สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 มี.ค. 2560
Posted: 25 Mar 2017 05:45 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ก.แรงงาน วอนสถานประกอบกิจการ ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้ มครองแรงงาน วอนสถานประกอบกิจการปฏิบัติต่ อลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวี อย่างถูกต้องไม่เลือกปฏิบัติ และพร้อมให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลู กจ้าง
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้ มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กสร.ได้เล็งเห็นถึงความสำคั ญของปัญหาลูกจ้างผู้ติดเชื้ อเอชไอวีในสถานประกอบกิจการ ที่ส่งถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิ ตของตัวลูกจ้ างและผลประกอบการของสถานประกอบกิ จการ รวมถึงส่งผลต่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศด้วย ซึ่งปัญหาที่ประสบคือ ลูกจ้างมีพฤติกรรมเสี่ยงต่ อการแพร่เชื้อ ลูกจ้างที่ติดเชื้อเอชไอวีถูกรั งเกียจและไม่ได้รับความช่วยเหลื ออย่างถูกต้อง กสร. จึงขอความร่วมมือสถานประกอบกิ จการทำความเข้าใจกันระหว่ างนายจ้างและลูกจ้าง ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่ างเหมาะสม นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างผู้ ติดเชื้อเอชไอวีอย่างถูกต้ องและพร้อมให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลู กจ้าง ทั้งนี้ เพื่อสร้างหลักประกันให้กั บสถานประกอบกิจการได้มี กลไกการป้องกันและการจัดการ ที่จะลดผลกระทบ เรื่องเอดส์อย่างเหมาะสมสอดคล้ องกับแนวปฏิบัติของสากลบนพื้ นฐานกรอบการทำงานที่มีคุณค่ าและมีศักดิ์ศรีในการทำงาน
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ลูกจ้างผู้ติดเชื้ อเอชไอวีจะอยู่ร่วมกั นในสถานประกอบกิจการ ได้อย่างเหมาะสมนั้น นายจ้างควรส่งเสริมและสร้ างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับลู กจ้างทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการแพร่ กระจายของเชื้อเอชไอวี ตามหลักวิทยาศาสตร์และระบายวิ ทยา รวมถึงให้ลูกจ้างได้ ทำงานตามปกติในตำแหน่งงานและลั กษณะงานที่เหมาะสมสำหรับผู้ติ ดเชื้อที่ยังทำงานได้ และส่งเสริมสิทธิในการรั กษาความลับส่วนบุคคล เพื่อสถานประกอบกิจการจะไม่สู ญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพ ทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน และก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ของสถานประกอบกิจการที่มีต่อสั งคมในการส่งเสริมให้ลูกจ้างมีคุ ณภาพชีวิตที่ดีและมีศักยภาพเพี ยงพอที่จะสนับสนุนขี ดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศอันจะเป็นประโยชน์ต่ อประเทศชาติโดยส่วนรวม
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 19/3/2560
ขสมก.ระบุจะทยอยเลิกจ้างพนั กงานเก็บค่าโดยสาร หลังนำระบบอี-ทิคเก็ตมาให้บริ การ
ผู้อำนวยการองค์การขนส่ งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. สุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ระบุ ขสมก.อยู่ระหว่างการประมูลติดตั้ งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ทิคเก็ ตบนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน วงเงิน 1.7 พันล้านบาท คาดว่าจะลงนามสัญญาในเดื อนพฤษภาคมนี้ โดยระยะแรกจะใช้ระบบอี-ทิคเก็ ตควบคู่กับพนักงานเก็บค่าโดยสาร หลังจากนั้นจะทยอยเลิกจ้างพนั กงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4 พันคนที่ผ่านมา ขสมก.มีนโยบายยกระดับพนักงานเก็ บค่าโดยสารเป็นพนักงานขับรถให้ มากที่สุดเพื่อลดผลกระทบ ปัจจุบันมีพนักงานเก็บค่ าโดยสารเปลี่ยนมาเป็นพนักงานขั บรถเฉลี่ยเดือนละประมาณ 20 คน คาดว่าจะมีพนักงานเก็บค่ าโดยสารเปลี่ยนมาเป็นพนักงานขั บรถได้ประมาณ 1 พันคน จากที่มีอยู่ 4 พันคน
ลอยแพพนักงานสหรัตนนคร 37 คน บากหน้าพึ่งศาลขอบริษัทจ่ ายชดเชย
สืบเนื่องจากกรณี ศาลปกครองกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารและพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องตั้ งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 และในเดือนกรกฎาคม 2559 ศาลมีคำสั่งให้การนิคมอุ ตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เข้าไปมีอำนาจในการบริหารจั ดการระบบสาธารณูปโภคส่ วนกลางและสิ่งอำนวยความ สะดวก พื้นที่ 536 ไร่ จากพื้นที่พัฒนาทั้ งหมดของเฟสแรก 1,441 ไร่ นั้น
ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิ จรายงานจากศาลแรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 ได้มีอดีตพนักงานของบริษัทสหรั ตนนคร จำนวน 37 คน ซึ่งได้ถูกยกเลิกสัญญาจ้างนับตั้ งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 หลังจากบริษัทสหรั ตนนครหมดอำนาจในการบริหารลง ได้เข้ายื่นหนังสือและเขียนคำร้ องต่อศาลแรงงาน ภาคที่ 1 จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอให้บริษัทจ่ายเงิ นชดเชยตามกฎหมายแรงงาน นอกเหนือการจ่ายเพียงสวัสดิการ 6 เดือนของเงินเดือน ซึ่งศาลรับเรื่องดังกล่าวไว้พิ จารณา และศาลจะเรียกบริษัทสหรัตนนคร
และ จพท. เข้ามาหารือเพื่อพิจารณาและไกล่ เกลี่ยปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม หากทางบริษัทยังไม่ชดเชยใด ๆ ฝ่ายพนักงานเตรียมจะยื่นคำร้ องต่อศาลยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรม หรือให้ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยต่ อไป จนกว่าจะได้รับเงินชดเชยและช่ วยเหลือที่ควรจะได้
ก่อนหน้านี้พนักงานได้ไปยื่ นคำร้องกับสำนักงานสวัสดิ การและคุ้มครองแรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอความช่วยเหลือมาแล้ว ดังนั้น ทางสำนักงานสวัสดิการฯ ได้ประสานไปยังเจ้าพนักงานพิทั กษ์ทรัพย์ (จพท.) กรมบังคับคดีดำเนินการช่วยเหลือ แต่ทางบริษัทได้แจ้งต่อ จพท.ว่า ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยได้ เนื่องจากไม่มีเงินเหลือแล้ว
"ส่วนใหญ่พนักงานทำงานกับบริษั ทนานกว่า 20 ปี พนักงานได้รับเพียงสวัสดิการ เช่น บางคนระดับหัวหน้าควรได้รั บชดเชยประมาณ 300,000 บาท/คน ในระดับพนักงานทั่วไปอี กคนละประมาณ 100,000 บาท ซึ่งรวมทั้งหมด 37 คน ประมาณ 5.7 ล้านบาท แต่บริษัทอ้างว่าเมื่อถูกพิทั กษ์ทรัพย์แล้ว ทรัพย์สินของบริษัทไม่ สามารถขายทอดตลาดได้จึงไม่มีเงิ นมาจ่าย และอำนาจจึงถูกโยนไปให้ จพท. พิจารณาทั้งหมด"
นายจักรรัฐ เลิศโอภาส รองผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า หลังจากที่ กนอ.เข้าไปบริหารจั ดการระบบสาธารณูปโภคตามคำสั่ งศาลตั้งแต่ปีที่แล้ว กนอ.ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ าไปบริหารระบบสาธารณูปโภคฯ เพื่ออำนวยความสะดวก และให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกั บผู้ประกอบการที่ตั้งโรงงานผลิ ตอยู่ในพื้นที่ ส่วนเรื่องของพนักงานที่ถูกเลิ กจ้างต้องเจรจากับทางบริษัทสหรั ตนนครเอง
นางธีรนาฏ โชควัฒนา ผู้อำนวยการ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากบริษัทยังคงอยู่ระหว่ างการเจรจาประนอมหนี้กับทางเจ้ าหนี้รายใหญ่ ซึ่งทางบริษัทไม่ได้มีเจตนาไม่ จ่ายเงินชดเชย แต่เป็นเพราะถูกพิทักษ์ทรัพย์ไป จึงไม่สามารถจ่ายพนักงานได้ และยังคงยืนยันว่ าหากการประนอมหนี้สามารถตกลงกั นได้ บริษัทจะกลับมารับผิดชอบเงิ นชดเชยส่วนนี้
"ที่ผ่านมา เราพยายามเจรจากับทางพนักงานถึ งเหตุผลและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถูกปฏิเสธจึงทำให้เกิ ดความเข้าใจผิดและขัดแย้งกันเรื่ อยมา อดีตพนักงานจึงต้องหาคนมาช่วย ส่วนความคืบหน้าในการสร้างเขื่ อนถาวรรอบนิคมอุตสาหกรรมสหรั ตนนคร ตามแผนที่ กนอ.กล่าวไว้นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เนื่องจากทาง กนอ.อ้างว่าต้องได้รั บการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิ นจากทางเราก่อน จึงจะอนุมัติงบฯก่อสร้างได้ ซึ่งเรามองว่าการฮุบนิ คมจากเราครั้งนี้มันยืดยาวเกิ นไปทำให้นักลงทุนขาดความ เชื่อมั่น พื้นที่และโรงงานขายไม่ออก ไม่มีคนเช่าเพิ่ม"
ก.ค.ศ. เห็นชอบคนเก่งไร้ตั๋ว สอบครูผู้ช่วยได้ ประกาศรับสมัคร 21-29 มี.ค.นี้
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิ การ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็ นประธานการประชุมคณะกรรมการข้ าราชการครูและบุคลากรทางการศึ กษา(ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ สำนักงานก.ค.ศ.เสนอ เกี่ยวกับการสรรหาบุคคล เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ ารับราชการเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ดังนี้ คือ 1. อนุมัติให้ปรับปรุ งมาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย จากเดิมที่กำหนดว่า “มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรือหลักฐานที่ใช้ แสดงในการประกอบวิชาชีพ ครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิ บัติหน้าที่สอน” กำหนดใหม่เป็น “มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้ แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่ คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้ าที่สอน ก่อนการบรรจุและแต่ตั้งเป็นข้ าราชการครูและบุคลากรทางการศึ กษา” ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานการศึ กษาสามารถสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสม ตามความจำเป็นในการใช้ครูของส่ วนราชการ
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแก้ไขหลั กเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่ อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารั บราชการเป็นข้าราชการครูและบุ คลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งจะใช้สำหรับสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุแต่งตั้งครูผู้ช่วย ทั่วไป ครั้งที่ 1/2560 ที่จะประกาศรับสมัครวันที่ 21-29 มีนาคม โดยปรับปรุงในประเด็นที่ เกี่ยวข้องจากการปรับปรุ งมาตรฐานตำแหน่ง ดังนี้ 1 กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมั ครสอบแข่งขัน จากเดิม ที่กำหนดว่า” ผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุ ณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรั บตำแหน่ง ตามาตรฐานตำแหน่งครบถ้วนในวันที่ สมัคร” กำหนดใหม่เป็น “ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติทั่ วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรั บตำแหน่ง ตามาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย” รวมถึงกำหนด การเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้เพื่ อบรรจุแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีสอบแข่งขั นได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ งตามลำดับที่ที่ ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้ โดยกำหนดวันรายงานตัวไม่น้อยกว่ า 7 วันแต่ไม่เกิน 10 วัน นับแต่วันประกาศผลการสอบแข่งขัน
“มตินี้สำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการปรั บแก้หลักเกณฑ์การรับสมัคร ให้คนที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันจากเดิมที่ ต้องมีใบอนุญาตฯ จึงจะสามารถสมัครได้ ซึ่งจะเริ่มประกาศรับสมัครในวั นที่ 21 มีนาคม โดยสาขาที่ยังมีความต้ องการจำนวนมากคือ สาขาด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ดังนั้นหากใครมีความรู้ ความสามารถก็ขอให้มาสมัคร เพราะเราอยากได้คนเก่งมาเป็นครู เมื่อสอบแล้ว ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการเพื่ อให้ได้ใบอนุญาตฯ ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และขั้ นตอนคุรุสภา”รัฐมนตรีว่าการศธ. กล่าว
ครม.มติอนุมัติหลักการลดหย่ อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง-ผู้ ประกันตน ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ 12 จังหวัดภาคใต้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติในหลั กการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงิ นสมทบของนายจ้างและผู้ประกั นตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ อย่างร้ายแรง พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รวมถึงให้ส่ งคณะกรรมการตรวจสอบร่ างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่ เสนอครม.ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่ างประกาศกระทรวงแรงงานฉบับนี้ ได้กำหนดให้นายจ้างและผู้ประกั นตนในจ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ที่ประสบภั ยพิบัติอย่างร้ายแรง กรณีวาตภัย และอุทกภัย ได้รับการลดหย่อนการออกเงิ นสมทบเข้ากองทุนประกันสั งคมประจำงวดเดือน ม.ค.2560 ถึงงวดเดือน มี.ค.2560 โดยส่งเงินสมทบในอัตราฝ่ายละร้ อยละ 3 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้กำหนดให้ผู้ประกั นตนตามมาตรา 39 สิ้นสภาพการจ้างงานซึ่งมีทะเบี ยนผู้ประกันตนในท้องที่ที่ ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงในท้ องที่ดังกล่าวได้รับการลดหย่ อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุ นประกันสังคมประจำงวดเดือน ม.ค.2560 ถึงงวดเดือน มี.ค.2560 โดยส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 288 บาท กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 เป็นต้นไป
เปิดแผนดูแล “กระเป๋ารถเมล์” กว่า 4 พันคน จ่อถูก ขสมก.โละ เล็งใช้ E-Ticket แทน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษก ก.แรงงาน กล่าวถึงกรณีองค์การขนส่ งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างการประมูลติดตั้ งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) บนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน และจะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่ าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4,000 คน ในปี 2560 ว่า จากแผนของ ขสมก. นั้น กระทรวงแรงงานมีแนวทางช่วยเหลื อพนักงานที่จะถูกเลิกจ้าง ดังนี้ 1. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ได้เตรียมแนวทางเข้าไปพูดคุยกั บผู้บริหาร ขสมก. ในการดูแลและช่วยเหลือพนั กงานเก็บค่าโดยสารที่อยู่ในข่ ายการเลิกจ้าง โดยการนำโครงการเกษียณอายุก่ อนกำหนด (เออร์ลี รีไทร์) และได้รับสิทธิประโยชน์ ตามกฎหมาย พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า 2. กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จะเข้าไปเสริมทักษะการขั บรถสาธารณะให้พนักงานที่ปรั บไปเป็นพนักงานขับรถ รวมถึงเสริมทักษะอาชีพอื่นให้ กลุ่มที่ถูกเลิกจ้างหากต้ องการปรับเปลี่ยนงานด้วย เพื่อให้มีทักษะที่ตรงกับความต้ องการ และ 3. กรมการจัดหางาน จะเข้าไปหาตำแหน่งงานใหม่รองรั บและสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะดูแลเรื่องเงินทดแทนกรณีว่ างงาน
“สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีเออร์ ลี รีไทร์ ตามกฎหมายของพนักงานรัฐวิสาหกิจ คือ ลูกจ้าง/พนักงาน ผู้ได้ปฏิบัติในช่วงก่อนเกษี ยณอายุติดต่อกันครบ 5 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่ อตอบแทนความชอบในการทำงาน เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุ ดท้าย 180 วัน และปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษี ยณอายุติดต่อกัน 15 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่ อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็ นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ าย 300 วัน ทั้งนี้ ในกรณีที่นายจ้างมีข้อบังคับ ข้อกำหนดระเบียบ หรือคำสั่งในการจ่ายค่ าชดเชยกรณีพ้นจากตำแหน่ งเพราะเหตุเกษียณอายุ ให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นส่ วนหนึ่งหรือทั้งหมดของเงินเพื่ อตอบแทนความชอบ” นายอนันต์ชัย กล่าว
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ขณะที่พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย คือ ทำงาน 3 เดือนแต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่ าจ้างสุดท้าย 30 วัน / ทำงาน 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปีได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอั ตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน / ทำงาน 3 ปี ไม่ครบ 6 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้ างสุดท้าย 180 วัน /ทำงาน 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้ างสุดท้าย 240 วัน และทำงาน 10 ปีขึ้นไป ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้ างสุดท้าย 300 วัน
กนอ. จับมือพันธมิตรแก้ปั ญหาขาดแรงงาน รับนิคมฯสงขลา
กนอ. เตรียมจับมือ สำนักงานแรงงานจังหวัดสงขลา และสถาบันการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ร่วมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ให้มีความพร้อมรองรับการลงทุ นในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จั งหวัดสงขลาอย่างเพียงพอทั้ งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยในระยะสั้น มุ่งเน้นการจัดหาแรงงานที่มีอยู่ แล้วในตลาด ส่วนระยะกลาง-ระยะยาว มุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตแรงงานให้สอดรับกับกลุ่ มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ตามที่ กนอ. เปิดตัวโครงการนิคมอุ ตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ในการเพิ่มอุปสงค์การใช้ ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมขั้ นกลางน้ำและปลายน้ำที่สำคัญ ตลอดจนมุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อสร้ างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ ยางพารา ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปั ญหายางพาราอย่างมีประสิทธิ ภาพและยั่งยืนนั้น ขณะนี้ กนอ. อยู่ระหว่างเดินหน้างานด้ านการตลาด เพื่อหาผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกั บยางพาราที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุ นในโครงการ ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการรับฟังเสี ยงของลูกค้า/นักลงทุน (Voice Of Customer : VOC) เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุ ง/แก้ไขปัญหา และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่ อการลงทุน ซึ่งปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ นักลงทุนให้ความสำคัญและมีผลต่ อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก คือ ความพร้อมทางด้านแรงงาน ดังนั้น กนอ. จึงได้มีการหารือกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออก ในเรื่องดังกล่าว
“ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรม ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ สวนทางกับสภาวะการจ้ างงานในภาคการผลิตที่มีแนวโน้ มการขยายตัวสูงขึ้น จึงเป็นประเด็นข้อกังวลใจของผู้ ประกอบการในการตัดสินใจเข้ ามาลงทุนในนิคมอุ ตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) จังหวัดสงขลา กนอ. จึงได้ดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก คือ 1. การพัฒนาความร่วมมือกับสำนั กงานแรงงานจังหวัดสงขลา ด้านการจัดหาแรงงานให้เพี ยงพอสำหรับสถานประกอบการ ในนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งครอบคลุมทั้งแรงงานมีฝีมือ แรงงานทั่วไป และแรงงานต่างด้าว 2. การพัฒนาความร่วมมือกับสถาบั นการศึกษาในจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะสถาบันอาชีวศึกษา ด้านการพัฒนาและเตรียมความพร้อม ของแรงงานในอนาคตให้มี ความเหมาะสม/สอดคล้องกับความต้ องการของสถานประกอบการในนิคมอุ ตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยคาดว่า จะมีการร่วมลงนามบันทึกข้ อตกลงความร่วมมือ (MOC) ระหว่าง กนอ. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเดื อนเมษายน-พฤษภาคม 2560”
ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น จะมุ่งเน้นการจัดหาแรงงานที่มี อยู่แล้วในตลาด ส่วนในระยะกลาง-ระยะยาว จะมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตแรงงานให้สอดรับกับกลุ่ มอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งของนิ คมอุตสาหกรรมยางพารา นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ และนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ สงขลา ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ นอกจากจะเป็นแหล่งการจ้างงานที่ มั่นคงให้กับชาวสงขลาและจังหวั ดใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นแหล่ง ฝึกประสบการณ์ในการทำงานที่ดี ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ แก่แรงงาน และนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิ ภาพการผลิตให้แก่ภาคอุ ตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต่ อไปในอนาคตอีกด้วย
ซีพีเอฟร่วมกับภาครัฐ สร้าง “สังคมพึ่งตน” จ้างงานคนพิการ ยกระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ซีพีเอฟ สนับสนุนการจ้างงานคนพิการทั่ วประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิ ตคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ ล่าสุดร่วมกับอำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี คัดเลือกคนพิการ 6 คน ร่วมทำงานในชุมชน เพื่อแก้ปัญหาการเดิ นทางไปทำงานไกลบ้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต นำไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างมั่ นคง
ปัจจุบัน “โครงการจ้างงานคนพิการ” ของซีพีเอฟ มีการจ้างงานคนพิการรวมทั้งสิ้น 723 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานประจำสำนั กงานของบริษัท 270 คน อีก 242 คน เป็นการจ้างงานให้ทำงานใกล้บ้ านเป็นงานบริการสาธารณะในชุมชน ส่วนที่เหลือ 211 คน เป็นการจ้างงานในลักษณะสนับสนุ นองค์กร-มูลนิธิเพื่อจ้างคนพิ การ
นายศราวุธ สุวรรณจูฑะ นายอำเภอวังม่วง จ.สระบุรี เปิดเผยว่า โครงการจ้างงานคนพิการ ของ ซีพีเอฟ สอดคล้องกับนโยบายของอำเภอวังม่ วง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ให้ความสำคัญกับการดู แลการอยู่ดีกินดีของประชาชนไทย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อำเภอวังม่วง ได้ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ คัดเลือกคนพิการจำนวน 6 คนในอำเภอที่มีฐานะยากจน และเป็นคนดี มาเป็นพนักงานซีพีเอฟ เพื่อทำงานสาธารณะประโยชน์ให้ แก่ชุมชนตนเองตั้งแต่เดือนตุ ลาคม ปี 2559 เป็นต้นมา โดยรับผิดชอบทำงานแตกต่างกัน เช่น ช่วยงานโรงเรียน วัด สถานที่ราชการ หรือฟาร์มไก่และฟาร์มสุกรที่อยู่ ใกล้บ้าน จากการติดตามประเมินผลจากคนพิ การที่เข้าร่วมโครงการฯ พบว่าทุกคนพึ่งพาตัวเองได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น จากที่มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว และได้ทำประโยชน์กับชุมชน โดย ซีพีเอฟ เป็นคนรับผิดชอบค่าจ้างแรงงาน
“คนพิการที่ร่วมโครงการฯกับซีพี เอฟเป็นบุคลากรที่มีศั กยภาพของชุมชน เป็นการช่วยให้คนพิการที่มี ความประพฤติดีแต่ด้อยโอกาส มีรายได้เลี้ยงดู ตนเองและครอบครัว ลดความเหลื่อมล้ำของคนในสั งคมได้ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้คนพิ การได้ทำประโยชน์ให้กับชุ มชนของตนเองด้วย” นายศราวุธกล่าว
นายอับดุลเหล๊าะ เลิศอริยะพงษ์กุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกั บการส่งเสริมคุณภาพชีวิ ตตามแนวทาง “สังคมพึ่งตน” ซึ่งเป็น 1 ในสามเสาหลักสู่ความยั่งยื นของบริษัท ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ เพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยื น โครงการจ้างแรงงานคนพิการนี้ เป็นการดำเนิ นโครงการตามพระราชบัญญัติส่ งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิ การ
ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2559 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ได้ร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น วัด และโรงเรียน จัดจ้างคนพิการได้ทำงานใกล้บ้าน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก จัดจ้างให้ทำงานสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือวัด โรงเรียน สำนักงานเทศบาล ในชุมชน รูปแบบที่สอง จัดจ้างคนพิการให้ ทำงานช่วยดูแล “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ ออาหารกลางวันนักเรียน” ในโรงเรียนที่ ซีพีเอฟ ให้การสนับสนุนอยู่กว่า 660 แห่งทั่วประเทศ
ภายใต้โครงการจัดจ้างคนพิการ ซีพีเอฟ มีการจ้างคนพิการให้ทำงานใน 3 รูปแบบ คือ เป็นพนักงานบริษัท รูปแบบให้การสนับสนุนองค์กรหรื อมูลนิธิเพื่อคนพิการ โดยเปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้ ามาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโรงงาน หรือฟาร์มทุกเดือน และรูปแบบการจ้างคนพิการให้ ทำงานบริการชุมชน เช่น ที่อำเภอวังม่วง เป็นต้น
นายอับดุลหล๊าะกล่าวว่า คนพิการ 6 คน ของอำเภอวังม่วง ทำงานในชุมชนตนทั้งในโรงเรียน และวัดใกล้บ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบช่ วยงานทำความสะอาดสถานที่ ตัดหญ้า หรืองานทั่วๆ ไปตามที่เจ้าอาวาสและผู้ อำนวยการโรงเรียนมอบหมาย ทำงานทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ได้รับค่าจ้างรายเดือนตามอั ตราค่าแรงขั้นต่ำ โดยบริษัทฯ ร่วมกับองค์กรท้องถิ่นในการดู แลติดตามประเมินผลการดำเนิ นงานและคุณภาพชีวิตของคนพิ การอย่างใกล้ชิด
“อำเภอวังม่วงเป็นอีกตัวอย่ างของความสำเร็จของความร่วมมื อกันของรัฐและเอกชน ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิ การในสังคมไทย ไม่เพียงช่วยให้คนพิการมีรายได้ เลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังช่วยให้คนพิการมีความภูมิ ใจในคุณค่าและศักดิ์ศรี ของตนเอง” นายอับดุลเหล๊าะกล่าว
ซีพีเอฟจะมีการประเมิ นผลโครงการจัดจ้างคนพิ การทำงานใกล้บ้านทั่วประเทศอย่ างสม่ำเสมอ และมีแผนจะร่วมมือกับภาครัฐในท้ องถิ่นจ้างคนพิการทำงานช่วยชุ มชนเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้ นของจำนวนบุคลากรตามแนวโน้ มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนั บสนุนให้ผู้ด้อยโอกาสทางสั งคมได้มีโอกาสพึ่งพาตนเองได้อย่ างมั่นคงและยั่งยืน
กระทรวงแรงงาน จัดหลักสูตรการตลาดห้องพั กออนไลน์ เสริมการท่องเที่ ยวอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร. ) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2560 กพร.มีนโยบายด้านการพัฒนาฝีมื อแรงงานให้สอดคล้องกับทิ ศทางของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งมีความสอดคล้องกั บนโยบายของรัฐบาล ด้านการลดความเหลื่อมล้ำของสั งคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริ การของรัฐ เพียงใช้สื่ออินเตอร์เน็ตให้เป็ นธุรกิจ และการประกอบธุรกิจด้านการท่ องที่ยว อย่างเช่น การจองห้องพักผ่านออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่ สามารถเดินทางไปสำรวจหรือดูที่ พักในสถานที่จริงได้ การจองห้องพักผ่านเว็บไซต์จึ งเป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย
ดังนั้น กพร. เห็นความสำคัญและการพัฒนาที่ต้ องทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ ยนแปลง จึงจัดฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างขี ดความสามารถในการแข่งขันของธุ รกิจด้านการท่องเที่ยวให้สูงขึ้ น ด้วยการจัดอบรมหลักสูตร การบริหารจัดการด้านการตลาด E – Commerce สร้างรายได้จากการให้เช่าที่พั กออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะให้เยาวชนที่ จะเป็นแรงงานใหม่ ให้มีความพร้อมสอดคล้องกั บความต้องการของตลาดแรงงาน และกลุ่มผู้ประกอบการเกี่ยวกั บห้องพัก ให้มีความรู้เกี่ยวกั บการประกอบธุรกิจผ่านออนไลน์ เป็นการเพิ่มช่องทางการดำเนินธุ รกิจอีกช่องทางหนึ่งโดย ผู้เข้าอบรมจะได้ฝึกปฏิบัติ การจำลองสถานการณ์จริง ทั้งในส่วนของผู้ให้เช่าที่พัก และผู้เข้าพัก ได้เรียนรู้การประกอบธุรกิจ Start Up เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้จริ งหลังจากจบฝึก และสามารถนำความรู้ที่ได้รั บไปปรับใช้เป็ นแนวทางในการประกอบอาชี พในอนาคตต่อไป
งานวิจัยชี้บัณฑิตจบ ป.ตรี ปี’59 ตกงานเฉียดเกือบ 1.8 แสนคน เหตุตลาดต้องการแรงงาน ‘ปวช.-ปวส.-ม.6’
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) กล่าวในการนำเสนอผลวิจัย “การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อสร้ างความพร้อมในการประกอบอาชีพแก่ เยาวชน” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่ งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธุรกิจบันฑิตย์ ว่า ข้อมูลจากการวิจัยสถานการณ์ ตลาดแรงงานในกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่ม พบว่า ตลาดแรงงานไทยในวันนี้ต้ องการแรงงานในสายวิชาชีพที่ จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และ ม.6 ที่มีทักษะอาชีพพอที่ จะไปทำงานได้ ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้จะเป็นกำลั งในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิ จไปสู่ยุค 4.0 โดยข้อมูล Human Capital Report 2016 พบว่า สัดส่วนแรงงานฝีมือของประเทศสวี เดน เยอรมณี สิงค์โปร์ และฟินแลนด์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 48 ส่วนไทยมีเพียงร้อยละ 14.4 ถือว่าแตกต่างค่อนข้างมาก
“โครงสร้างแรงงานที่จะช่วยให้ ไทยก้าวไปสู่ยุค 4.0 ได้ คือต้องมีแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้น 40-50% แต่ปัจจุบันมีเพียง 20% ขณะที่ผู้เรียนจบปริญญาตรีในปี 2559 ว่างงานถึง 1.79 แสนคน ซึ่งหลายๆ จังหวัดของไทยยังเป็นเศรษฐกิ จในยุค 2.0 การจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 3.0 และ 4.0 นั้นต้องถูกขับเคลื่อนด้ วยแรงงานในสายวิชาชีพ ถ้ายังผลิตคนป้อนไม่ได้ จะมีบางจังหวัดที่พร้อมไปสู่ 4.0 แต่อีกหลายจังหวัดยังอยู่ที่ 2.0 หรือ 3.0 จะยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำมากกว่ าเดิม ทั้งนี้ การผลิตคนในสายอาชีพไม่จำเป็ นจะต้องผลิตผู้เรียนที่จบอาชี วะอย่างเดียว แต่ขยายสู่โรงเรียนในระดับมั ธยมศึกษา ให้นักเรียนได้เรียนวิชาชีพที่ สอดคล้องกับตลาดแรงงานในพื้นที่ เป็นวิชาเสริมในการเรียนได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคื อกระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องร่วมกันฝึกทักษะวิชาชีพให้ นักเรียน รวมถึง คนที่อยู่ในวัยทำงานตอนต้นให้มี ทักษะวิชาชีพที่ดีขึ้นด้วย เชื่อว่าภายใน 5 ปี จะเริ่มเห็นภาพการขับเคลื่อนที่ การพัฒนากำลังคน และเป้าหมายที่ชัดเจน คาดว่าไทยจะก้าวเข้าสู่ยุ คไทยแลนด์ 4.0 ได้เต็มตัวในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือปี 2575” ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว
ช่วยลูกจ้างสหรัตนนคร พายื่นฟ้องศาลแรงงาน ให้นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งพนั กงานตรวจฯ
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้ มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการดำเนินการให้ ความช่วยเหลือลูกจ้าง ๓๗ คน ของบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ที่ถูกเลิกจ้างว่ากรณีสืบเนื่ องมาจากบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ประกอบกิจการจัดสรรที่ดินและบริ การสาธารณูปโภคสำนักงานใหญ่ตั้ งอยู่เลขที่ ๖๑๑/๔๐ ถนนเจริญกรุง บางคอแหลม กทม. และมีสาขาอยู่ที่นิคมอุ ตสาหกรรมสหรัตนนคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายจ้างขาดสภาพคล่องทางการเงิ นและศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่ งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเจ้ าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศให้ นายจ้างหยุดประกอบกิจการและให้ เลิกจ้างพนักงานของบริษั ทฯโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นมา พนักงานตรวจแรงงานจังหวั ดพระนครศรีอยุธยาได้รับคำร้ องของลูกจ้างทั้ง ๓๗ คน และได้มีคำสั่งให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัดโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรั พย์ของบริษัท สหรัตนนคร จำกัด นายจ้าง จ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่ วงหน้าให้กับลูกจ้าง ซึ่งทางนายจ้างได้รับคำสั่งแล้ วและไม่ได้นำคดีไปสู่ศาลคำสั่ งพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นที่สุ ด นอกจากนี้กสร.ได้ให้ลูกจ้ างมาใช้สิทธิขอรับเงินสงเคราะห์ จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่ อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่ างการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุ นฯ
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้ มครองแรงงาน กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ พนักงานตรวจแรงงานจังหวั ดพระนครศรีอยุธยา ได้ประสานให้ลูกจ้างยื่นคำฟ้ องต่อศาลแรงงานภาค ๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อบังคับให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งของพนั กงานตรวจแรงงาน ซึ่งศาลแรงงานภาค ๑ นัดพิจารณาและไกล่เกลี่ยในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
เจ้าของโรงงานผลิตซองบรรจุภัณฑ์ พลาสติกที่ชลบุรีถูกไฟไหม้ ให้คำสัญญาจะไม่ทอดทิ้งคนงานกว่ า 100 ชีวิต พร้อมจ่ายค่าแรงตามปกติ
วันนี้ (23มี.ค.60) นายชัยวุฒิ โชติพุฒศิลป์ เจ้าของโรงงานผลิตซองบรรจุภัณฑ์ พลาสติก บริษัท เอสพีซี อินเตอร์พรินท์ จำกัด ที่ถูกเพลิงไหม้ได้ให้คำสัญญากั บพนักงาน กว่า 100 คน ว่าจะไม่ทอดทิ้ง ไม่ปลด หรือ ไล่ออก โดยเรื่องค่าจ้างจะให้เหมื อนปกติ ไม่หักค่าอะไร เคยได้เท่าไหร่ ก็ให้เท่านั้น แต่อาจล่าช้าในช่วงแรกเพราะข้ อมูลค่าแรงพนักงานถูกไฟไหม้ไปด้ วย พร้อมได้ปลุกใจพนักงานว่าจะร่ วมสร้างกันมาใหม่
สำหรับโรงงานแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ ในนิคมอุตสาหกรรมทองโกรว์ ถนนบางนา-ตราด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ของเมื่อวานที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาควบคุ มเพลิงนานกว่า 6 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าน่ าจะเกิดจาก แท่นพิมพ์ที่ทำงานหนัก จนเกิดความร้อนเป็นเปลวไฟ ไปถูกวัตถุซองพลาสติก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิ งและสารประเภทส่วนผสมที่เป็นวั ตถุไวไฟ ประกับกับลมพัดอย่างรุนแรง ทำให้ไฟไหม้โกดัง 2-5 เสียหายทั้งหลัง มูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท
ส่วนบริเวณที่เกิดเหตุตลอดทั้ งคืนจนถึงช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงฉีดน้ำเพื่ อควบคุมเพลิง ในจุดที่ยังที่ไฟลุกไหม้อยู่ โดยเฉพาะจุดที่มีฟิลม์ซองพลาสติ ก ทินเนอร์ ซึ่งวัตถุประเภทไวไฟและเป็นเชื้ อเพลิงอย่างดี จึงเกิดเพลิงปะทุเป็นหย่อมๆเจ้ าหน้าที่ต้องผลัดเปลี่ยนกั นคอยฉีดน้ำเลี้ยงควบคุมให้ไฟดับ ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่ แท้จริงต้องรอให้กองพิสูจน์หลั กฐานตรวจสอบและสรุปอีกครั้ง
สหภาพ กฟน.บุก มท.ยื่นหนังสือถึง "บิ๊กป๊อก" ค้านยกเลิกสวัสดิการขั้นพื้นฐาน กฟน.
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.60 ที่กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิ สาหกิจการไฟฟ้านครหลวง และตัวแทนพนักงานการไฟฟ้ านครหลวง นำโดย นายเพียร ยงหนู อดีตกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจ และผู้นำแรงงานการไฟฟ้านครหลวง ยื่นหนังสือถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับแทน เรื่องขอคัดค้านการยกเลิกสวัสดิ การขั้นพื้นฐานของการไฟฟ้ านครหลวง
ทั้งนี้ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.59 เห็นชอบปรับปรุงค่าตอบแทนระบบจู งใจและสวัสดิการของรัฐวิสาหกิ จนั้น คณะกรรมการสหภาพแรงงาน กฟน.ไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดความหวั่นไหวต่ อพนักงาน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนนำไปสู่ ความแตกแยก และมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่รัฐบาลขึ้นเงินเดือนให้ข้ าราชการหลายครั้ง แต่พนักงานรัฐวิสาหกิจได้ไม่เท่ าเทียม จึงขอให้ยกเลิกและทบทวนมติดั งกล่าว
เตือนแรงงานไทยบินทำงานเก็ บผลไม้ป่าฟินแลนด์อาจไม่คุ้มเงิ นลงทุน
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เนื่องจากช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ของทุกปี จะมีแรงงานไทยเดินทางไปเก็ บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์เป็ นจำนวนมาก เนื่องจากคาดหวังว่าจะมีรายได้ กลับมายังประเทศไทยจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามยังมี แรงงานไทยที่มีรายได้ไม่ ตรงตามเป้าหมาย หรือไม่ได้รับความเป็ นธรรมจากการเก็บผลไม้ป่า โดยปีที่ผ่านมาแรงงานไทยประสบปั ญหาราคาผลไม้ป่าตกต่ำ ส่งผลให้รายได้น้อยกว่าทุกปี อีกทั้งยังมีบางรายถูกร้องเรี ยนว่าไม่ได้รับความเป็ นธรรมจากบริษัทผู้รับซื้อ ดังนั้นในปี 2560 นี้ ทางการฟินแลนด์ได้กำหนดโควตาให้ แรงงานต่างชาติเดินทางไปเก็ บผลไม้ป่าไม่เกิน 3,500 คน
กรมการจัดการงานเตือนคนไทยที่ เตรียมบินไปทำงานเก็บผลไม้ป่าฟิ นแลนด์ในปีนี้ คิดให้ดีอาจไม่คุ้มกับเงินที่ ลงทุนดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปเก็ บผลไม้ป่าควรพิจารณาให้ รอบครอบก่อนตัดสินใจเดินทางไป เนื่องจากมีรายได้ไม่แน่นอน เพราะจำนวนเงินที่ได้ขึ้นอยู่กั บจำนวนผลไม้ที่เก็บได้ ประกอบกับราคาผลไม้ไม่คงที่ โดยเฉพาะหากปี ใดสภาพอากาศแปรปรวน ผลไม้ป่าก็จะมีผลผลิตน้อย ทำให้เก็บได้น้อย รายได้อาจไม่พอรายจ่าย และยังต้องเสียค่าใช้จ่ ายในการเดินทางไปทำงานอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าวีซ่า ค่าประกัน ค่าตรวจสุขภาพ ค่าที่พัก ค่ารถ เป็นต้น รวมแล้วประมาณ 8 หมื่น -1 แสนบาท ดังนั้นควรคำนวณความคุ้มทุน และความเสี่ยง ที่สำคัญต้องประเมินสุขภาพว่ามี พร้อมต่อการทำงานหนั กในสภาพอากาศที่หนาวเย็ นและความเป็นอยู่ที่ไม่ สะดวกสบายได้หรือไม่ แต่หากประสงค์จะเดินทางทำงาน ก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติ มได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวั ดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1649 อย่างไรก็ตามขณะนี้หลังจากที่ ได้มีการหารือร่วมกับสถานเอกอั ครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย ก็ได้ขอให้ทางการฟินแลนด์ยกเลิ กโควตากับบริษัทผู้รับซื้อที่ เอาเปรียบแรงงานไทย และขอให้ดูแลแรงงานไทยที่ จะไปเก็บผลไม้ป่าในเรื่ องสภาพการทำงาน ความเป็นอยู่ และรายได้ โดยเน้นนโยบายแรงงานไทยจะต้องมี รายได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและได้ รับการคุ้มครองที่ดี รวมทั้งจัดให้มีกลไกการร้องทุ กข์และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกั บแรงงานระหว่างการทำงานอีกด้วย
กระทรวงแรงงาน เพิ่มสถานพยาบาลเอกชน 5 แห่ง บริการทางการแพทย์กรณีทั นตกรรมแก่ผู้ประกันตน
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานประกันสังคมได้ ประกาศรับสมัครสถานพยาบาลเข้าร่ วมเพื่อให้บริการทางการแพทย์ กรณีทันตกรรมแก่ผู้ประกันตน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการปิดรั บสมัคร นั้น ล่าสุด สำนักงานประกันสั งคมขอประกาศรายชื่อสถานพยาบาลที่ ทำข้อตกลงในการให้บริ การทางการแพทย์กรณีทันตกรรมแก่ ผู้ประกันตนเพิ่มเติม โดยมีสถานพยาบาล/คลินิกที่ ประสงค์เข้าร่วม เขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลวิชัยเวช แยกไฟฉาย คลินิกทันตกรรมยูสมาย เดนเท็ล จังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ คลินิกทันตกรรมซียูสไมล์ และจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ โรงพยาบาลเซ็นทรัลเชียงใหม่ เมโมเรียล คลินิกหมอสุรจิตรทำฟัน ซึ่งผู้ประกันตนสามารถเข้ารั บบริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรม กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าตัดฟันคุด โดยผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่ าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ ายจริงตามความจำเป็นในอัตราไม่ เกิน 900 บาท/ครั้ง/ปี ไม่สามารถยกยอดไปใช้ในปีถั ดไปได้ ดังนั้นผู้ประกันตนควรหมั่นดู แลสุขภาพในช่องปาก และเบิกค่ารักษาตามสิทธิ ภายในรอบปีปฏิทินเท่านั้น เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ ประกันตนต่อไป
ส่วนหลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่ นคำขอรับประโยชน์กรณีทันตกรรม ดังนี้ 1.แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณี ทันตกรรม (สปส.2-16) 2.ใบรับรองแพทย์ 3.ใบเสร็จรับเงิน 4.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรื อบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ ในกรณีขอรับเงินทางธนาคารให้ แนบสำเนาสมุดบัญชีเงิ นฝากประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่ งมีชื่อและเลขที่บัญชี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสินธนาคารเพื่ อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)สำหรับผู้ประกันตนที่ ไม่สะดวกในการใช้บริการกั บสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถเข้ารับบริการคลินิกอื่น ๆ ได้เช่นกัน เพียงนำใบเสร็จมาเบิกได้ที่สำนั กงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้ นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวั ดและสาขาที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริ เวณกระทรวงสาธารณสุข)
ญี่ปุ่นขยายระยะเวลาการฝึกปฏิบั ติงานเทคนิคถึง 5 ปี พร้อมเพิ่มสาขาอาชีพการดูแลบริ บาล
กระทรวงแรงงาน เผยญี่ปุ่นออกกฎหมายว่าด้ วยการดำเนินการเกี่ยวกับการฝึ กงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่ างชาติช่วยเปิดโอกาสให้ แรงงานไทยสามารถฝึกงานได้ถึง 5 ปี พร้อมเปิดสาขาอาชีพการดูแลบริ บาลทักษะฝีมือที่สูงขึ้น ล่าสุดส่งแรงงานไทยไปฝึกแล้วเกื อบ 4,000 ราย
กระทรวงแรงงาน โดย นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศใช้ กฎหมายว่าด้วยการดำเนินการเกี่ ยวกับการฝึกงานด้านเทคนิคสำหรั บชาวต่างชาติให้เป็นไปอย่ างเหมาะสมและการคุ้มครองผู้ฝึ กงานด้านเทคนิค ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นโอกาสดีของแรงงานไทยที่ จะสามารถขยายระยะเวลาการฝึ กงานจาก 3 ปี เป็น 5 ปี ทั้งยังได้รับการพัฒนาทักษะฝีมื อที่สูงขึ้น และเพิ่มสาขาอาชีพ “การดูแลบริบาล (Nursing Care) ในระบบการฝึกงานด้านเทคนิค ตลอดจนมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ คือองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรั บชาวต่างชาติ (Organization for Technical Intern Training : OTIT) ทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบและสั่ งลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ ยวข้องเพื่อคุ้มครองผู้ฝึ กงานโดยตรงอีกด้วย
“ประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดแรงงานที่ น่าสนใจมากประเทศหนึ่งของกลุ่ มแรงงานที่ต้องการไปทำงานในต่ างประเทศ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีความร่ วมมือกับองค์กร IM ประเทศญี่ปุ่นจัดส่ งแรงงานไทยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิ คในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2559 โดยการจัดส่งไม่ต้องเสียค่าบริ การใดๆ นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตั วของคนหางาน เช่น ค่าหนังสือเดินทาง ค่าวีซ่า ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ค่าสมาชิกกองทุน เป็นต้น มีการจัดส่งไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 3,967 คน มีผู้สำเร็จการฝึกฯ จำนวน 2,729 คน โดยมีเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกฯ 3 ปี ซึ่งเดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ ยง 80,000 เยน เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2 จะได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอั ตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่ กฎหมายกำหนดคือไม่ต่ำกว่า 120,000 เยน/เดือน หรือประมาณ 36,000 บาทต่อเดือน และยังได้รับเงินสนับสนุ นในการประกอบอาชีพเมื่อฝึกครบ 3 ปี เป็นเงินคนละ 600,000 เยน หรือประมาณ 180,000 บาท ผู้ฝึกงานจะได้รับการพัฒนาฝีมื อแรงงาน สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นและเรี ยนรู้การทำงานแบบญี่ปุ่น ดังนั้น เมื่อกลับประเทศไทยจะมีโอกาสได้ ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุ นในไทย ดังนั้น จึงขอให้แรงงานไทยที่สนใจไปฝึ กงานที่ญี่ปุ่นเตรียมพร้อมเรื่ องภาษาและการบริบาลเบื้องต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจั งหวัด สำนักงานจัดหางานกรุ งเทพมหานครพื้นที่ หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่ างประเทศ กรมการจัดหางาน เว็บไซต์ www.overseas.doe.go.th หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694” นายวรานนท์ฯ กล่าว
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 25/3/2560
แสดงความคิดเห็น