ภาพประกอบโดย เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ

Posted: 12 Aug 2017 01:25 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ไม่มีหิมะ มีแต่กระสุน

คืนวันที่ 9 สิงหาคม 2560 ผมได้มีโอกาสคุยกับนักศึกษาสองคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานยิงเมื่อเวลาประมาน 18.00น. ของวันก่อนหน้านั้น ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร รู้แต่ว่าต้องระมัดระวังเรื่องการไถ่ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากจะถามก็คงต้องหาคำถามที่ดีๆ เพื่อไม่ให้เกิดการผลิตซ้ำความรุนแรงและตอกย้ำความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ด้วยความตั้งใจอยากให้นักศึกษารู้สึกเป็นกันเองและผ่อนคลายกังวลจากเหตุการณ์ข้างต้น

ผมขอเริ่มเล่าถึงในช่วงท้ายบทสนทนา ผมชวนคุยโดยถามไปว่า ตอนนี้ทั้งสองคนได้อ่านหนังสืออะไรอยู่? ฮานาน นักศึกษาหญิงที่กระสุนสามนัดพลาดเป้าไปได้บอกว่าหนังสือเล่มล่าสุดที่อ่านคือเรื่อง “หิมะ” เขียนโดย ออร์ฮาน ปามุก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บทจร ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้อ่านรีวิวหนังสือเล่มดังกล่าวจากเพจ Candide Books (ร้านหนังสือก็องดิด) เลยตัดสินซื้ออ่านและอ่านจนจบในช่วงเดือนรอมาฎอน (ปลายเดือนพฤษภาคม-ปลายเดือนมิถุนายน) ที่ผ่านมา ฮานานถามผมว่า เนื้อหาหนังสือเรื่องหิมะ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?

ผมไม่ได้ตอบทันที แต่ได้ถามต่อไปว่า แล้วคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? เธอตอบไม่ตรงคำถามสักเท่าไหร่ แต่เลือกจะตอบว่าชอบมาก ๆ เพราะเป็นเรื่องที่อ่านสนุก ฮานานชอบเนื้อเรื่องที่มีการสืบสวนคดีในเมืองคาร์ส เมืองชายแดนของประเทศตุรกีซึ่งอยู่ติดกับประเทศอาร์เมเนีย เมืองถูกปิดล้อมด้วยหิมะ ความรุนแรง ข่าวลวง และความขัดแย้งเกิดขึ้นโดยไร้ข้อเท็จจริง

ผู้เขียนกำหนดเรื่องให้ “คา” กวีหนุ่มผลัดถิ่นชาวตุรกีผู้ลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศเยอรมันเดินทางกลับมายังเมืองชายแดนคาร์ส เพื่อสืบหาสาเหตุการฆ่าตัวตายของเหล่าเด็กสาวผู้ยืนยันจะสวมฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) มาโรงเรียนในหนังสือเรื่อง “หิมะ” เมืองคาร์ส เป็นเมืองแปลกแยกจากส่วนอื่นๆ ของตุรกีเช่นเดียวกับปาตานีที่แปลกแยกจากส่วนอื่นๆ ของไทยที่มีความคลุมเครือไม่ลงรอยระหว่างรัฐบาลส่วนกลางในกรุงอังการาและในกรุงเทพฯ


“ภายใต้หิมะที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อน เมือง (คาร์ส) แห่งนี้ได้เปลี่ยนโฉมกลายเป็นฉากละเลงเลือดของความขัดแย้งทางความเชื่อ” และอาจจะเปรียบเปรยได้ว่า “ภายใต้อุ้งมือทหารที่ทำกระสุนลั่น เมือง (ปาตานี - โดยผมเอง) แห่งนี้ได้เปลี่ยนโฉมกลายเป็นเมืองแห่งน่าอึดอัดของผู้คนที่ดำเนินชีวิตท่ามกลางห่ากระสุน”

สำหรับผมแล้วบทสนทนาเรื่องหนังสือเรื่องหิมะ ของฮานาน น่าสนใจมาก สารภาพตรง ๆ ผมยังไม่เจอนักศึกษาคนใดมาคุยเรื่องหนังสือเล่มหนาเรื่องนี้ให้ฟังเลย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการสนทนานี้เรียกว่าการเยียวยาได้ไหม หลังจากที่พวกเขาต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันในชีวิต

ต่อคำถามของฮานาน นักศึกษาหญิงผู้รอดจากกระสุน ได้ถามว่าเรื่องหิมะเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ผมแสดงความเห็นไปว่า จะจริงหรือไม่ก็อาจจะไม่สำคัญเท่ากับการที่เราได้เห็นโลกและมีความรู้มากขึ้นจากการอ่านหนังสือ 


ข้อสังเกตในวันทำแผนจำลองเหตุการณ์

ด้วยความความรู้อันจำกัดด้านตัวบทกฎหมาย ผมจึงติดหนังสือประมวลกฎหมายอาญาเล่มเล็กๆ ไปด้วยในวันนัด และตัดสินใจโทรปรึกษาเพื่อนอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อว่าพอจะเป็นประโยชน์ในการลงพื้นที่ข้างต้น

เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ผมพยายามเดินเข้าไปหานักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ในเขตกั้นสีเหลือง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนายได้เดินเข้ามาคุยกับผมและกันผมออกจากเขตเส้นสีเหลือง บอกว่าเป็นเขตที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ผมจึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าผมเป็นอาจารย์ของนักศึกษาทั้งหมด ผมอยากจะขอเข้าไปคุยได้ไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปล่อยให้เข้าสังเกตการณ์ โดยระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกำลังปฏิบัติงานโดยการค้นหากระสุนในที่เกิดเหตุ

ผมได้คุยกับนักศึกษาทั้ง 4 คนในวันทำแผน นักศึกษาคนหนึ่งได้บอกผมว่า “หนูรู้สึกกลัวและการทำแผนจำลองเหตุการณ์ก็ทำให้เธอนึกถึงเมื่อวันที่โดนยิง เพราะขณะทำแผนเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับวันที่หนูโดนยิง คือช่วงเย็น ๆ เหมือนเป็นการย้อนให้หนูมาอยู่ในเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง” เท่าที่ผมสังเกตวิธีการทำงาน ตำรวจให้นักศึกษาเดินไปที่เกิดเหตุที่เดิมและจำลองเหตุการณ์การยิงและให้นักศึกษาอธิบายรายละเอียด หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้คุยกับนักศึกษาแต่ทว่าไม่ทันได้เอยปากถาม น้ำตาของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไหลออกมาและพูดว่า “หนูรู้สึกไม่ยุติธรรมและกลัวว่าคดีจะหลุดไป เพราะผู้ต้องหาให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาคดีพยายามฆ่า” และได้ถามผมว่า “ทำไมผู้ต้องหาไม่มาแผนประกอบ ทำไมมีแต่พวกหนู?” และผมเพิ่งรับทราบว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการเชิญนักศึกษากลุ่มนี้มาทำแผน ก่อนหน้านี้นักศึกษาต้องเอามอเตอร์ไซค์ที่ตนเองใช้ในวันที่เกิดเหตุมาทำแผนเพื่อจำลองเหตุการณ์แล้วครั้งหนึ่ง ผมได้แต่เงียบอธิบายตามหลักกฎหมายว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธไม่มาทำแผน

ผมอยากกล่าวถึงพยานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงไทยพุทธ 4-5 คน ซึ่งผมได้มีโอกาส “แหลงใต้” คุยกับพวกเธอ พยานเหล่านั้นบอกผมว่า พวกเธอไม่เห็นด้วยอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ทำไมต้องมายิงนักศึกษา?” และตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า คนในเครื่องแบบทำแบบนี้กระทบต่อความศรัทธาของคนในพื้นที่อย่างมาก และตั้งข้อสงสัยต่อไปว่า “ทำไมเจ้าหน้าตำรวจไม่ตามจับกุมผู้กระทำความผิด?”

ก่อนกลับผมไหว้ขอบคุณชาวบ้านคนพุทธทั้ง 4-5 คนที่เป็นพยานพบเห็นเหตุการณ์สำหรับความกรุณาของพวกเธอที่เปิดประตูบ้านให้นักศึกษาวิ่งเข้าไปหลบในคืนเกิดเหตุ และขอบคุณที่อาสาจะเป็นพยานให้นักศึกษาหากว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ผมไม่พบเห็นรายงานข่าวที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้น แต่สำหรับผมแล้ว รายละเอียดของเรื่องในช่วงนี้สำคัญมาก ๆ เพราะมันช่วยให้ลดอคติระหว่างศาสนาที่ก่อตัวในโลกออนไลน์ต่อความเห็นในเหตุการณ์ข้างต้น ส่วนนักศึกษาหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นยังบอกว่า พวกเธออยากขอบคุณชาวบ้าน เพื่อนนักศึกษาทุกคนที่มาร่วมสังเกตการณ์การทำแผน เพราะรู้สึกได้รับกำลังใจและดีใจมียังมีคนที่เห็นว่าพวกเธอยังไม่ได้รับความเป็นธรรม นักศึกษามิได้แสดงความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ได้แสดงความเห็นว่า “อยากเห็นว่าความเป็นธรรมเกิดขึ้นเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก” ไม่ว่ากับใครก็ตาม

ผมได้แนะนำให้นักศึกษาจดบันทึกข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากวันเกิดเหตุ รวมทั้งบุคคลที่มาติดต่อเอาไว้ด้วย ผมแนะนำให้จดบันทึกทุกๆ วัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยหวังว่าการจดบันทึกข้อเท็จจริงและความรู้สึกนึกคิดจะเป็นประโยชน์ในอนาคตไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ หลังจากนี้คือ การเผชิญสถานการณ์ใหม่ของพวกเขาตั้งแต่เรื่องคดีความที่ต้องใช้เวลากว่าศาลจะพิจารณาและการต้องกอบกู้จิตใจของตัวเองให้เข้มแข็งกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นใหม่

0000

บันทึกท้ายบทความ: เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผมได้ลองสืบค้นบันทึก/ รายงานข่าวเรื่องเหตุการณ์ในทำนองนี้ดูทำให้พบว่า หากนับย้อนหลังการเกิดเหตุการณ์การใช้อาวุธโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยิงกันเองเพราะความเครียดหรืออาการเมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่มาโดยตลอด เช่น 14 กันยายน 2554 พลทหารรุสลาม มอและ อายุ 22 ปี สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 เกิดอาการคลุ้มคลั่งขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในฐานปฏิบัติการที่บ้านจำปากอ หมู่ 1 ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายบุกยิงผู้บังคับบัญชายศพันจ่าเอก และจ่าเอกถึงในห้องทำงาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 4 นาย บาดเจ็บอีก 3 นาย จากนั้นเจ้าตัวก็ถูกยิงตอบโต้จนเสียชีวิตตามไปด้วย

28 พฤษภาคม 2556 ทหารพราน สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2207 (ร้อย.ทพ.2207) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 ที่อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี อส.ทพ.สราวุฒิ อำพันธ์ เกิดอาการเครียดจึงยิงเพื่อนทหารเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 นาย คือ ส.ต.รณวิทย์ สิงห์สาย อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83 ม.2 ต.ห้วยหลัว อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หน้าอก และแขน และ อส.ทพ.เกรียงศักดิ์ ธูปพุดซา อายุ 29 ปี เป็นชาว จ.สุรินทร์ ถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ ทั้ง 2 นายสังกัดกรมทหารพราน 22 กองร้อย 2207

9 พฤศจิกายน 2556 เกิดเหตุทะเลาะวิวาท และยิงกันเสียชีวิตภายในฐานปฏิบัติการร้อย ร.15123 ฉก.นราธิวาส 30 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายรือเสาะ-ศรีสาคร บ้านท่าเรือ ม.1 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ที่เกิดเหตุพบศพ พลทหารหะรุดดี หะมิสา อายุ 22 ปี พลทหารพีระพงษ์ หนุนชู อายุ 22 ปี มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย พลทหารสายันต์ บินญ่า อายุ 23 ปี

23 มีนาคม 2557 พลทหารอธิวัฒน์ ท้าวพันวงค์ สังกัด หมวดทหารม้าที่ 2 กองร้อยทหารม้าที่ 4 ค่ายพระยาไชยบูรณ์ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ซึ่งตั้งฐานอยู่ติดกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เปาะเส้ง หมู่ 4 ต.เปาะเส้ง อ.เมือง จ.ยะลา ริมถนนสายสามแยกบ้านเนียง-บ้านละแอ ห่างจากตลาดบ้านเนียงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เกิดอาการเครียด และยิง ส.อ.วันชนะ ก้อนสิน อายุ 31 ปีเสียชีวิต

12 ตุลาคม 2557 ภายในวัดสันติการามซึ่งเป็นที่ตั้งของ หมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อย ร.1543 ฉก.ปัตตานี 23 ม.3 ต.ปะกาฮารัง อส.ทพ.พรศักดิ์ สีหล้า อายุ 23 ปี เครียดยิง ส.ท.สมคิด พันธุ์ไชยหอม อายุ 28 ปี และ อส.ทพ.พงษ์ศักดิ์ พวงโพธิ์ อายุ 23 ปี เสียชีวิต ส่วน อส.ทพ.พงศ์พัฒน์ แก้วมาศ อายุ 24 ปี ถูกยิงเฉี่ยวลำตัวและได้รับการรักษาจนปลอดภัย

6 พฤศจิกายน 2557 พลทหารเครียดใช้อาวุธปืนเอ็ม.16 ยิงทหารกันเอง ภายในฐานหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายลูกเสือเดชานุชิต ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 2 นาย ส่วนผู้ก่อเหตุคือ พลทหารทวีเวทย์ สังข์มณี ตำแหน่งพลปืนเล็ก ร.8 พัน 3 บ้านเลขที่ 52 ม.4 บ้านโปโล ต.ท่าตูม อ.เมือง จ.มหาสารคาม ซึ่งได้ใช้ปืนยิงตัวเองถูกใต้คางทะลุตาข้างซ้าย อาการสาหัส รายงานของกองทัพได้จัดแถลงข่าวแจ้งให้ทราบว่าผู้ก่อเหตุมีอาการเครียด สาเหตุอาจเกิดมาจากความคิดถึงบ้าน


อ้างอิง

คืบ! เหตุทหาร จชต. ยิงกันเองกลางวงเหล้า ล่าสุดตายเพิ่มอีก 1 รายhttp://www.manager.co.th/south/ViewNews.aspx?NewsID=9570000128129

กำลังพลชายแดนใต้ยิงกันเอง! ย้อนอดีตปี 54 ถึง 6 พ.ย.57

https://www.isranews.org/content-page/67-south-slide/34202-guns.html 

ยิงดับบนรถไฟ ทพ.เครียด ระแวงถูกทำร้าย

http://www.thairath.co.th/content/32717

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.