Posted: 24 Nov 2018 09:50 PM PST
Submitted on Sun, 2018-11-25 12:50
รถเมล์ร่วมฯ จี้คมนาคมขอขึ้นค่าโดยสาร ลั่นทำตกงานแล้ว 4 พันคน/ลูกจ้างส่วนราชการกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ได้รับสิทธิตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน ฉบับใหม่ ทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 9 ธ.ค.นี้/ผลสำรวจเงินเดือนไทย-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2562 คาดงานด้านดิจิทัลและทักษะเฉพาะ ตลาดต้องการสูง อัตราจ้างแพง/กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยืนยัน 'พนักงาน-บริษัทยาโน่' บรรลุข้อตกลงโบนัสแล้ว
ตราสัญลักษณ์ 'มอช.' ยกระดับอาชีพคนไทยสู่สากลเริ่มใช้ปี 2562
นายนคร ศิลปอาชา ประธานกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ หรือ สคช. กล่าวว่า สคช. ได้ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพ โดยมุ่งเน้นให้คุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพของประเทศไทย สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริงของภาคอุตสาหกรรม และสนองตอบนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ซึ่ง สคช.ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอาชีพจากทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา เพื่อพัฒนามาตรฐานอาชีพและนำไปใช้ได้จริง ซึ่ง สคช. ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับต่างประเทศ ทั้งประเทศเยอรมนี ออสเตรเลีย และในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อมุ่งผลักดันให้การรับรองระบบคุณวุฒิวิชาชีพ ได้รับการยอมรับในระดับสากล และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการสร้างมาตรฐานในการประเมิน การรับรองสมรรถนะของบุคคล ให้มีความเป็นธรรม เป็นกลางและโปร่งใส เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ
ด้านนายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ กล่าวว่า การยกระดับบุคลากรสู่สากลด้วย มอช เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นต่อยอดในการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้แก่บุคลากรในอาชีพ ด้วยการใช้ตราสัญลักษณ์ “มอช” เพื่อเป็นเครื่องหมายรับรองบุคคลในอาชีพที่ได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ จากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดยเริ่มจากการให้การรับรองหน่วยรับรองบุคคล ด้วยแนวทางตามมาตรฐานข้อกำหนดทั่วไป สำหรับหน่วยรับรองบุคลากร (ISO/IEC17024) เป็นมาตรฐานหลักในการดำเนินงานสำหรับทุกองค์กรที่มีหน้าที่รับรอง
ที่ผ่านมา สคช. ได้จัดทำมาตรฐานอาชีพแล้วเสร็จ จำนวน 51 สาขาวิชาชีพ ครอบคลุมกว่า 600 อาชีพ โดยในกลุ่ม New S Curve อาทิ สาขา ICT ระบบราง พลังงานทดแทน การบิน โลจิสติกส์ หุ่นยนต์ การแพทย์ครบวงจรและกลุ่ม First S Curve อาทิ สาขาวิชาชีพท่องเที่ยวโรงแรม ภัตตาคาร การแปรรูปอาหาร เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น และได้ดำเนินการให้การรับรองคุณวุฒิวิชาชีพแก่บุคลากรในสาขาวิชาชีพต่างในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 40,000 คน ในหลากหลายสาขาวิชาชีพ ซึ่งบุคลากรอาชีพต่างๆ ที่ผ่านการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพและได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ ในอนาคตจะได้รับเครื่องหมาย “มอช” ด้วย
"การจะได้รับมาตรฐาน “มอช” จากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพนั้น บุคลากรในอาชีพจะต้องเข้าสู่การประเมินคุณวุฒิวิชาชีพ ในมาตรฐานอาชีพต่างๆ ที่ สคช. ได้ดำเนินการจัดทำ โดยผ่านองค์กรรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพของ สคช. ทั่วประเทศ ที่ใช้แนวทางมาตรฐาน ISO/IEC 17024 ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า บุคลากรในอาชีพต่างๆ ที่ได้เข้ารับการประเมินจาก สคช. จะผ่านขั้นตอนในการประเมินบุคคลอย่างมีมาตรฐานระดับสากล และมาตรฐาน “มอช” จะเป็นเครื่องหมายในการยืนยันบุคลากรในอาชีพที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งนายจ้าง ผู้ใช้บริการ และเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐ กล่าวคือ นายจ้างมั่นใจได้ว่าลูกจ้างสามารถทำงานได้อย่างมีสมรรถนะตามที่มาตรฐานอาชีพกำหนด ผู้ใช้บริการ จะเชื่อมั่นได้ว่า ผู้ให้บริการสามารถให้บริการได้อย่างมีมาตรฐาน และเป็นหลักประกันกำลังของประเทศ ว่าเป็นผู้มีความสามารถตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ซึ่งการใช้มาตรฐาน มอช จะเริ่มดำเนินการใช้ภายในช่วงกลางปี 2562 เพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันบุคลากรที่มีมาตรฐานอาชีพและได้รับการรับรองจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ” นายพิสิฐ กล่าว
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 25/11/2561
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยืนยัน 'พนักงาน-บริษัทยาโน่' บรรลุข้อตกลงโบนัสแล้ว
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหากรณีลูกจ้างบริษัท ยาโน่อิเล็กทรอนิกส์ ไทยแลนด์ จำกัด อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ประมาณ 300 คน ได้ชุมนุมอยู่บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.เป็นต้นมา เพื่อรอฟังผลการเจรจาเรียกร้องโบนัส ทั้งนี้ กสร.ได้สั่งการให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานชี้แจงขั้นตอนการปฎิบัติและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างรับทราบ และร่วมกับนายอำเภอศรีมหาโพธิ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเจราจาแก้ไขปัญหากับนายจ้างและลูกจ้างอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำกับดูแลสถานการณ์ให้มีความปลอดภัยและเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย จากการร่วมเจรจากันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 24 พ.ย. 2561 ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างสามารถตกลงกันได้และได้ข้อยุติทั้งในเรื่องของเงินโบนัสและเงินช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะไม่เอาผิดกับลูกจ้างจากสถานการณ์ระหว่างการเจรจา และขอให้กลับเข้าทำงานตามปกติในบ่ายวันที่ 24 พ.ย. 2561
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้างย่อมส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 ฝ่าย จึงอยากฝากความห่วงใยไปยังสถานประกอบกิจการและลูกจ้างให้ดำเนินการเสมือนเป็นหุ้นส่วนร่วมกันเพื่อป้องกัน ข้อขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่หากมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเกิดขึ้น ขอให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาพูดคุยปรึกษาหารือร่วมกันในระบบทวิภาคีภายใต้หลักสุจริตใจ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายและสามารถทำงานร่วมกันต่อไปด้วยความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 24/11/2561
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยยอดเลิกกิจการ ต.ค. 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด คือธุรกิจก่อสร้างอาคาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ผลการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนตุลาคม 2561 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศจำนวน 6,197 ราย ลดลง 116 ราย เมื่อเทียบกับเดือน กันยายน 2561 ที่มีจำนวน 6,313 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 2 ส่วนประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป /ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
ขณะเดียวกัน จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการจำนวน 2,166 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2561 ที่มีจำนวน 1,899 ราย และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 หรือ 369 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2560 ที่มีจำนวน 1,797 ราย ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
ทั้งนี้ ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 95.29 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดตั้งธุรกิจในปี 2561 ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของการประกาศใช้มาตรการการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการเข้ามาของชาวต่างประเทศต่างๆ เช่น การยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ถือสมาร์ทวีซ่าสำหรับบุคคลเข้ามาพำนักในประเทศไทยชั่วคราว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้มีการประกอบธุรกิจและการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น
ที่มา: VoiceTV, 23/11/2561
ผลสำรวจเงินเดือนไทย-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2562 คาดงานด้านดิจิทัลและทักษะเฉพาะ ตลาดต้องการสูง อัตราจ้างแพง
วันที่ 22 พ.ย. 2561 – โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (Robert Walters) บริษัทที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรระดับมืออาชีพชั้นนำของโลกสัญชาติอังกฤษ มุ่งเน้นการสรรหาตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูง รวมถึงระดับ C-suite (ระดับงานที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "Chief") จดทะเบียนในตลาดหุ้นกรุงลอนดอนมานานกว่า 20 ปี และมีสำนักงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จดทะเบียนในตลาดหุ้นกรุงลอนดอนมานานกว่า 20 ปี ได้เปิดเผยข้อมูลการสำรวจเงินเดือนล่าสุดของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำปี พ.ศ. 2562 โดยมืออาชีพด้านเงินเดือนและเทรนด์การสรรหาบุคลากรทั่วโลก รวมทั้งระดับนานาชาติและระดับท้องถิ่น ภาพรวมของการขยายตัวอัตราการแข่งขันการว่าจ้างสำหรับงานด้านทักษะเฉพาะและความต้องการแรงงานในท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งนี้มีพื้นฐานมาจากการขยายตลาดของธุรกิจทั่วโลก พร้อมกับชี้กุญแจสำคัญที่บริษัทจำเป็นต้องปรับปรุง รวมทั้งในหลายภาคส่วน อาทิ ธนาคาร ควรเร่งกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยเน้นข้อเสนอให้กับพนักงานที่มีทักษะเฉพาะด้าน ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในตลาดแรงงานปี 2562
ผลการสำรวจเงินเดือนของ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ปี 2562 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 20 นั้น ชี้ให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งนับเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในการขยายตลาดอย่างมีเสถียรภาพ
บุคลากรมืออาชีพที่มีทักษะความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอย่างมาก ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ เร่งปรับกลยุทธ์การสรรหาบุคลากรเพื่อดึงดูดผู้สมัครที่เป็นที่ต้องการในตลาดมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดอัตราเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงขึ้น รวมไปถึงการแสดงให้เห็นว่า ผู้สมัครที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวจะมีความสำคัญต่อบริษัทฯ
เช่นเดียวกับบุคลากรที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมบทบาทของการขยายงานในตลาดแรงงานมากขึ้นในปี 2562 ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของธุรกิจในยุคดิจิทัลที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้บริษัทหลายแห่งต้องการจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในด้านดิจิทัล ทั้งในเชิงการตลาดและไอที (IT) โดยเฉพาะผู้ที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีที่มีความเติบโตอย่างแพร่หลาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI), การวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (Cybersecurity) ตลอดจนบุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ และความสามารถในการทำอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสาขาวิชาต่าง ๆ ได้
ด้านการสรรหาบุคลากรของธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ยังเน้นไปที่แรงงานในท้องถิ่นอีกด้วย โดยผลการสำรวจเงินเดือนปี 2562 เผยว่า บริษัทต่าง ๆ กำลังมองหาพนักงานด้วยกลยุทธ์ "glocal" มากขึ้น กล่าวคือ พนักงานในท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ระดับนานาชาติ อย่างเช่นมีประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ หรือทำงานในบริษัทที่มีขยายตัวไปสู่ภูมิภาคอื่น เป็นต้น โดยในอนาคตอันใกล้ในปี 2562 นี้ คาดว่า จะเป็นปีที่มีความเคลื่อนไหวอย่างมากในกระบวนการสรรหาบุคลากรในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ทั้งภาคธุรกิจและตลาดแรงงาน
แกริต บุคกาต กรรมการผู้จัดการ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวถึง แนวโน้มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผลกระทบต่อการการจ้างงานในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น และเน้นการสรรหาแรงงานในท้องถิ่นที่มีประสบการณ์การทำงานระดับนานาชาติ ว่า "จากผลการสำรวจเงินเดือนของ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ปี 2562 จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่เชี่ยวชาญอย่างมาก อันเนื่องมาจากธุรกิจไทยมีการขยายตัวทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ปี 2562 นี้จะเป็นปีแห่งการปฏิรูประบบดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้ความต้องการบุคลากรทางด้านไอทียังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั่วทั้งภูมิภาค"
ด้านโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศไทย มุ่งไปที่การสรรหาผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ปัญหาและการจัดการโครงการอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการขาดแคลนช่องทางเข้าสู่บทบาทของผู้บริหารระดับกลางไปสู่ระดับสูง ซึ่งคาดว่า จะส่งผลให้มีการเพิ่มเงินเดือนเพื่อเฟ้นหาผู้สมัครที่เหมาะสม และกระตุ้นให้บริษัทปรับปรุงกระบวนการสรรหาบุคลากรให้ดึงดูดมากยิ่งขึ้น การแข่งขันของผู้สมัครจะมีความเข้มข้นสูง ควบคู่ไปกับการสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทให้โดดเด่นผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มชื่อเสียงและดึงดูดผู้สมัครในตลาดงาน นอกจากนี้ ในปี 2562 ยังเน้นการให้โอกาสพนักงานในบริษัทฯ ด้วยการเลื่อนตำแหน่งหรือย้ายงาน ในขณะที่การสรรหาบุคลากรได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึง การนำบทบาทบางอย่างมาเป็นตำแหน่งงานใหม่ในบริษัทในปีหน้าอีกด้วย เช่น ตำแหน่งทางกฎหมาย เป็นต้น
ทั้งนี้ 4 ปัจจัยหลักที่กำหนดความพึงพอใจในการทำงานในปี 2562 คือความสมดุลในชีวิตการทำงาน ค่าตอบแทน ผลตอบรับ และการสนับสนุนจากผู้บริหาร ตลอดจนการฝึกอบรม และโอกาสต่าง ๆ ด้านแรงจูงใจหลักในการเปลี่ยนงานในปี 2562 คือความต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ทั้งการเพิ่มเงินเดือนขึ้นและ/หรือสวัสดิการที่ดีขึ้น รวมไปถึงความสมดุลในชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นด้วย
กลุ่มบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ 90% ยังรู้สึกมั่นใจว่า กลุ่มของตนเองยังเป็นที่ต้องการในตลาดงานปี 2562 ด้านอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15-20% สำหรับตำแหน่งฝ่ายสนับสนุนในองค์กร และ 20-30% สำหรับตำแหน่ง Front-office และงานที่มีความสามารถทักษะเฉพาะด้าน
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักวางแผนด้านการเงิน นักวิเคราะห์ และ คู่ค้าทางธุรกิจเช่น บริษัทสำนักงานอัตโนมัติ (Business partners as companies automate) และปรับปรุงกระบวนการสำคัญ ๆ (streamline key processes)ความต้องการของผู้จัดการด้านความสัมพันธ์ในด้านการธนาคารพาณิชย์ที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีจะเพิ่มขึ้น ความต้องการผู้บริหารที่มีมาตรฐานสูงในอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญของไทย และมีบทบาทการบริหารจัดการโครงการที่ใช้เทคโนโลยี เช่น IoT (Internet of Thing)
ความต้องการของผู้หางานเพิ่มขึ้น 30% จะได้พบกับการมุ่งเน้นไปที่แพ็คเกจแรงจูงใจ เนื่องจากมีความสามารถเฉพาะ ทีมงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะกลายเป็นเหมือนคู่ค้าทางธุรกิจมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ทักษะทางกฎหมายจะยังคงถูกนำมาใช้ในบริษัท ด้วยการเพิ่มบทบาทในการให้คำปรึกษาทางกฎหมายมากขึ้น และความต้องการสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วยเพิ่มความต้องการสำหรับนักการตลาดที่มีทักษะด้านดิจิทัลและมีวิสาหกิจในรูปแบบ B2B มากขึ้นทำ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค
ธุรกิจบริการสุขภาพจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของประชากรสูงอายุพนักงานขายในตลาดระดับลักซ์ชัวรี่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกจะต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านดิจิทัลมากขึ้นเงินเดือนในตำแหน่งงานบางประเภทอาจเพิ่มขึ้นถึง 40% โดยเฉพาะในด้านห่วงโซ่อุปทานเฉพาะ และตำแหน่งการจัดซื้อจะมีการให้ความสำคัญกับการบูรณาการเทคโนโลยี Big Data, เทคโนโลยีบล็อกเชน, และเทคโนโลยี AI ซึ่งมีความต้องการสำหรับมืออาชีพที่สามารถผสานรวมความก้าวหน้าเหล่านี้เข้ากับกรอบการพัฒนาธุรกิจได้
กลยุทธ์ Mobile-first หรือการที่ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านมือถือ ได้รับการผลักดันอย่างมาก ทำให้ความต้องการและเงินเดือนเพิ่มขึ้นสำหรับผู้สมัครที่มีทักษะเหล่านี้ ในขณะที่การนำเสนอทักษะด้านไอทีควบคู่กับความเข้าใจในกลยุทธ์ทางธุรกิจ
สำหรับโรเบิร์ต วอลเทอร์ส เป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรระดับมืออาชีพชั้นนำของโลก และมุ่งเน้นการจัดวางตำแหน่งงานผู้บริหารระดับสูงด้วยบุคลากรที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เพื่อดำรงตำแหน่งทั้งในแบบถาวรและสัญญาระยะยาวหรือระยะสั้น ให้แก่ธุรกิจในประเทศไทย ครอบคลุมธุรกิจด้านบัญชีและการเงิน การธนาคารและบริการทางการเงิน การจัดการทั่วไป วิศวกรรม อุปโภคบริโภค การจัดซื้อและโลจิสติกส์ ทรัพยากรบุคคล ไอที การขายและการตลาด และการดูแลด้านเทคนิค ก่อตั้งขึ้นในปี 2528 ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้สร้างเครือข่ายทั่วโลกครอบคลุม 29 ประเทศและภูมิภาค
การสำรวจเงินเดือน รวบรวมโดยแผนกวิจัยเฉพาะของเรา โดยทำการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์จากตำแหน่งในเครือข่ายสำนักงานของเรา และสาขาผู้เชี่ยวชาญของเรา ในช่วงปี พ.ศ. 2561 ปัจจุบันได้จัดทำการสำรวจมาเป็นปีที่ 20 ซึ่งนำไปใช้โดยผู้จ้าง ผู้จัดการฝ่ายบุคคล และพนักงาน สำหรับการวัดระดับเงินเดือนภายในอุตสาหกรรมของพวกเขา
ที่มา: คมชัดลึก, 22/11/2561
ลูกจ้างส่วนราชการกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ได้รับสิทธิตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน ฉบับใหม่ ทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 9 ธ.ค.นี้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความสำคัญของพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ว่า ทันทีที่กฎหมายว่าด้วยกองทุนเงินทดแทนฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป จะส่งผลให้ลูกจ้างส่วนราชการทั้งประเทศกว่า 1 ล้านคน ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประเภทสัญญารายปี หรือสัญญาจ้างเหมา เช่น พนักงานกวาดถนน พนักงานเก็บขยะ ซึ่งเป็นลูกจ้างของกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมทั้งลูกจ้างของกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจด้วย เช่น องค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ จากเดิมที่ลูกจ้างเหล่านี้ไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ค่าทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน กรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย สูญหายหรือตาย อันเนื่องมาจากการทำงานให้นายจ้าง
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กฎหมายใหม่ยังเพิ่มเงินทดแทนให้ลูกจ้าง จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือน โดยกรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้และมีใบรับรองแพทย์ให้หยุดงาน ก็สามารถเบิกค่าทดแทนหยุดงานได้ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป แต่สูงสุดไม่เกิน 1 ปี สำหรับกรณีลูกจ้างทุพพลภาพจะได้รับค่าทดแทนไม่น้อยกว่า 15 ปี หรือกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหาย ทายาทก็จะได้รับค่าทดแทนมีกำหนด 10 ปี นอกจากนี้ยังได้เพิ่มค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้าง จำนวน 40,000 บาท
ส่วนประโยชน์ที่นายจ้างได้รับจาก พ.ร.บ.เงินทดแทน ฉบับใหม่ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีอำนาจลดการจ่ายเงินเพิ่มในท้องที่ที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ประสบภัยพิบัติ หรือมีสถานการณ์พิเศษอย่างอื่นได้ และปรับลดเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับจากเดิมร้อยละ 3 ต่อเดือน ลดลงเหลือร้อยละ 2 ต่อเดือน และกำหนดให้จำนวนเงินเพิ่มต้องไม่เกินจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย ดังนั้น นายจ้างจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนเงินทดแทนเพิ่มจากเดิมแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ยังอำนวยความสะดวกโดยเพิ่มช่องทางให้นายจ้างสามารถยื่นแบบรายการขึ้นทะเบียนนายจ้าง และจ่ายเงินสมทบ แจ้งการประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย ผ่านทางสำนักงาน หน่วยบริการ ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ที่มา: สำนักข่าวไทย, 21/11/2561
กสศ.เปิดตัวทุน นวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ประเดิมปีแรก 2,500 ทุน เริ่มปี 2562
วันที่ 19 พ.ย. 2561 ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย ที่ปรึกษากองทุนฯ และศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการและเครือข่ายวิชาการด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัว “ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน”
นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ปัจจุบันนักเรียนจากครอบครัวยากจนมีโอกาสเรียนต่อสูงกว่าม.ปลายเพียงร้อยละ 5 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครอบครัวทั่วไปที่ได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษาถึงร้อยละ 32 กสศ.จึงมีโครงการ “ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง” เพื่อช่วยเหลือเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ที่มีศักยภาพ ให้มีโอกาสเรียนต่อสายอาชีพและมีงานทำทันทีเมื่อจบการศึกษา ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาสายอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเป็นโครงการลักษณะพันธมิตรกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา มีการพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่สร้างกำลังคนสายอาชีพ ให้มีสมรรถนะและทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้ความสำคัญกับสาขา STEM (วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี) รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และทักษะอาชีพการทำงานตาม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลและความต้องการตลาดแรงงานในท้องถิ่น
“ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนนอกจากจะสร้างกำลังคนรุ่นใหม่สายอาชีพราวรุ่นละ 2,500 คน แล้วยังเป็นการสร้างโอกาสสู่การศึกษาระดับสูงแก่นักเรียนที่มีศักยภาพแต่มีอุปสรรคทางรายได้ของครอบครัว โครงการยังมุ่งปฏิรูปการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาสายอาชีพ ให้สามารถผลิตกำลังคนที่สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิตและภาคธุรกิจ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศตามนโยบายไทยแลนด์4.0” นายสุภกร กล่าว
ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า กระทรวงแรงงานประมาณการว่า ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ EEC สิบปีจากนี้ (2561-2570) ภาคอุตสาหกรรมต้องการแรงงานสายอาชีพเป็นอันดับสูงสุด ร้อยละ 44 จำนวนราว 80,000 คน ขณะที่ต้องการวุฒิปริญญาตรีราวร้อยละ 33 กสศ. มีภารกิจหลักในการสร้างเสริมโอกาสแก่เด็กและเยาวชนผู้ขาดโอกาสซึ่งมีจำนวนถึงรุ่นละ 150,000 คน ผลการวิเคราะห์คะแนน PISA พบว่านักเรียนช้างเผือกของไทยมีประมาณ 3% แต่หากขจัดอุปสรรคด้านทุนการศึกษาจำนวนนักเรียนช้างเผือกจะเพิ่มขึ้นเป็น 18% กสศ.จึงสนับสนุนทุนให้นักเรียนที่มีศักยภาพสูงเรียนต่อสายอาชีพ โดยในขั้นตอนแรกจะคัดเลือกสถาบันการศึกษาที่สนใจและมีแผนดำเนินงานที่ดีที่สุดก่อน จากนั้นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกจะพัฒนาการเรียนการสอน เช่น ระบบทวิภาคี ระบบดูแลนักศึกษา เป็นต้น เพื่อจัดรับสมัครนักศึกษาให้ทันในปีการศึกษา 2562
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ในแง่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ กสศ.ได้คำนวณ ผลตอบแทนของโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพขั้นสูง จากนักเรียนผู้รับทุน 2500 ทุน ในปีแรก จากข้อสมมติฐานว่าผู้รับทุนทุกคนทำงานหลังจบการศึกษาจนถึงเกษียณอายุ 60 ปี จะคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV ) ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรืออัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR หรือ Internal Rate of Return อยู่ที่ร้อยละ10 โครงการนี้ยังสร้างผลประโยชน์ทางอ้อมให้แก่ ผู้รับทุน เช่น ผู้รับทุนมีความพึงพอใจในงานเพิ่มขึ้น อัตราการออกจากการศึกษาของสายอาชีพน้อยกว่าการศึกษาประเภทอื่น และมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายแรงงาน ผลประโยชน์ในแง่ของนายจ้าง ผลลัพธ์ของโครงการจะสามารถเพิ่มผลิตภาพการผลิตของบริษัทให้สูงขึ้น และประหยัดต้นทุนของบริษัทในการสรรหาแรงงานทักษะ และลดอัตราการเข้าออกของพนักงานในบริษัท ขณะที่แง่เศรษฐกิจภาพรวม จะช่วยให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมของรัฐ การเพิ่มรายได้ภาษี และลดปัญหาความยากจน
“โครงการนี้ถือว่ามีความคุ้มทุนอย่างมาก เพราะเป็นการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพ เหมือนเป็นการเกาถูกที่คัน ผลิตคนป้อนตลาดแรงงานได้อย่างทั่วถึง รวมถึงทำให้สถาบันการศึกษาสายอาชีพได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อตอบโจทย์ประเทศไทย 4.0 มากขึ้น”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการและเครือข่ายวิชาการด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า สังคมไทยยังยึดติดกับภาพลักษณ์ของเด็กอาชีวะในเรื่องความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย การสูญเสียชีวิต ตรงนี้ทำให้สัดส่วนการเรียนสายอาชีพถดถอยลงมาโดยตลอด ประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับสายสามัญศึกษาที่อยู่ประมาณ ร้อยละ 60-70 สวนทางกับทิศทางการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งที่เส้นทางหลักที่จะเป็นกระดูกสันหลังของประเทศในทศวรรษหน้า คือการเรียนในสายสัมมาอาชีพ แต่ยังมีอุปสรรคในเรื่องนี้มาก ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของ กสศ.จึงเป็นความก้าวหน้าสำคัญที่จะช่วยปฏิรูประบบการเรียนการสอนสายอาชีพให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาไปที่สถาบันการศึกษาให้เป็นสถาบันเฉพาะทาง มีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ และจุดเด่นอีกเรื่องของโครงการ คือ การจัดการศึกษาระบบทวิภาคีที่มีคุณภาพสูง เน้นการเรียนรู้โดยลงมือปฏิบัติงานจริง ผ่านความร่วมมือกับสถานประกอบการ ชุมชนท้องถิ่น นักศึกษาจะมีทักษะด้านปฏิบัติ เมื่อสำเร็จการศึกษาสามารถทำงานได้ทันทีและมีโอกาสจ้างงานสูง ซึ่งมีสถาบันของเอกชนกับรัฐหลายแห่งเป็นต้นแบบและเป็นตัวอย่างที่ดี ในการผลิตนักศึกษาที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานกับระบบโรงงานอุตสาหกรรม
"โครงการนี้จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเด็กอาชีวะ ที่สังคมมองว่านิยมใช้ความรุนแรง เป็นเด็กประเภท2 ไม่มีแก่นสาร ให้เป็น นวัตกรสายอาชีพ เด็กกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ กสศ.จะเป็นตัวหนุนเสริมสำคัญในการยกระดับคุณภาพกำลังคนสายอาชีพเวลานี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง" ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
สำหรับ “ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง” จะสนับสนุนงบประมาณผ่านสถาบันการศึกษาประกอบด้วย ทุนสำหรับพัฒนาสถาบันการศึกษาที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตามคุณภาพ (Competitive Grants) ประมาณ 50 แห่ง ซึ่งต้องพัฒนาหลักสูตรที่รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักของประเทศ สายอาชีพที่กำลังขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในท้องถิ่นหรือจังหวัด รวมถึงสายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และทุนการศึกษาแก่นักศึกษา จำนวน 2,500 ทุน ต่อปี ที่ผ่านการคัดเลือกโดยสถาบันการศึกษา โดยเปิดกว้างให้สถาบันการศึกษาที่จัดการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรืออนุปริญญาสายอาชีพจากทุกสังกัด ทั้งนี้ กำหนดรับข้อเสนอโครงการตั้งแต่ วันที่15-28 ธันวาคม 2561 และสามารถติดตาม ข่าวสารที่
www.EEF.or.th หรือ สายด่วน โทร. 02-079-5475 กด 2 ในวันและเวลาราชการ
ที่มา: ไทยรัฐ, 19/11/2561
รถเมล์ร่วมฯ จี้คมนาคมขอขึ้นค่าโดยสาร ลั่นทำตกงานแล้ว 4 พันคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 9.30 น. นายวิทยา เปรมจิตร์ นายกสมาคมพัฒนารถ ร่วมเอกชน (รถเมล์ร่วม ขสมก.) และนางภัทรวดี กล่อมจรูญ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง (สมาคมรถร่วมฯ) ได้นำตัวแทนผู้ประกอบการรถร่วมกว่า 200 คนได้เดินทางมาที่กระทรวงคมนาคม เพื่อยื่นหนังสือขอให้ปรับอัตราค่าโดยสารรถธรรมดา (รถร้อน) 3 บาท จาก 9 บาทต่อเที่ยว เป็น 12 บาทต่อเที่ยว , รถปรับอากาศ (รถแอร์) ขอปรับเพิ่มระยะทางละ 2 บาท หรือราคาเริ่มต้นจาก 13 บาทเป็น 15 บาท
ส่วนรถปรับอากาศใหม่ ที่เข้าสู่การปฏิรูปขอให้จัดเก็บอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นจาก 20 บาท ใน 4 กิโลเมตรแรกและระยะต่อไปให้จัดเก็บ 25 บาทมีเพียง 2 ระยะเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับการติดตั้งระบบอีทิกเก็ต โดยให้รัฐบาลพิจารณาข้อเสนอภายใน 15 วัน
นางภัทรวดี กล่าวว่า ผู้ประกอบการได้ขอปรับราคามาได้ ปี 2558 แล้วแต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาอนุมัติหากเป็นนักเรียนก็เรียนจบปริญญาเอกแล้ว ทำให้ผู้ประการต้องแบก ภาระขาดทุนเพราะมีการเก็บค่าโดยสารอัตราที่ต่ำกว่าทุน
“ขณะนี้มีรถเมล์ร่วมบริการ ขสมก. ในระบบมีประมาณ 4 พันคัน ปัญหาขาดทุนทำให้ผู้ประกอบการหยุดวิ่งให้บริการหรือจอดรถวันนี้วิ่งประมาณเกือบ 2 พันคันแล้ว ทำให้ทั้งพนักงานทั้งคนขับและพนักงานเก็บค่าโดยสารต้องตกงานไปกว่า 4 พันคน อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือปรับขึ้นราคาซึ่งวันนี้ไม่ได้มาขอเงินรัฐบาลไปซื้อรถใหม่อะไร มาขอให้ปรับค่าโดยสารให้เป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น”
นายวิทยา กล่าวว่า สาเหตุที่รัฐบาลไม่ปรับขึ้นค่าโดยสารให้รถเมล์รวมนั้นเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องของการเมือง รัฐบาลกลัวกระทบฐานคะแนนสียงเลือกตั้งซึ่งเป็นทุกรัฐบาล ไม่ใช่เพราะรัฐบาลนี้ ขณะที่รัฐบาล ก็ทราบดีถึงต้นทุนของรถว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ยอมให้ปรับราคา
ที่มา: ข่าวสด, 19/11/2561
[full-post]