ที่มาภาพ: https://map.longdo.com
Posted: 15 Nov 2017 11:35 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
ศาลจังหวัดพลอ่านคำพิพากษาคดี นายหนูพิณ และนายฉัตรชัย (สงวนนามสกุล) ให้จำคุกในคดี อั้งยี่ 1 ปี ในส่วนการเตรียมการวางเพลิงและ ม.112 นั้น ให้ตัดสินโทษในคดี 112 ซึ่งเป็นบทหนัก 4 ปี รวมทั้งสิ้น 5 ปี แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
คดีนี้เป็นเหตุสืบเนื่องจากกรณีการก่อเหตุเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในเขต อ.บ้านไผ่ และ อ.ชนบท ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 ทหารและตำรวจได้เข้าทำการนายฉัตรชัยกับนายหนูพิน และยังได้จับกุมเยาวชนและวัยรุ่นชาย (อายุ 14-20 ปี) 6 คน จากที่บ้านและโรงเรียนใน ต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ทั้งหมดถูกนำตัวไปค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่นและถูกส่งไปควบคุมตัวที่ มทบ.11 กรุงเทพฯ โดยที่ไม่สามารถติดต่อกับญาติหรือทนายความได้เป็นเวลาประมาณ 6 วัน ก่อนถูกส่งกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.ชนบท จ.ขอนแก่น
จากคำฟ้องระบุว่า เหตุเกิดในระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค. 60 จำเลยทั้ง 2 กับพวก ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ และได้ร่วมกันเตรียมวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในเขต อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น อันเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ขณะที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานคำบอกเล่าจากการสอบถามนายหนูพินว่า
นายหนูพิน (อายุ 64 ปี อาชีพ ขายเฉาก๊วยรถเร่ ) ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ เขากับภรรยาทำงานอยู่ที่ จ.ชลบุรี เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านและลูกชายที่ อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น ช่วงสงกรานต์ปี 2560 ก่อนได้รับการแนะนำจากนายสาโรจน์ (ช่างแอร์) ให้รู้จักกับนายปรีชา และได้รับการว่าจ้างให้ทำงาน พร้อมทั้งให้หาเด็กวัยรุ่นมาทำงานด้วย นายหนูพินไม่รู้จักใคร แต่เคยพบลูกชายของเพื่อน (นายฉัตรชัย อายุ 25 ปี) ที่บ้านเพื่อนในอำเภอโนนศิลา วันเกิดเหตุ นายหนูพินจึงขับรถกระบะไปชวนฉัตรชัย โดยมีถุงบรรจุน้ำมันขนาดกำมือหลายถุงที่ได้รับจากนายปรีชาอยู่ในรถ หลังจากไปถึงจุดที่นายปรีชาบอก และพบว่า สิ่งที่ต้องเผาเป็นซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของ ร.9 ทั้งสองจึงเปลี่ยนใจ และขับรถกลับโดยไม่ได้ลงมือเผา หลังจากนั้น นายหนูพินได้นำถุงน้ำมันไปทิ้งที่ในพงหญ้าไม่ไกลจากหมู่บ้าน
ในส่วนจำเลยวัยรุ่นชาย 6 คน พนักงานอัยการจังหวัดพลฟ้องเป็น 2 คดี และทั้งหมดรับสารภาพเฉพาะข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ ปฏิเสธข้อหาอั้งยี่, ซ่องโจร และ ม.112 ขณะนี้อยู่ในกระบวนการไต่สวนพิจารณาคดีโดยจำเลยทั้ง 6 ถูกกักขังอยู่ที่เรือนจำ อ.พล จ.ขอนแก่น โดยไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวในชั้นศาล ส่วนคดีของเด็กชายวัย 14 ปี ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่สามารถติดตามความคืบหน้าได้
วันที่ 2 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นการนัดพร้อมและสอบคำให้การ จำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะความประพฤติของจำเลยทั้งสองรายงานต่อศาล
ล่าสุด ศูนย์ทนายฯ รายงานว่า 15 พฤศจิกายน 2560 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรม ต่างกรรมต่างวาระกัน ให้ลงโทษทุกกรรม เรียงกระทงความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ ลงโทษจำคุก 1 ปี ฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นและหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะ คดีมีพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอลงอาญา ให้ริบน้ำมัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถกระบะ ซึ่งเป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด
แสดงความคิดเห็น