ภาพจาก เพจ 'Banrasdr Photo'

Posted: 30 Nov 2018 05:24 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Fri, 2018-11-30 20:24

แกนนำ นปช. พร้อมด้วยกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุม นปช.ปี 53 แต่งกายด้วยชุดดำเข้าทวงถามความชัดเจนและความคืบหน้าของสำนวนในคดีดังกล่าว ที่สำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งวัฒนะ

30 พ.ย.2561 วันนี้ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งวัฒนะ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ธิดา-นพ.เหวง โตจิราการ นิสิต สินธุไพร แกนนำนปช. และโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ พร้อมด้วยญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 แต่งชุดดำเดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีผู้เสียชีวิต 99 ศพและบาดเจ็บหลายราย โดยมี ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด มาพบปะพูดคุยต่อหน้าสื่อมวลชนที่มาทำข่าว

"ผมขออนุญาตเริ่มต้นอย่างนี้นะครับว่า ขอขอบพระคุณท่านอัยการในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ได้กรุณาสละเวลามาให้พวกผมได้พบในวันนี้ พวกผมเป็นแกนนำนปช. ซึ่งเป็นผู้จัดการชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2553 วันนี้มาพร้อมกับคุณโชคชัย อ่างแก้ว ซึ่งเป็นทนายความในการติดตามคดีนี้มาโดยตลอด แล้วก็ตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง เหตุที่มา ก็ต้องเรียนท่านอัยการว่า มาด้วยความทุกข์ใจ และแบกความทุกข์นี้มาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี เราพยายามติดตามเรื่องนี้ ทุกช่องทางที่กระบวนการยุติธรรมเปิดให้ ทางหนึ่งเราไปที่ ป.ป.ช. เพื่อที่จะให้ ป.ป.ช. ตั้งต้นดำเนินคดี กับผู้มีอำนาจทางการเมืองเวลานั้น คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ" ณัฐวุฒิ กล่าวว่า พร้อมระบุว่า ที่ไปช่องนั้น ก็เพราะว่า มันมีแนวปฏิบัติ จากคดีเมื่อปี 2551 กรณีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่ง ป.ป.ช. ทำหน้าที่พนักงานสอบสวน แล้วก็สั่งฟ้องดำเนินคดี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี

สำหรับคดีนั้น ณัฐวุฒิ กล่าวว่า อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ฟ้อง ตั้งคณะทำงานร่วมแล้วอัยการก็ยังยืนยัน ไม่ฟ้อง แต่ว่า ป.ป.ช. จ้างทนายความฟ้องเอง ในที่สุดคดีก็ไปถึงศาล ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด คณะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ตามกฎหมายใหม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาแล้วสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ป.ป.ช.มีมติอุทธรณ์จำเลยเพียงคนเดียว คือ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งผลคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ก็ปรากฏแล้ว ว่ายังคงยืนยันยกฟ้อง คดีก็เป็นอันถึงที่สุด

"เราก็ไปช่องนี้ครับ แต่ว่า ที่ ป.ป.ช. ท่านมีการประชุมหารือ ไต่สวนกันแล้ว ท่านก็มีมติยกคำร้องในรอบแรก หลังจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีนายสมชาย กับ พล.อ.ชวลิต เราก็เห็นว่านี่คือข้อมูล พยานหลักฐานใหม่เบื้องต้น ก็เอาไปยื่น ป.ป.ช.อีกทีหนึ่ง สุดท้าย ป.ป.ช. ก็ยังคงยืนยัน ยกคำร้องเช่นเดิม คดีเสมือนว่าจะจบในชั้นนั้น แต่สำหรับผม ผมไม่จบ เพราะว่ากฎหมายยังเปิดช่องให้ว่า ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่ สามารถไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.ได้อีก ซึ่งผมจะทำตลอดไปจนกว่าเรื่องนี้ความยุติธรรมจะปรากฏได้" ณัฐวุฒิ กล่าว

"ต้องเรียนท่านว่า เป็นความเจ็บปวดสำหรับพวกเรานะครับ ที่เมื่อ ป.ป.ช.ดำเนินคดีปี 2551 ไว้อย่างหนึ่ง แต่ปฏิบัติต่อคดีปี 2553 ซึ่งมีคนเสียชีวิตถึง 99 ศพ อีกอย่างหนึ่ง ผมต้องพูดคำว่า 2 มาตรฐานหรือไม่ กับกรณีนี้ ส่วนอีกช่องหนึ่ง เราก็ติดตามคดีนี้ผ่านทางกระบวนการยุติธรรม โดยเมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษมีมติรับให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอทำหน้าที่พนักงานสอบสวน ได้มีการตรวจสอบพยานหลักฐานกรณีมีผู้เสียชีวิต แล้วก็ส่งขึ้นศาลในการไต่สวนสาเหตุการตาย ในที่สุดศาลมีคำพิพากษาชี้อย่างน้อยโดยประมาณ 20 ราย ว่าผู้เสียชีวิต เสียชีวิตเพราะว่าอาวุธของฝั่งเจ้าหน้าที่ คดีก็มาถึงมืออัยการ อย่างน้อยที่สุดก็รายที่ศาลชี้ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าจากพนักงานอัยการ นอกจากจะไม่มีความคืบหน้าแล้ว อีกกว่า 70 รายซึ่งยังไม่มีกระบวนการไต่สวนสาเหตุการตาย ก็หยุดยั้งลงไปเสียเฉยๆ ผมต้องพูดตามข้อเท็จจริงว่า หลังการยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 การไต่สวนสาเหตุการตายซึ่งต่อเนื่องมาตลอดก็หยุดยั้งลง แล้วไม่มีทีท่าว่าจะเดินหน้าต่อไป" ณัฐวุฒิ กล่าว

กรณีปรากฏรายงานข่าวจากสื่อมวลชน เจ้าของนามปากกาพยัคฆ์น้อย ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่เขียนบทความเมื่อ 6 ก.ย. 2561 ซึ่งระบุชัดว่ามีนายทหารชั้นยศนายพลคนหนึ่ง ตนไม่ทราบว่าใคร หรือมีจริงหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่เขาเขียนอย่างนั้น ว่ามาที่สำนักงานอัยการสูงสุด เรียกร้องให้ท่านอัยการสูงสุดทำให้สำนวนในคดีนี้เป็นสำนวนมุมดำ ยุติการดำเนินคดี อ้างว่า ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด คราวนั้นตนเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านอัยการสูงสุด ถามว่าเรื่องนี้มีจริงหรือไม่ และอยากจะทราบความคืบหน้าว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร นอกจากนั้น ตนก็มอบหมายทนายความ มายื่นหนังสือ คราวนั้น ท่านรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดอีกท่านหนึ่งมารับเรื่อง ท่านก็แจ้งกับทีมกฎหมายของตนว่า ท่านจะมีหนังสือตอบมาในภายหลัง แต่ว่า จนถึงวันนี้ ยังไม่มีหนังสือตอบ

ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อเช้าวานนี้ ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์เดิม เจ้าของนามปากกาเดิม เขียนบทความระบุอีกว่าคดีนี้ ในกรณีที่เกี่ยวกับคนบาดเจ็บ ระบุเลขคดีชัด เช่น สำนวนคดีพิเศษที่ 86/61 89/61 92/61 94/61 และ 99/61 ได้ถูกทำให้เป็นสำนวนมุมดำไปแล้ว เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนคดีคนตาย ก็จะถูกทำให้เป็นสำนวนมุมดำ ยุติการดำเนินคดีภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งนี่เป็นวันสุดท้ายของเดือน

"ผมก็เลยมาพบท่านตรงนี้ แล้วก็เรียนท่านว่า ผมมาแบบสุภาพชน แต่ว่าผมไม่มีหนังสือ ไม่มีลายลักษณ์อักษรมายื่นกับท่านอีก เพราะว่าผมยื่นหนังสือเรื่องนี้กับหลายองค์กรมาตลอดเวลาหลายปี เป็นปึกๆ แล้ว แล้วผมคิดว่า น้ำหมึกที่ปรากฏบนเอกสารเนี่ย มันยังไม่เท่าน้ำตาที่ปรากฏกับหัวใจของคนที่สูญเสีย หัวใจของญาติพี่น้องของคนตาย ตลอดจนเพื่อนมิตรผู้ร่วมอุดมการณ์ หรือแม้กระทั่งคนไทยทั่วๆ ไปที่พบเห็นเหตุการณ์แบบนี้ วันนี้จึงมาเรียนถามท่านอัยการว่า ตกลงคดีนี้ เรื่องคนเจ็บ เป็นสำนวนมุมดำไปแล้วอย่างที่หนังสือพิมพ์เขาว่าหรือเปล่า ต่อมาก็คือเรื่องคนตาย จะเป็นสำนวนมุมดำไปด้วยได้หรือ ในเมื่ออย่างน้อย 20 ราย ศาลท่านชี้ว่าเป็นการเสียชีวิต จากอาวุธของฝ่ายเจ้าหน้าที่ อีกกว่า 70 รายยังไม่มีการไต่สวนสาเหตุการตาย จึงอยากจะเรียนถามท่านตรงนี้ก่อน ผมขออนุญาตท้าวความเพื่อให้ท่านเห็นว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ พวกผมพยายามมาตลอด แล้วก็ต้องเรียนตรงๆ ต่อหน้าท่านครับ ผมมีความรู้สึกว่า คนเจ็บคนตายในคดีนี้ ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี วันนี้ผมก็ไม่ทราบว่า ผลจากการมาหารือกับท่านจะเป็นอย่างไร แต่ว่า มันก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ผมต้องได้รับคำตอบกลับไป ก็ขออนุญาตเรียนเชิญครับ" ณัฐวุฒิ กล่าว

ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ‘ขออนุญาตเรียนทุกท่านรวมทั้งเรียนญาติผู้สูญเสีย ผมเป็นรองโฆษกฯ ซึ่งประเด็นที่ทางท่านแกนนำ รวมทั้งญาติผู้สูญเสียจะมาพบทางอัยการสูงสุดวันนี้ ทางผู้บริหารได้รับทราบแล้ว และได้รับทราบจากสื่อมวลชนที่แจ้งมา

ขออนุญาตเรียนว่า หลังจากได้ทราบข่าว ทีมโฆษกฯ ก็พยายามจะสืบค้นว่าเรื่องราวอยู่ขั้นตอนไหนอย่างไร เรียนอย่างนี้นะครับ ในส่วนคดีทั้งหมดที่ทางท่านแกนนำและทางญาติผู้สูญเสียติดตาม ถ้าเป็นคดีที่เข้ามาสู่สำนักงานอัยการสูงสุด จะเข้าไปที่สำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ฝั่งถนนรัชดา เมื่อเช้าสอบถามไปที่ผู้บริหารฝั่งโน้น คือท่านรองอธิบดีและอธิบดี ได้รับการยืนยันว่าคดีไต่สวน 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม ยังไม่มีการส่งมาให้ที่อัยการสูงสุด

ส่วนสำนวนผู้บาดเจ็บมีเข้ามาแล้วบางส่วนแล้วก็อยู่หลายกอง กำลังให้ทางเจ้าหน้าที่รวบรวมอยู่ว่า อยู่ขั้นตอนไหนมีการสั่งประการใดอย่างไร เรียนข้อกฎหมายให้เข้าใจนะครับว่า ในกระบวนการที่ทางท่านณัฐวุฒิได้เรียนไปสักครู่ว่าเป็นคดีมุมดำ คำว่า คดีมุมดำในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หมายถึง คดีที่ส่งมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด ส่งมาให้อัยการเพื่อพนักงานสอบสวนจะขอให้งดการสอบสวนไว้ชั่วขณะ ยังไม่ได้แตะลงไปในเนื้อหาในคดีว่า ใครผิดใครถูก ภายในอายุความ เช่น คนตาย ภายใน 20 ปี คดีเหล่านี้สามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ตลอดเวลา เพราะกฎหมายที่บอกว่าให้งดการสอบสวน มุมดำ หมายความว่า พนักงานสอบสวนขอให้พนักงานอัยการ ให้ความเห็นชอบในการยุติการสอบสวนไว้ชั่วขณะก่อน ความหมายกฎหมายแค่นั้นเองนะครับ ไม่ได้แตะลงไปเนื้อในว่าใครผิดใครถูก

ส่วนประเด็นที่ทางณัฐวุฒิและแกนนำ ได้ติดตามซักถามนั้น รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า มี 2 ส่วน คือ คนเจ็บ และคนเสียชีวิต ถ้าเป็นคนที่เสียชีวิต แน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีกระบวนการชันสูตรพลิกศพ ไต่สวนโดยศาล แล้วก็ทราบว่าทำไปแล้วบางส่วน ยังไม่ทำบางส่วน แต่ที่แน่ๆ ที่สามารถเรียนได้ จากที่ตรวจสอบไปเมื่อช่วงเช้าคือ สำนวนที่มีการไต่สวน ยังไม่มีการส่งมาให้พนักงานอัยการ นี่คือประเด็นแรก ส่วนประเด็นผู้บาดเจ็บ ซึ่งจะต้องทำว่า รู้ผู้กระทำความผิดหรือไม่อย่างไร สำนวนเป็นมุมดำหรือไม่อย่างไร อันนี้ได้ประสานกับทางคดีพิเศษเมื่อตอนเช้า อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงที่ผมสามารถนำเรียนได้ในวันนี้ ก็มีประมาณนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่ทางแกนนำและฝ่ายผู้สูญเสียได้มาวันนี้ ผมก็จะได้สรุปเป็นเอกสารนำเรียนท่านอัยการสูงสุดทันทีในวันนี้ด้วยเช่นกัน’รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว

ณัฐวุฒิ กล่าวขอบคุณสำหรับคำตอบ พร้อมกล่าวว่า ที่ท่านตรวจสอบกับสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เป็นจริงอย่างที่สื่อมวลชนเขาเรียนไหมครับว่า สำนวนคดีคนเจ็บ เป็นมุมดำไปแล้ว เมื่อสักครู่ดูเหมือนท่านยังไม่ให้ความชัดเจน

ที่มา : เฟสบุ๊กแฟนเพจ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ 'Banrasdr Photo'

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.