Posted: 22 Jul 2018 10:11 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-07-23 00:11


พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

การที่ผู้สอนหรือผู้วางหลักสูตรสันติศึกษาในประเทศไทยวางท่าทีประหนึ่งว่า สังคมจะอยู่กันอย่างสันติ คนในสังคมนั้นๆ ต้องอยู่กันอย่างปราศจากความขัดแย้ง นอกจากกรอบความคิดดังกล่าวบิดเบี้ยวไม่ตรงตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความคิดดังกล่าวยังไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย

เพราะความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดาของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาพร้อมความขัดแย้ง นั่นคือ ไม่มีใครเห็นไปทางเดียวกันสักคน แม้แต่บุคคลในครอบครัวเดียวกันซึ่งถือว่ามีความใกล้ชิดกันมากที่สุด

หากที่จริงตัวอย่างความขัดแย้งในครอบครัว คือตัวอย่างที่ผู้สอนสันติศึกษาควรนำมาเป็นกรณีศึกษามากที่สุดว่า เหตุใด ครอบครัวส่วนใหญ่ทั่วโลกจึงอยู่ด้วยกันได้ท่ามกลางความขัดแย้ง แม้ไม่ถึงขนาดสันติ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม

ถ้าตอบแบบตีขลุมก็คงสรุปสาเหตุได้ว่า คนในสังคมระดับครอบครัวเหล่านี้มีมนุษยธรรมหรือคุณธรรมความเป็นมนุษย์

ตอบแบบแม่ชีเทเรซ่า แห่งโกลกัลตา (อินเดีย) ก็คงสรุปแบบฟันธงไปเลยว่า “เป็นเพราะความรัก” ทำให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

แล้วเชื่อหรือไม่ว่าในท่ามกลางความขัดแย้งนั้น มนุษย์ยังคงอยู่ร่วมกันได้ แสดงว่า ไม่เพียงแต่ความรักเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์แล้ว มันยังเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งเช่นกันของมนุษย์ด้วย ซึ่งในฝ่ายพุทธศาสนาน่าจะหมายถึงความมีเมตตา ความกรุณา เพราะความรักนั่นเองทำให้สังคมในระดับเล็กสุดอย่างครอบครัวอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ และที่ต้องย้ำให้มากก็คือ ความรักคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตในสังคมท่ามกลางความขัดแย้งอันแสนจะธรรมดา

เมื่อคิดได้ดังนี้ก็จะเห็นได้ทันทีว่า เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลยที่จะไปสลายความขัดแย้ง เราไม่ต้องไปเรียนสันติศึกษาที่ทำไปทำมาก็เป็นมายาเล่ห์กลของผู้สร้างหรือกำหนดหลักสูตรขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้มีงานทำ มีงานสอนและแน่นอนที่สุดคือ ได้ (หา)กินกับเงินงบประมาณ ซึ่งก็โอละพ่อเต็มแก่ เพราะคนไม่มีแผลแต่คนผู้หากินกับสันติศึกษาเหล่านี้ไปเกาหรือไปทำให้มันเกิดแผลขึ้นมา

ซึ่งที่ผ่านเราคงเห็นได้ว่า สันติศึกษามีคุณูปการอย่างไรบ้างต่อคนในสังคมไทย นอกเหนือไปจากงานวิจัยบนหอคอย และการสื่อสารทางเดียว (one way communication) ขณะที่โลกปัจจุบัน เลยไกลไปถึงขั้น two ways communication ไปตั้งนานแล้ว ทว่าสันติศึกษาของบางสถาบันในไทยก็ยังมิได้มีการปรับตัว โดยเฉพาะหลักสูตรสันติศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยบางแห่ง ที่นับว่าสะท้อนความคิดล้าหลังเสียเต็มประดา หากมันคือการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างชัดเจน เมื่อมองถึงความคุ้มค่าของงบประมาณอันเป็นภาษีของประชาชนที่ลงไป โดยที่การเรียนของสถาบันดังกล่าวเองแทบไม่สัมพันธ์ใดๆ กับสังคมภายนอกมหาวิทยาลัยเอาเลย

มีหรือที่สันติศึกษาจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง?

มีหรือที่สันติศึกษาจะไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่หรือวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมในระดับต่างๆ

ผมเกรงว่า... ไม่เลย !!

และที่สำคัญ คือ มีหรือที่สันติศึกษาจะไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ตามคำพูดของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ที่ว่า สันติภาพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมปราศจากปัญหาปากท้องหรือปัญหาความหิวโหย นี่เองที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกันมองว่า สันติภาพกับปากท้องคือเรื่องเดียวกัน หาใช่การดัดจริตมองกรอบปัญหาแคบๆแค่ด้านสงครามความคิด หรือแม้แต่สงครามจริงก็ตาม

เพราะผู้สอนและผู้เรียนสันติศึกษาไม่เคยเข้าถึงสภาวะความทุกข์ความเดือดร้อนจากพิษภัยเศรษฐกิจตะหากเล่า สันติศึกษาในประเทศไทยจึงไปไม่ถึงไหน แม้จะมีการเปิดหลักสูตรมาหลายปีดีดักก็ตาม หากแท้จริงแล้วเสมือนเป็นการต้มตุ๋นตบตาประชาชนมากกว่าอย่างอื่นเอาเลยด้วยซ้ำ

เป็นสถาบันสันติศึกษาเสียเองที่กลัวความขัดแย้ง กลัวที่จะขัดแย้งกับชนชั้นสูง (Elite Class) หากยังถึงขนาดเข้าไปสมาคมพัวพันประจบประแจงคนกลุ่มนี้อย่างออกหน้าออกหน้าชัดเจน ลอยแพ (ปัญหา) คนชั้นล่างหรือคนชั้นรากหญ้าอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ หากเป็นนักสันติศึกษาเสียเองที่ลอยตัวเหนือปัญหา โดยใช้คำว่า ธัมมาธิปไตยให้ดูเป็นปรัชญาการอันสูงส่ง ล้ำค่ากว่าคำว่า ประชาธิปไตย เหยียบย่ำดูถูกประชาธิปไตยกันเห็นๆ

ไม่มีใครปฏิเสธว่า ธัมมาธิปไตย สูงส่งจริง แต่ปัญหาคือธรรมะนั้น เป็นเรื่องคุณธรรมภายใน นอกจากเราพิสูจน์ไม่ได้ว่า ใครกะเทาะกิเลสออกได้มากเท่าไหร่แล้ว คนส่วนใหญ่ยังมีกิเลสหนาปัญญาทึบ มองไม่ออกว่าใครคนไหนมีคุณธรรมสูงส่งเพียงใด โลกนี้มิได้มีแค่ฝ่ายเทพ ฝ่ายมาร หากแต่ยังมีเทพผสมมารรวมอยู่ด้วยเป็นส่วนมาก

เพราะฉะนั้นจงอย่าโลกสวยนักเลย สันติศึกษา...!!!

ก็แท้จริงแล้วประชาธิปไตยหรือจริงๆ แล้วก็คือ โลกาธิปไตย นั่นแหละที่พิสูจน์ได้ พิสูจน์จากอะไร ถ้ามิใช่สัญชาตญาณความรักของมนุษย์ ดังที่ผมเคยบอกไปในคอลัมน์นี้มาก่อนแล้วว่า โลกาธิปไตยคือองค์ประกอบสำคัญของหลักอธิปไตย3 ในสัดส่วนเท่ากันกับอีก 2 ตัว คือ อัตตาธิปไตยและธัมมาธิปไตย ไม่ใช่ดัดจริตเน้นแค่ธัมมาธิปไตยอย่างเดียว

ก็หมายความว่า ท่านให้ตนเองต้องสอดส่องพิจารณา (อัตตาธิปไตย) ให้คนอื่นสอดส่องพิจารณา (โลกกาธิปไตย) และให้ธรรมะเป็นตัวสอดส่องพิจารณา (ธัมมาธิปไตย) เหมือนส่องกระจกนั่นแหละ ขาดคุณธรรมตัวใดตัวหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าให้ดีต้องครบองค์ 3 ไม่ใช่ตั้งข้อรังเกียจชิงชังคุณธรรม 2 ข้อแรก อุตริชอบแต่ธัมมาธิปไตยอย่างเดียว ตรงนี้ก็น่าขำ เพราะมีผู้อธิบายว่าต้องธัมมาธิปไตยยาครอบจักรวาลเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาของโลกได้

แน่นอนว่า ท้ายสุดแล้วผลของการปฏิบัติตามคุณธรรมที่ว่า ย่อมสำแดงปฏิกิริยาเชิงบวกให้คนรอบข้างหรือคนทั่วไปเห็น แต่ทำไฉนเราจะทราบได้ว่ามนุษย์ผู้นั้นเข้าถึงคุณธรรมขั้นไหนแล้ว

พิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ตัวของท่านเองว่า สันติศึกษาของบางสถาบันการศึกษาในเวลานี้ พานักเรียนนักศึกษาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เดินลงเหวกันมากน้อยขนาดไหน...


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.