Posted: 03 Dec 2018 04:11 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-12-03 19:11
โสภณ พรโชคชัย
มีกัลยาณมิตรฝ่าย กปปส. ท่านหนึ่งส่งวาทะของลีกวนยูที่ดูคล้ายเป็นเผด็จการทรราชมาให้ผมอ่าน ความว่า "ผมมักจะกล่าวประณามการแทรกแซงชีวิตส่วนตัวของประชาชนอยู่เสมอ และแน่นอนถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น เราก็อาจจะไม่มาถึงจุดที่เรายืนในทุกวันนี้" (https://bit.ly/2AGRbUj) เราตีความนี้กันอย่างไรแน่!?!
หะแรกผมไม่แน่ใจว่านายลีกวนยู (https://bit.ly/2E9Xyn9) นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์พูดจริงหรือไม่ จึงไปค้นหาในเอกสารภาษาอังกฤษของรัฐบาลสิงคโปร์โดยตรง จึงได้ความนี้มา
"I am often accused of interfering in the private lives of citizens. Yes, if I did not, had I not done that, we wouldn’t be here today. And I say without the slightest remorse, that we wouldn’t be here, we would not have made economic progress, if we had not intervened on very personal matters who your neighbour is, how you live, the noise you make, how you spit, or what language you use. We decide what is right. Never mind what the people think." (The Straits Times, April 20, 1987)
อาจกล่าวได้ว่าลีกวนยูพูดจริงตามที่แปลเป็นภาษาไทยข้างต้น ซึ่งดูคล้ายกับว่าลีกวนยูมีแนวคิดแบบเผด็จการทรราช แต่สิ่งที่แปลมานั้น แปลไม่ครบ และความจริงไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เป็นประชาธิปไตย ลีกวนยูแทรกแซงเรื่องราวชีวิตของประชาชน เช่น "ใครคือเพื่อนบ้าน ชาวบ้านอยู่กันอย่างไร เสียง-การปล่อยข่าวของคุณ คุณถ่มน้ำลายอย่างไร หรือ ภาษาที่คุณใช้" เพื่อจรรโลงความเป็นประชาธิปไตย
หลายท่านคงทราบดีว่า สิงคโปร์มีคนจีนเป็นส่วนใหญ่ถึง 74% มีมาเลย์ 14% อินเดีย 9% และอื่นๆ อีก 3% (https://bit.ly/ILtLQy) ถ้าปล่อยให้ชาวสิงคโปร์อยู่รวมกลุ่มเฉพาะเชื้อชาติเดียวกัน พวกเดียวกัน ก็คงจะเกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคมมาก ลีกวนยูจึงมีนโยบายให้ในแฟลตแต่ละหลัง เช่น มี 100 หน่วย จะต้องมีสัดส่วนประชากรตามข้างต้น และต้องอยู่สลับกันไป ไม่ให้อยู่รวมกลุ่มกัน หาไม่อาจเกิดปัญหาความไม่สงบในสังคม สิงคโปร์ไม่อนุญาตให้คนมุสลิมอยู่รวมๆ กันเช่นในประเทศไทย นี่จึงเป็นกุศโลบายสำคัญที่เราต้องรู้จักเพื่อนบ้าน และรู้ว่าชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างไร
ในทำนองเดียวกันการถ่มน้ำลายส่งเดชอย่างที่เรามักพบเห็นเชื้อสายจีน (ในอดีต) ก็ถือเป็นการสร้างความเดือดร้อนต่อสังคม เบียดเบียนสิทธิของคนอื่น นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข เขาจึงมีมาตรการปรับหนัก คอยดัดนิสัย ทำให้การถ่มน้ำลายส่งเดชหมดไปจากสิงคโปร์ การเคารพกฎจราจรก็เช่นกัน ต้องข้ามทางม้าลาย ต้องรอให้ไฟเขียวสำหรับคนเดินก่อนจึงค่อยข้ามได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกจับ-ปรับ รวมถึงการใส่หมวกกันน็อกด้วยโดยมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง
บ้านเราก็เคยรณรงค์ แต่มักเป็นแบบ "ไฟไหม้ฟาง" หรือ จับปรับตามกฎหมายเป็นครั้งคราวเพื่อจะได้แบ่งเงินค่าปรับเข้ากระเป๋า ไม่ได้ตั้งใจเพื่อสร้างนิสัยจริง แต่ในวัฒนธรรม "5 ส." ที่เรานำจากญี่ปุ่นมาใช้ เขาต้องการสร้างนิสัยที่ดีให้เกิดขึ้น การรณรงค์สร้างนิสัยที่ดีอย่างนี้ ไม่ใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน การทำอะไรตามอำเภอใจโดยเบียดเบียนสิทธิของคนอื่นต่างหากที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้
ยิ่งกว่านั้น คำพูดที่ว่า "เราตัดสินว่าอะไรถูก ชาวบ้านจะคิดอย่างไรไม่เป็นไร" นั้น ไม่ใช่ว่าลีกวนยูไม่ฟังเสียงของประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ฟังเสียงของชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมร่วมมืออันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคมได้ การที่ลีกวนยูไม่ยอมให้มีการประพฤตินอกลู่นอกทางเป็นเพียงการรักษากฎกติกาของสังคมเช่นนานาอารยประเทศที่ให้เสรีภาพเต็มที่ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดต่อผู้อื่น เช่น เราจะนั่งกินเหล้า ตีเกราะเคาะไม้อยู่หน้าบ้านจนดึกดื่นเที่ยงคืน (เช่นที่พบในไทย) ไม่ได้ หรือใครจะให้ใครมาชุมนุมทางการเมืองอย่างยืดเยื้อรบกวน/ทำลายประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมไม่ได้
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ลีกวนยูชนะเลือกตั้งมาโดยตลอด และชนะโดยไม่เคยมีข่าวระแคะระคายว่ามีการโกงการเลือกตั้ง คิดดูง่ายๆ ว่าถ้าลีกวนยูโกงการเลือกตั้ง ประชาชนจะยอมงอมืองอเท้าหรือ หรือถ้าลีกวนยูใช้กำลังอาวุธในมือทำรัฐประหาร ประชาชนสิงคโปร์จะไม่ลุกฮือหรือ ยิ่งกว่านั้นลีกวนยูยังเคยประกาศใช้กฎอัยการศึก ไม่มี ม.44 เป็นต้น เขาสามารถครองใจคนส่วนใหญ่ได้โดยไม่มีผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาก่อหวอดป้ายสี แล้วโค่นล้มเขาลง จนทำให้ประเทศชาติถอยหลังเข้าคลอง
ลีกวนยูจึงไม่ใช่เผด็จการทรราชแม้แต่น้อย และไม่ได้เป็นเผด็จการทรราชอย่างที่คนไทยคุ้นเคยซึ่งมักสะสมทรัพย์ศฤงคารจากการโกง และสืบทอดอำนาจโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนอย่างแท้จริง
[full-post]
แสดงความคิดเห็น