Posted: 25 Nov 2018 03:42 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-11-25 18:42


อีก 4 ประเทศในยุโรปคือ เดนมาร์ก, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และฟินแลนด์ ร่วมมือในการคว่ำบาตรการค้าอาวุธให้กับซาอุฯ จากการที่มีส่วนในสงครามกลางเมืองที่สังหารพลเรือนในเยเมนไปจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการประเมินจากสหประชาชาติว่าสงครามเยเมนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลเกิดความขาดแคลนครั้งใหญ่ ที่ก่อนหน้านี้ทำให้เด็กเสียชีวิตไปแล้ว 85,000 ราย

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมาสื่อดิอินดิเพนเดนต์จากอังกฤษรายงานว่ามีรัฐบาลในยุโรปเริ่มดำเนินการคว่ำบาตรการค้าอาวุธต่อซาอุดิอาระเบียมากขึ้น จากกรณีที่ซาอุฯ มีส่วนในสงครามกลางเมืองเยเมน

หลังจากที่สหประชาชาติเตือนว่าวิกฤตในเยเมนอาจจะส่งผลให้เกิด "ภาวะอดอยากครั้งใหญ่ที่สุดในโลกภายในช่วงเวลาตลอด 100 ปีที่ผ่านมา" ประเทศเดนมาร์ก, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และฟินแลนด์ ก็เข้าร่วมกับประเทศอื่นๆ จากยุโรปในการคว่ำบาตรการค้าอาวุธให้กับประเทศเผด็จการซาอุฯ อย่างไรก็ตามประเทศอังกฤษก็ยังคงทัดทานไม่ยอมเข้าร่วมการคว่ำบาตรนี้ โดยตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันอังกฤษค้าอาวุธให้กับซาอุฯ รวมแล้วเป็นมูลค่า 4,700 ล้านปอนด์

สื่อดิอินดิเพนเดนต์ระบุว่าการคว่ำบาตรในครั้งนี้เป็นการโต้ตอบที่ซาอุฯ มีส่วนสังหารพลเรือนในเยเมนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่ซาอุฯ เป็นผู้แทรกแซงความขัดแย้งในเยเมนด้วยการสนับสนุนรัฐบาลในการปราบปรามกลุ่มกบฏฮูตีซึ่งครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ในประเทศ โดยที่กลุ่มกบฏกลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศคู่ปรับอย่างอิหร่าน

สหประชาชาติกล่าวว่าการทิ้งระเบิดในประเทศเยเมนทำให้เกิดหายนะทางมนุษยธรรม มีเป้าหมายที่เป็นพลเรือนถูกโจมตีซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน รถรับส่งนักเรียน โรงพยาบาล แหล่งอาหาร ระบบประปา และแม้แต่งานแต่งงาน มีผู้คนเสียชีวิตจากความขัดแย้งในครั้งนี้แล้วอย่างน้อย 10,000 ราย แต่มีจำนวนมากกว่านี้หลายเท่าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะขาดแตลน มีการประเมินจากองค์กร Save the Children ว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 85,000 รายเสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหารในเยเมน

ยูเอ็นระบุอีกว่ามีประชาชนจำนวน 22 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และมีราว 8 ล้านคนที่เสี่ยงต่อภาวะอดอยาก โดยที่ความสูญเสียเหล่านี้มาจากการกระทำของกองกำลังแนวร่วมนำโดยซาอุฯ และคณะกรรมาธิการกู้ภัยนานาชาติก็ระบุว่าความโหดร้ายในความขัดแย้งนี้ดูเหมือนจะยกระดับขึ้นไปอีกจากการที่มีพลเรือนถูกสังหารไป 500 ราย ภายในช่วง 9 วันแรกของเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา

สภายุโรปทำการโหวตคว่ำบาตรซาอุฯ ไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เมื่้อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีประเทศที่ให้การสนับสนุนคือ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ขณะที่สหราชอาณาจักรเคยส่งออกเครื่องบินและระเบิดให้กับซาอุฯ เป็นมูลค่าหลายล้านพันปอนด์รวมถึงมีเรื่องที่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งจากการที่กองทัพอังกฤษจะเข้าไปมีบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษาในความขัดแย้งนี้

มีการกดดันจากนานาชาติต่อรัฐบาลซาอุฯ เพิ่มมากขึ้นหลังจากกรณีการทารุณกรรมและสังหารนักข่าว จามาล คาชอกกี

แอนดรูว์ สมิท จากองค์กรรณรงค์ต่อต้านการค้าอาวุธกล่าวว่า "ไม่ควรจะอนุญาตให้มีการค้าอาวุธเหล่านี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าหากรัฐบาลเหล่านี้ทำตามที่พวกเขาสัญญาจริงก็จะกลายเป็นแบบอย่างสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อนในการช่วยขับดันให้เกิดสันติภาพในเยเมน"

ทั้งนี้ สมิท ก็เรียกร้องให้ประเทศอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรคว่ำบาตรการค้าอาวุธให้กับซาอุฯ ด้วย จากการที่อาวุธของพวกเขามีอิทธิพลหลักๆ ในสงครามกลางเมืองเยเมน การหยุดค้าอาวุธเหล่านี้รวมถึงการผลักดันให้มีสนธิสัญญาหยุดยิงจะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหาความอดอยากอย่างหนักในเยเมนได้

เรียบเรียงจาก
Germany, Denmark, Netherlands and Finland stop weapons sales to Saudi Arabia in response to Yemen famine, The Independent, 24-11-2018
https://www.independent.co.uk/news/world/europe/saudi-arabia-arms-embargo-weapons-europe-germany-denmark-uk-yemen-war-famine-a8648611.html

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.