Posted: 18 Aug 2017 06:42 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

“การต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เริ่มจากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในเหตุการณ์กบฎบวรเดช มาสู่การต่อสู้ในเชิงการเมืองวัฒนธรรม ด้วยการพยายามลบความทรงจำของสังคม และอธิบายความหมายของเหตุการณ์ในปี 2475 เสียใหม่ เพื่อค้ำจุนอำนาจทางการเมืองของฝ่ายตน ผ่านการผลิตงานเขียนในรูปของสารคดี บทความ บันทึกความทรงจำ และนวนิยาย

ปัจจุบันวิธีการต่อสู้ของพวกเขา วิวัฒนาการมาถึงขั้นสูงสุด ด้วยการขโมยหมุดคณะราษฎร นับว่าเจริญขึ้นเรื่อยๆ”

เครดิต: มิตรสหายท่านหนึ่ง

คำกล่าวข้างต้นนี้เปรียบเหมือนบทสรุปวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างย่อ สั้น กระชับ และได้ใจความ โดยย่อเรื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างเห็นภาพ ซึ่งผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ผู้มีอำนาจรัฐมักทำให้ประชาชนหลงลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และมอมเมาประชาชนผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ รวมทั้งผลิตซ้ำวาทกรรมเพื่อให้จดจำเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครองเท่านั้น

ภาพข่าวจากทีวีและสื่อออนไลน์ได้แสดงให้เห็นถึงหยาดน้ำตาของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ผู้เป็นเจ้าของวันเกิดในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งควรจะเป็นวันครบรอบปีที่ 50 ที่มีแต่ความสุขสนุกสนานพร้อมทั้งได้รับคำอวยพรจากคนรอบข้าง แต่กลับกลายเป็นบรรยากาศงานเลี้ยงที่มีเสียงหัวเราะปนคราบน้ำตา จะมีใครรู้บ้างว่า ข้างในจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังคิดใคร่ครวญกับปัญหาอุปสรรคที่รออยู่เบื้องหน้าอย่างไร ถัดมาอีก 3 วัน ก็คือ วันที่ 24 มิถุนายน 2560 ซึ่งก็เป็นวันครบรอบปีที่ 85 ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อีกเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่หลงลืมไปและไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันที่ทรงคุณค่าเช่นนี้มากนัก

หลังจากมีการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยนัดสุดท้ายในคดีรับจำนำข้าว และรอวันฟังคำตัดสินในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 นั้น โฉมหน้าการเมืองไทยหลังจากนี้จะเป็นเช่นใดและลงเอยอย่างไร กูรูผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองยังไม่กล้าฟันธง เพราะเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นไปตามธงที่ตั้งไว้หรือไม่ คงจะมีแต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเท่านั้นที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถัดจากนี้แล้วฝ่ายประชาชนจะอยู่ในสภาพเช่นใดในการศึกครั้งนี้ สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงพลิกผันไปเช่นไร คงมีหลายแนวทางให้จินตนาการนึกคิด ดังเช่น

1. การเมืองภาคประชาชนจะถูกตัดสัมพันธ์จากพรรคการเมือง ซึ่งจะทำให้พลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองลดลง และถูกผลักออกไปจากศูนย์กลางอำนาจรัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไป สมมติว่าปีหน้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ตัวแทนของประชาชนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎรก็หาได้มีอำนาจการบริหารจัดการอย่างเต็มที่ไม่ มือที่มองไม่เห็นและผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญจะยังคงเข้ามากำกับบทบาทและแทรกแซงการทำงานของรัฐบาลเพื่อให้แน่ใจได้ว่า อำนาจการตัดสินใจและผลประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจสาธารณะจะยังคงตกอยู่กับฝ่ายตนมิเสื่อมคลาย เสียงเรียกร้องจากประชาชนจะกลายเป็นเสียงนก เสียงกา เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา เสียงที่แผ่วเบานั้นจะถูกกลบด้วยเสียงของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจำนวน 250 คน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า อำนาจการต่อรองของประชาชนถูกดึงกลับไปอยู่ในมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้จะไม่มีทางปล่อยอำนาจให้หลุดมืออีกเป็นแน่

2. พรรคการเมืองจะอ่อนแอลงจากผลพวงการรัฐประหาร 2 ครั้งหลังสุด โดยพรรคการเมืองขนาดใหญ่จะถูกกัดเซาะและบ่อนทำลายจากกลอุบายที่ซ่อนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 และกฎหมายลูกอีก 10 ฉบับที่กำลังจะตามมา ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ซ่อนเข็มพิษไว้ทิ่มแทงพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ดั่งเช่นวิธีการนับคะแนนที่บังคับให้พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. เขตมาก จะได้จำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เป็นต้น กฎหมายพิสดารเช่นนี้จะยกความสำคัญให้พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กกลับมามีบทบาทเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง เหมือนอดีตก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นยุคประชาธิปไตยครึ่งใบและมีนายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก ส่วนคณะรัฐมนตรีจะเกิดจากผลลัพธ์ทางสูตรคณิตศาสตร์ทางการเมือง ตำแหน่งรัฐมนตรีจะได้มาจากการต่อรองโดยการรวบรวมเสียงสนับสนุนของ ส.ส. แต่ละกลุ่มก๊วน และเกิดภาวะที่รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ทำให้ยากต่อการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงการวางนโยบายพัฒนาประเทศในระยะยาวอีกด้วย อายุรัฐบาลจะสั้นเพียงแค่ 1-2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่คงเป็นการเสียโอกาสครั้งสำคัญของประเทศที่ต้องถอยหลังลงคลองอีกครั้ง ซึ่งต้นทุนของเวลาก็ประเมินค่ามิได้เช่นกัน

3. รัฐราชการจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของหน่วยงานรัฐรวมทั้งกฎระเบียบข้อบังคับที่เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาควบคุมดูแลกิจวัตรประชาชนมากขึ้น บทบาทข้าราชการประจำหรือเทคโนแครตจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในฐานะผู้จัดทำและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ นั่นเท่ากับว่า นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จะออกมาจากหน่วยงานภาครัฐที่สอดคล้องไปกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่วางเอาไว้ แต่นโยบายและแผนที่ดีนั้นต้องสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ตลอดเวลา หากแก้ไขได้ยากแล้ว นโยบายดังกล่าวก็จะกลายเป็นสิ่งล้าสมัยเพียงชั่วข้ามคืนและจะเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ความเชื่องช้าของระบบราชการเป็นการเพิ่มต้นทุนชีวิตให้กับประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งจากอดีตที่ผ่านมา นโยบายส่วนใหญ่จะสั่งการมาจากกระทรวงที่ทำงานบนหอคอยงาช้าง โดยไม่ได้ตอบสนองความต้องการและไม่สะท้อนปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง

4. พรรคการเมืองจะไม่กล้านำเสนอและผลักดันนโยบายหาเสียงอย่างเป็นรูปธรรม ทำได้แค่เพียงนำแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละกระทรวงมารวมกันเป็นนโยบายหาเสียงที่หาความโดดเด่นไม่ได้ ทุกพรรคการเมืองจะเสนอนโยบายที่คล้ายคลึงกันจนแยกกันไม่ออก เป็นนโยบายที่สวยหรูในกระดาษแต่จับต้องไม่ได้ การแข่งขันกันสร้างนโยบายที่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นการสร้างเงื่อนไขสุ่มเสี่ยงให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปฟ้องร้องว่า เป็นนโยบายหาเสียงที่ไม่ปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมีสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีได้ สุดท้ายแล้วสังคมจะเสียโอกาสได้เห็นนโยบายที่สะท้อนปัญหาพื้นฐานของประชาชน อย่างเช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค , กองทุนหมู่บ้าน , โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นต้น

5. กลุ่มทุนรายใหญ่ดั่งเดิมที่สนิทแนบแน่นกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะขยายธุรกิจและสร้างอำนาจผูกขาดตลาดได้ตามกฎหมาย เช่น การสร้างอุปสรรคกีดขวางคู่แข่งรายใหม่ไม่ให้เข้ามาสู่ตลาด รวมถึงกำจัดให้ออกไปจากเวทีการแข่งขันได้ กลุ่มทุนเหล่านี้เป็นฐานให้กับการปฏิวัติรัฐประหารมาอย่างยาวนาน การเข้าถึงรัฐบาลเผด็จการนั้นทำได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า โดยปราศจากการตรวจสอบจากสื่อมวลชน การได้มาซึ่งโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ทำได้ไม่ยาก เพราะไม่ต้องแข่งขัน และไม่มีเสียงคัดค้านจากภาคประชาชน ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาก็ปรากฎเป็นข้อเท็จจริงที่ดีอย่างหนึ่ง สังคมจะเห็นภาพ การรวยกระจุก แต่จนกระจาย เด่นชัดยิ่งขึ้น

6. ช่องว่างความเหลื่อมล้ำของประชาชนจะถ่างออกและกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ความมั่งคั่งจะถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเมืองหลวง การกระจายความเจริญออกสู่ต่างจังหวัดจะมีน้อยลง ประชาชนจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น เกิดอุปสรรคในการค้าขายเพราะติดขัดด้วยกฎระเบียบราชการ เช่น การเข้มงวดต่อคนชั้นล่างแต่เอื้อประโยชน์ต่อคนชั้นสูง การสร้างกฎระเบียบที่หยุมหยิมและบังคับใช้อย่างเข้มงวดแต่เลือกปฏิบัติ ได้เปิดช่องและสร้างโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้น หากเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้ดุลยพินิจให้คุณและโทษได้แล้ว คนชั้นล่างก็จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ร่ำไป เช่น การห้ามนั่งท้ายรถกระบะ , การใช้มาตรา 44 ประกาศให้ที่ดินของชาวบ้านกลายเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำไปสร้างเป็นเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น การกระจายรายได้และความมั่งคั่งจะแย่ลงในช่วงที่มีรัฐบาลเผด็จการเสมอ ผลกระทบด้านลบทางเศรษฐกิจจะกระจายไปในวงกว้างเกินกว่าที่จะจินตนาการก็เป็นได้

7. ความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมจะยังคงอยู่ รวมทั้งปรากฎการณ์สองมาตรฐานก็ยังวนเวียนอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน รัฐประหารกันยายน 2549 จวบจนถึงรัฐประหารพฤษภาคม 2557 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้สร้างวาทกรรมขึ้นมามากมายเพื่อทำลายฝ่ายประชาธิปไตย รวมทั้งกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่คนส่วนใหญ่สัมผัสได้ว่า มีหลายมาตรฐานจนถึงไม่มีมาตรฐานเสียเลย ฝ่ายหนึ่งผิดแต่อีกฝ่ายไม่เคยผิด การตีความบทบัญญัติที่สร้างความเคลือบแคลงใจ เกิดครหาและข้อกังขาเป็นอย่างมาก จนกล่าวได้ว่า เป็นปาฏิหาริย์ทางกฎหมายที่ขัดต่อหลักวิชาการทางนิติศาสตร์ เหตุการณ์เหล่านี้จะพบเห็นอยู่ในสังคมไทยเป็นปรกติ ซึ่งในสายตาของต่างชาติแล้ว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากและลำบากเช่นนี้กำลังจะกลายเป็นทศวรรษที่สูญเปล่าสำหรับคนไทย เป็น 12 ปีแห่งการหยุดนิ่ง ชะงักงัน และผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชียที่ยากต่อการเยียวยารักษาแบบถาวร หรืออาจจะต้องทนอยู่ในห้องไอซียูจนกว่าจะครบตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีก็เป็นได้

8. การปฏิรูปสถาบันกองทัพและสถาบันตุลาการยังไม่เกิดขึ้น และจะคงอยู่ในสถานะที่จับต้องไม่ได้ต่อไป ยกตัวอย่างเช่น การอุบัติขึ้นของตุลาการภิวัฒน์หลังจากปี 2549 เป็นต้นมา ทำให้กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญของความขัดแย้งทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งการเกิดขึ้นของอภินิหารทางกฎหมายในรูปแบบต่างๆ จนทำให้สังคมแปลกใจและสงสัย รวมทั้งตั้งคำถามถึงความเที่ยงตรงของตาชั่งแห่งความยุติธรรม ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วิธีคิด เพื่อก้าวผ่านวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้จะเป็นทางออกสุดท้ายที่ดีที่สุด ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องระเบิดออกมาจากภายในของสถาบันเหล่านี้เองเท่านั้น หาใช่จากภายนอกไม่

9. ความขัดแย้งของสังคมในยุคไทยแลนด์ 4.0 จะยังคงอยู่อย่างเงียบสงบภายใต้รัฐบาลเผด็จการ และจะปะทุออกมาอีกครั้งเมื่อมีสัญญาณการเลือกตั้ง เหตุผลสำคัญนั่นคือ การแข็งขืนฝืนธรรมชาติทางการเมือง โดยชนชั้นนำไม่ยอมปล่อยให้สังคมเดินหน้าตามครรลองคลองธรรมในระบอบประชาธิปไตย จนอาจกล่าวได้ว่า คนเหล่านี้ได้ละเลยการถอดบทเรียนความวุ่นวายทางการเมืองในอดีต ละเลยการเข้าใจบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้วิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติของประชาชนชาวรากหญ้าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ท่ามกลางซากปรักหักพังของความขัดแย้งที่ยาวนานนี้ กลับเกิดสภาพการณ์ที่ย้อนแย้งในตัวเอง ชนชั้นปกครองรวมทั้งชนชั้นกลางผู้เชื่อว่าตนเองมีความรู้และคุณธรรมแบบแนวตั้งที่ผู้อื่นปีนป่ายขึ้นมาไม่ได้ กลับมุ่งมั่นปรารถนานำระบบเจ้าขุนมูลนายกลับมาใช้อีกครั้ง โดยยึดติดกับพิธีกรรมประดิษฐ์ รวมทั้งอัตลักษณ์ของสังคมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ด้วยอำนาจนิยม และกระจายเข้าไปยังในวงการการศึกษา น่าแปลกใจยิ่งนักที่ปัญญาชนคนหนุ่มสาวผู้เป็นความหวังของประเทศชาติในอดีต ผู้เคยเรียกร้องหาเสรีภาพแห่งประชาธิปไตย ผู้เคยต่อต้านเผด็จการทหาร ได้กลายมาเป็นผู้ใหญ่หัวโบราณที่คร่ำครวญถึงแต่อดีต และกลับมาเรียกร้องหาเผด็จการทหารในบั้นปลายชีวิต การเปลี่ยนกลับไปกลับมาเช่นนี้ทำให้ยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบายได้ ว่าเหตุใดและทำไม เมื่ออายุมากขึ้นจึงเกิดอุปาทานหมู่ย้อนกลับไปยึดมั่นถือมั่นกับธรรมเนียมจารีตประเพณีแบบเก่าที่คร่ำครึ หรือจะเป็นเหมือนสำนวนไทยที่ว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานก็เป็นได้ ซึ่งแปลได้ว่า แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน แต่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้สังคมและลูกหลานเลย

ในที่สุดแล้วการโต้กลับของฝ่ายอนุรักษ์นิยมตามจารีต คงจะมีชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียที หลังจากที่ปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปไตยภาคประชาชนได้ยืนตัวตรง ร่าเริงเบิกบาน และยืนหยัดมาได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ หลังการกำเนิดของรัฐธรรมนูญปี 2540 และเหตุการณ์ต่อจากนี้กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ระยะใกล้ที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนรุ่นต่อไป ก็ขอให้ประชาชนทุกคนจงโชคดี มีความสุข และมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตเพื่ออนาคตดีกว่าในวันข้างหน้า หากแม้นหมุดหมายของคณะราษฎรได้อันตรธานหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และคงไม่มีวันได้กลับคืนมาแล้วไซร้ ก็ขอให้จิตใจของเสรีชนผู้ตรากตรำทำงานหนัก ผู้รักประชาธิปไตย ยังคงเข้มแข็งปลอดภัยและรอวันแห่งการปลดปล่อย ทั้งนี้เพื่อยืนยันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และยืนยันในความเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยด้วยกัน

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.