6 องค์กรสิทธิสากล ประณามคำสั่งหัวหน้า คสช.ไฟเขียวทหารปราบมาเฟีย จี้ยกเลิก
Posted: 05 Apr 2016 06:10 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
6 องค์กรสิทธิมนุษยชนร่ วมแถลงประณามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 13/2559 จี้ยกเลิกคำสั่งนี้โดยทันที ชี้มอบอำนาจให้เจ้าพนักงานที่ ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ พ้นจากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ส่งผลให้เกิดการลอยนวลเมื่อทำผิ ด ขัดหลักการว่าด้วยความรับผิ ดตามหลักนิติธรรม
5 เม.ย. 2559 รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists - ICJ) ฮิวแมนไรท์ว็อชท์ (Human Rights Watch - HRW) แอมแนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International - AI) สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพั ฒนาแห่งเอเชีย (Asian Forum for Human Rights and Development - FORUM-ASIA) สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights - FIDH) และฟอร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights – FR) กล่าวพร้อมกันในวันนี้ว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกคำสั่งหั วหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 13/2559 ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่ เจ้าหน้าที่ของกองทัพไทยโดยทั นที เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ละเมิดสิ ทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม
จากเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อ้างอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจั กรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557เพื่อประกาศใช้คำสั่งหัวหน้ าคสช. ที่ 13/2559 ซึ่งกำหนดให้แต่งตั้ง "เจ้าพนักงานป้องกั นและปราบปราม" และผู้ช่วยจากข้าราชการทหารซึ่ งมียศร้อยตรี รวมถึงทหารประจำการ ทหารกองประจำการ และอาสาสมัครทหารพราน โดยมอบอำนาจหลายประการในการป้ องกันและปราบปรามการกระทำผิด 27 ประเภท รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำการให้ เกิดความไม่สงบในที่สาธารณะ ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง การตรวจคนเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการค้าอาวุธ
วิลเดอร์ เทเลอร์ เลขาธิการคณะกรรมการนักนิติ ศาสตร์สากล กล่าวว่า การปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 13/2559 ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยละเมิดพั นธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่ างประเทศและหลักนิติธรรมอย่ างแน่นอน นับเป็นคำสั่งที่ต้องถูกยกเลิ กโดยทันที ที่ผ่านมาทางองค์กรสังเกตว่า นับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่ อวันที่ 22 พ.ค. 2557การคุ้มครองสิทธิมนุ ษยชนในไทยได้เสื่ อมถอยลงมาโดยตลอด คำสั่งนี้เป็นสัญญาณที่น่ าตกใจอีกครั้งหนึ่ง และสะท้อนให้เห็นแนวโน้มแบบเดี ยวกัน
แถลงการณ์ร่วม 6 องค์กรสิทธิมนุษยชน :
(กรุงเทพฯ, 5 เมษายน 2559) – คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists - ICJ) ฮิวแมนไรท์ว็อชท์ (Human Rights Watch - HRW) แอมแนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International - AI) สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพั ฒนาแห่งเอเชีย (Asian Forum for Human Rights and Development - FORUM-ASIA) สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights - FIDH) และฟอร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights – FR) กล่าวพร้อมกันในวันนี้ว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกคำสั่งหั วหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 13/2559 ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่ เจ้าหน้าที่ของกองทัพไทยโดยทั นที เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ละเมิดสิ ทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อ้างอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจั กรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557เพื่อประกาศใช้คำสั่งหัวหน้ าคสช. ที่ 13/2559 ซึ่งกำหนดให้แต่งตั้ง "เจ้าพนักงานป้องกั นและปราบปราม" และผู้ช่วยจากข้าราชการทหารซึ่ งมียศร้อยตรี รวมถึงทหารประจำการ ทหารกองประจำการ และอาสาสมัครทหารพราน โดยมอบอำนาจหลายประการในการป้ องกันและปราบปรามการกระทำผิด 27 ประเภท รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำการให้ เกิดความไม่สงบในที่สาธารณะ ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง การตรวจคนเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการค้าอาวุธ
วิลเดอร์ เทเลอร์ (Wilder Tayler) เลขาธิการคณะกรรมการนักนิติ ศาสตร์สากลกล่าวว่า “การปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้ าคสช.ที่ 13/2559 ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยละเมิดพั นธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่ างประเทศและหลักนิติธรรมอย่ างแน่นอน นับเป็นคำสั่งที่ต้องถูกยกเลิ กโดยทันที” “ที่ผ่านมาทางองค์กรสังเกตว่า นับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่ อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557การคุ้มครองสิทธิมนุ ษยชนในไทยได้เสื่ อมถอยลงมาโดยตลอด คำสั่งนี้เป็นสัญญาณที่น่ าตกใจอีกครั้งหนึ่ง และสะท้อนให้เห็นแนวโน้มแบบเดี ยวกัน”
คำสั่งนี้ส่งผลให้เกิดข้อกั งวลด้านสิทธิมนุษยชนหลายประการ รวมทั้ง
1. การมอบอำนาจให้เจ้าพนักงานที่ ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ พ้นจากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี อันส่งผลให้เกิดการลอยนวลเมื่ อกระทำผิด นับว่าขัดต่อหลักการว่าด้ วยความรับผิดตามหลักนิติธรรม
แบรดอดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการแผนกเอเชียของฮิ วแมนไรท์ว็อชท์กล่าวว่า “แทนที่จะสนับสนุนให้มีการฟื้ นคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลทหารไทยกลั บขยายอำนาจของตนเพื่อให้ทำได้ ในทุกสิ่งที่ต้องการ รวมทั้งการปฏิบัติมิชอบโดยไม่ต้ องรับผิดแต่อย่างใด” “การปราบปรามกลายเป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นรายวันในประเทศไทย มีลักษณะที่นำไปสู่ความเป็นเผด็ จการทหารมากขึ้นเรื่อยๆ”
2. การปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ไม่อยู่ภายใต้ การตรวจสอบโดยอำนาจศาล ซึ่งขัดกับสิทธิที่จะได้รั บการเยียวยาอย่างเป็นผล สิทธิที่จะให้ศาลมี อำนาจตรวจสอบการละเมิดเสรีภาพ และสิทธิที่จะได้รับการพิ จารณาคดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งได้รับการรับรองตามข้อ2 9 และ 14 ของ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR)
แชมพา พาเทล (Champa Patel) รักษาการผู้อำนวยการประจำสำนั กงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า “คำสั่งนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ งของการลิดรอนอำนาจตุลาการอย่ างร้ายแรงที่ จะสามารถตรวจสอบการปฏิบัติ ของกองทัพ ส่งผลให้เกิดความเสื่ อมถอยของการคุ้มครองสิทธิและหลั กนิติธรรม”
3. การให้อำนาจบังคับใช้กฎหมายอย่ างกว้างขวางและคลุมเครือแก่เจ้ าพนักงานทหารที่ไม่ได้ผ่านการฝึ กอบรม ย่อมมีแนวโน้มนำไปสู่การปฏิบัติ มิชอบ ซึ่งไม่สอดคล้องตามมาตรฐานสิทธิ มนุษยชน รวมถึงไม่สอดคล้องต่อประมวลหลั กปฏิบัติแห่งสหประชาชาติของเจ้ าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมาย(UN Code of Conduct for Law Enforcement Officials)และหลักการพื้นฐานแห่ งสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลั งและอาวุธปืนของเจ้าพนักงานผู้ บังคับใช้กฎหมาย (UN Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials)
เอเวอลีน บาลาอิส-เซอร์ราโน (Evelyn Balais-Serrano) ผู้อำนวยการบริหารสภาเพื่อสิทธิ มนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชี ยกล่าวว่า “คำสั่งนี้ให้อำนาจเจ้าพนั กงานทหารในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่มีประสบการณ์และไม่ทราบขั ้นตอนในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียกตัวบุคคล การค้น และการจับกุมบุคคล” “การขาดการกำกับดู แลจากกระบวนการยุติธรรมยิ่ งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นเนื่ องจากคำสั่งนี้อาจนำไปสู่การใช้ อำนาจอย่างมิชอบ และการใช้กำลังอย่างไม่ได้สัดส่ วนเหมาะสมของเจ้าพนักงานทหาร ซึ่งเป็นการละเมิ ดกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ รวมทั้งประมวลหลักปฏิบัติแห่ งสหประชาชาติของเจ้าพนักงานผู้ บังคับใช้กฎหมายและหลักการพื้ นฐานแห่งสหประชาชาติว่าด้ วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้ าพนักงานผู้บังคับใช้ กฎหมายและมีความเสี่ยงอย่ างมากที่อาจมีการใช้ อำนาจตามคำสั่งนี้ เพื่อจำกัดสิทธิอั นชอบธรรมของประชาชน รวมทั้งสิทธิเสรี ภาพในการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคม”
4. คำสั่งนี้ให้อำนาจในการควบคุมตั วบุคคลเป็นเวลาไม่เกินเจ็ดวั นในสถานที่ซึ่งไม่เปิดเผย โดยไม่มีการตรวจสอบจากศาล ย่อมเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิ ดการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุ ษยชน รวมทั้งการทรมานและการบังคับบุ คคลให้สูญหาย
คาริม ลาฮิดจี (Karim Lahidji) ประธานสหพันธ์สิทธิมนุ ษยชนสากลกล่าวว่า “แม้จะอ้างว่าการบังคับใช้คำสั่ งนี้เป็นไปเพื่ อปราบปรามการกระทำความผิ ดทางอาญา แต่คำสั่งนี้มีแนวโน้มให้เกิ ดการกระทำผิดทางอาญาระดับร้ ายแรง ซึ่งเป็นข้อห้ามตามพันธกรณีสิ ทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ ลงนามหรือให้สัตยาบันรับรองไว้”
5. ในทางปฏิบัติแล้ว คำสั่งนี้เปิดโอกาสให้มี การนำไปใช้อย่างมิชอบ เพื่อปราบปรามและปิดปากผู้ที่ ทางการมองว่ามีความเห็นแตกต่ างจากรัฐซึ่งรวมถึงนักปกป้องสิ ทธิมนุษยชน คำสั่งดังกล่าวขัดแย้งกั บกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุ ษยชนระหว่างประเทศ
เอมี สมิท (Amy Smith) ผู้อำนวยการบริหารฟอร์ติฟายไรท์ กล่าวว่า “คำสั่งนี้เปรียบเสมือนการราดน้ ำมันบนกองไฟที่ทำให้เกิ ดการตอบโต้นักปกป้องสิทธิมนุ ษยชนในไทย” “ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องคุ้ มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และคำสั่งนี้อาจถูกใช้เพื่อพุ่ งเป้าโจมตีและขัดขวางการปฏิบัติ งานอันชอบธรรมของพวกเขา”
แสดงความคิดเห็น