Posted: 21 Sep 2018 01:52 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Fri, 2018-09-21 15:52
หลัง แม่พยาบาลเกด เหยื่อกระสุนปืนทหารในเหตุการณ์สลายชุมนุมเสื้อแดงปี 53 บุกทำเนียบทวงถาม พล.อ.ประวิตร เหตุมีกระแสข่าวนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดี ต่อมา ‘มัลลิกา’ ออกโรงเตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช. ขณะที่ ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืน ด้าน 'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำ
ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช. เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 โดยทหารในภาพมองไปยังหน้าวัดปทุมฯ
21 ก.ย.2561 จากกรณีที่วานนี้ (20 ก.ย.61) พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ กมนเกด อัคฮาด หรือ เกด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 2553 พร้อมด้วย ณัทพัช อัคฮาด บุตรชายของพะเยาว์ รวมทั้ง พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าวเช่นกัน ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เดินเท้าจากศาลทหารกรุงเทพ ไปยังทำเนียบรัฐบาลและยื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประวิตร วงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตรวจสอบกรณี มีนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดีกับทหาร กรณีสลายการชุมนุมปี 2553 นั้น
ภาพ พะเยาว์ อัคฮาด และ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เดินไปทำเนียบเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2561 (ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก Nattaputt Akahad)
‘มัลลิกา’ เตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช.
ต่อมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธาน มูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเตือน พะเยาว์ และและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆ เพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่ม นปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเพื่ออะไร
ต่อมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธาน มูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเตือน พะเยาว์ และและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆ เพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่ม นปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเพื่ออะไร
'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำ
ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ย.61) พะเยาว์ โพสต์โต้ มัลลิกา ผ่านเฟสบุ๊ก 'Phayaw Akkahad' ด้วยว่า "ฝากไปถึงคุณมัลลิกาและพรรคประชาธิปัตย์นะคะ คดีไต่สวนการตายของลูกสาวดิฉันศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ว่า ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจาก ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืน ยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุม และไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว"
นอกจากนี้ พะเยาว์ ได้แนะนำให้อ่านคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/content/362085
"ขี้เกียจพูดมาก เจ็บคอ" พะเยาว์ โพสต์ทิ้งท้าย
ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ย.61) พะเยาว์ โพสต์โต้ มัลลิกา ผ่านเฟสบุ๊ก 'Phayaw Akkahad' ด้วยว่า "ฝากไปถึงคุณมัลลิกาและพรรคประชาธิปัตย์นะคะ คดีไต่สวนการตายของลูกสาวดิฉันศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ว่า ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจาก ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืน ยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุม และไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว"
นอกจากนี้ พะเยาว์ ได้แนะนำให้อ่านคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/content/362085
"ขี้เกียจพูดมาก เจ็บคอ" พะเยาว์ โพสต์ทิ้งท้าย
ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่มีเพียง มัลลิกา เท่านั้นที่ออกมาโต้ พะเยาว์ วันนี้ (21 ก.ย.61) ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า กรณีคดีความเหตุการณ์ ปี 53 กองทัพบก ติดตามความความคืบหน้าคดีมาตลอด ไม่ได้ชะลอหรือทำให้เกิดความล้าช้า โดยทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก ได้มีการติดตามเรื่องคดีต่างๆ อยู่เป็นระยะ แต่เพื่อรักษาบรรยากาศบ้านเมือง การให้ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาจึงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะห่วงความรู้สึกผู้ได้รับผลกระทบ
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ปัจจุบันเรื่องคดีนั้น เชื่อว่าหลายคดีที่มีองค์ประกอบพอเพียงที่จะดำเนินการทางคดีได้ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในกระบวนการแล้ว สำหรับคดีที่เจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ถูกกระทำ ก็มีความคืบหน้าน้อย ซึ่งคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบกก็ยังติดตามอย่างใกล้ชิด ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน
โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ส่วนข้อห่วงใยคือ การติดตามอาวุธปืนราชการที่หาย เมื่อครั้งถูกปล้นและยึดไปเมื่อปี 2553 ปัจจุบันยังคงพยายามเร่งรัดหาคืน แม้ว่าในช่วง ปลายปี 2557 เจ้าหน้าที่สามารถยึดอาวุธสงครามบางส่วนได้ พร้อมออกมาตราการให้ใครก็ตามที่ครอบครองอาวุธสงครามนำส่งมอบให้ทางการมียอดรวมมากหลายหมื่นกระบอก ทั้งนี้ในส่วนอาวุธปืนของกองทัพบกที่ถูกปล้นยึดหายไปคราวนั้น ก็ยังตามหากลับมาได้ไม่ครบ ทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก จึงต้องให้ความสำคัญพร้อมเร่งรัดต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เหตุการณ์เกี่ยวกับการใช้อาวุธสงครามในชุมชนเมือง ไม่เกิดขึ้นมาซ้ำรอยอดีต
- เปิดคำสั่งศาลโดยย่อ ทำไม ‘6 ศพวัดปทุมฯ เสียชีวิตจากทหาร’
- เทียบเส้นทางฟ้อง‘คนสั่ง’สลายชุมนุมเหลือง-แดง ก่อน ป.ป.ช.ตอบรื้อไม่รื้อคดีปี 53
- รายงาน: ปากคำพยานกรณี 6 ศพวัดปทุม กับ วาทะท่านผู้นำ “ทหารแค่ยืนแอคท่าให้ถ่ายรูป”?
สำหรับ กระแสข่าวนายพลรุกเจรจาให้ยุติคดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 53 นั้น เกิดขึ้น 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงอัยการสูงสุดและผู้เกี่ยวข้องในคดีสลายการชุมนุมดังกล่าว โดย ณัฐวุฒิ อ้างถึง บทความคอลัมน์ มองรอบทิศ เรื่อง "นายพล" เดินแรง โดยผู้ใช้นามปากกา พยัคฆ์น้อย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันที่ 6 ก.ย. 2561 ซึ่งเขียนว่ามีนายทหารระดับ "นายพล" เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 โดย "นายพล" ขอให้ผู้ใหญ่ฝ่ายอัยการยุติเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรณีเกือบ 20 ศพ ที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายเป็นที่ยุติแล้วว่าเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ให้ทำเป็น "สำนวนมุมดำ" หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาล และ ณัฐวุฒิ ยังระบุด้วยว่า จะมอบหมายตัวแทนฝ่ายกฎหมายเดินทางไปยืนคำร้องเรื่องนี้ต่อสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ คดี 6 วัดปทุมวนาราม ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการเสียชีวิตตั้งแต่ 6 ส.ค.56 แล้ว ว่า สุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1, อัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแห่ง ผู้เสียชีวิตที่ 2, มงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ผู้เสีย ชีวิตที่ 3, รพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับ รถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5, และ อัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. สมัย อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ศาลสั่งว่าผู้ตายที่ 1,3-6 ถึงแก่ความตายเนื่องจากกระสุนปืน .223 จากทหารกองพันจู่โจมพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุมฯ ขณะเกิดเหตุ ส่วนผู้ตายที่ 2 ตายจากกระสุน .223 จากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่บริเวณถนนพระราม 1 ช่วงเกิดเหตุ ภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. และผลการตรวจจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบร่องรอยการยิงปืนของมือทั้ง 6 ศพ จึงเชื่อว่าทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อาวุธปืน รวมทั้งขณะเกิดเหตุมีด่านเจ้าหน้าที่ตรวจค้นอาวุธแน่นหนา
นอกจากนี้ ภายหลังการอ่านคำสั่งในวันนั้น ผู้สื่อข่าวประชาไทยังรายงานด้วยว่า ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า 1.เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2.ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3.การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4.กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยศาลมีคำสั่งให้นำคำสั่งนี้ส่งต่อให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
แสดงความคิดเห็น