ช่วยให้บริษัทเอกชนซึ่งมีส่วนต่อการเจริญเติบโตของประเทศหลายพันบริษัทเข้าสู่ระบบตลาดในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 ในยุคซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจคือเป้าหมายสำคัญสูงสุด การทุจริตซึ่งช่วยให้มันเกิดขึ้นก็ได้รับการยอมรับโดยปริยายและถึงขั้นยอมรับอย่างเอิกเกริก
แต่การทุจริตได้เริ่มอยู่เหนือการควบคุมและบัดนี้เข้าคุกคามเสถียรภาพของประเทศจีนและความถูกต้องชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ มากกว่า 3 ทศวรรษของการบริหารงานที่หละหลวม เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นบางคนได้สร้างระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองซึ่งช่วยกันปกป้องทรัพย์สินและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันได้มาโดยมิชอบ การฉ้อฉลและการยักยอกเงินจำนวนมหาศาลจากกองทุนสาธารณะไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยการสมรู้ร่วมคิดกันในการปกป้องและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการไต่บันไดทางการเมือง
เครือข่ายทางการเมืองอันโสโครกเหล่านั้นแทบจะไม่สามารถถูกทะลุทะลวงได้เลย จากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากได้กลายเป็นคู่แข่งของรัฐบาลกลางไปโดยอัตโนมัติ และได้ปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเหนียวแน่นโดยการป้องกันตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ของพวกตน หากไม่เข้ามาควบคุมลูกน้องคือรัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลกลางก็จะไม่สามารถผลักดันแผนการปฏิรูปได้
ดังนั้นสีจึงหยุดเพิกเฉยต่อการทุจริต เขาได้มอบอำนาจของท้องถิ่นในบางส่วนคืนให้กับรัฐบาลกลางและเขาก็เริ่มต้นการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตซึ่งแพร่หลายไปทั่ว
เป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้ว ที่ข้าราชการของมนฑลต่างๆของจีน ไม่ว่าเป็นหัวหน้าแผนกระดับล่างๆ ของกระทรวงต่างๆ จนไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงระดับอาวุโสถูกจองจำ หากพิจารณาถึงด้านภูมิประเทศ การจับกุมข้าราชการจะเริ่มต้นจากมณฑลชายขอบ ก่อนจะไล่ไปยังเทศบาลซึ่งอยู่ตรงกลาง
การจัดการข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (และเจ้าหน้าที่ในกองทัพ) จำนวนมากซึ่งถูกมองว่าเป็นปรปักษ์ทางการเมือง (ของสี) ดูเหมือนกับเป็นการเล่นงานศัตรู แต่ข้อเท็จจริงคือผู้ซึ่งถูกดำเนินคดีและลงโทษให้จำคุกทั้งหมดถูกพบว่ากระทำความผิดจริงโดยอิงอยู่บนหลักฐานอันหนักแน่น จีนยุคใหม่ซึ่งแม้ว่าจะมีระบบการศาลซึ่งบกพร่องไม่สามารถจำคุกข้าราชการโดยเหตุผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียวเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคเหมา
ความพยายามของสีในการเข้าควบคุมระบบราชการยังคงดำเนินไปอย่างไม่สิ้นสุด ในระยะสั้นๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้รับความเสียหายเมื่อรัฐบาลท้องถิ่นชะลอการตัดสินใจเพื่อจะหลีกเลี่ยงความสนใจมากเกินไปมาสู่ตัวเอง แต่ถ้าระบบได้รับการชะล้าง จีนก็จะอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมากในการบรรลุถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและมั่นคง
ผู้ซึ่งหวาดกลัวการปฏิวัติวัฒนธรรมเวอร์ชั่น 2.0 ต้องเข้าใจว่าจีนไม่ใช่ประเทศดังเมื่อ 50 ปีก่อน ดินแดนสำหรับระบบเผด็จการนิยมและลัทธิเชิดชูบุคคลได้ถูกไถกลบภายใต้ 3 ทศวรรษแห่งการเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ และความเจริญทางเศรษฐกิจ ไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าสี
วิจารณ์บทความ
ผู้แปลเห็นว่าบทความนี้มองสี จิ้นผิงในด้านบวกมากไป (ราวกับนายสุทธิชัย หยุ่นมาเขียนเอง) แม้จะเห็นด้วยกับบางส่วนเช่นนายสีไม่มีทางที่จะเหมือนกับเหมา เจ๋อตง และไม่น่าจะเกิดปฏิวัติวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ขึ้นมา เพราะเป็นคนละบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ (ในทศวรรษที่ 60 เหมาปลุกระดมให้มีการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อแย่งชิงอำนาจคืนจากกลุ่มคนรอบข้างในพรรคคอมมิวนิสต์) แต่ผู้แปลรู้สึกได้ว่าผู้เขียนบทความนี้ใช้คำค่อนข้างคลุมเคลือและไม่สอดคล้องกับความจริงของสังคมจีนเท่าไรนักอย่าง คำว่าการเปิดการ (Openness) ซึ่งน่าจะหมายความจีนมีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้น ทั้งที่สังคมจีนในปัจจุบันได้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ริดรอนสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นกว่าในยุคของนายหู จินเทา ประธานาธิบดีคนก่อน เช่นเดียวกับภาวะการเป็นเผด็จการมากขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์มาช่วยควบคุมพฤติกรรมของมวลชนหรือชนกลุ่มน้อยอย่างพวกนักกิจกรรมทางศาสนาและเชื้อชาติต่างๆ ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จำกัดบทบาทและกวาดล้างหนักยิ่งกว่าเดิม
ผู้เขียนยังอ้างว่า ระบบการเมืองของจีนสามารถถูกชะล้าง (cleaned up) ได้ ในฐานะที่ผู้แปลเชื่อในรูปแบบประชาธิปไตยหรือการมีส่วนร่วมของประชาชนรวมไปถึงความโปร่งใสอันเป็นหลักการณ์ของ ธรรมาภิบาลที่แท้จริง ผู้แปลจึงเห็นว่าระบบการเมืองของจีนซึ่งเหมือนกับกล่องดำ ปราศจากการรับรู้ที่แท้จริงของประชาชนจะไม่สามารถบริสุทธิ์ได้ ยิ่งนายสีเป็นเผด็จการมากขึ้น เขาก็จะมีความฉ้อฉลมากขึ้น เพราะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องและกลุ่มฐานอำนาจของเขาเอง เพราะยิ่งนายสีกวาดล้างฝ่ายตรงกันข้ามมากเท่าใด เขาก็ต้องทำให้ฐานอำนาจของเขามีความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น
อย่างน้อยเมื่อหลายเดือนก่อนการที่สภาประชาชนแห่งชาติจีนมีมติ (ตามคำบัญชาของพรรคคอมมิวนิสต์) ให้ยุติการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อเอื้อต่อนายสี ก็เป็นการทุจริตเชิงนโยบายอีกแบบหนึ่ง
หมายเหตุ: แปลจากบทความภาษาอังกฤษชื่อ Xi Jinping is no Mao Zedong ในเว็บไซต์ของ Japan Times
เกี่ยวกับผู้เขียน เคยู ลิน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐกิจจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน
แสดงความคิดเห็น