Posted: 29 Jul 2018 09:35 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-07-29 23:35
ใบตองแห้ง
ต่อตระกูล ยมนาค ผู้เคยเรียกร้องให้ประชาชนส่งข้อความถึง ป.ป.ช. แสดงความไม่พอใจที่ถ่วงเวลาสอบ “นาฬิกาเพื่อน” น่าจะเปลี่ยนใจซาบซึ้งน้ำตาไหล เมื่อได้ฟังประธาน ป.ป.ช.เปิดใจ ว่าสายสัมพันธ์ “พี่ป้อม” ไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นจุดแข็งต่างหาก ทำให้ต้องเข้มงวดตัวเอง ระมัดระวังยิ่งกว่าคนอื่น เพราะถูกมองมากกว่า ถูกโยงอยู่ตลอดเวลา
จริงๆ นะ ปู่มีชัยเขียนรัฐธรรมนูญผิด ที่ห้ามเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมือง 10 ปี ก่อนมาเป็นองค์กรอิสระ ทำให้ได้แต่สมาชิกพรรคข้าราชการ หรือพวกเสแสร้งอาโนเนะไม่เลือกข้าง มันต้องชัดๆ ไปเลย อย่างประธานวัชรพลนี่สิ ไม่ปิดไม่บังว่าเป็นน้องรักพี่ป้อม ตัดสินอะไร สังคมก็จับจ้องได้ ไม่สามารถอ้างตัวเป็นเทวดา ลอยจากฟ้ามาเป็นกลาง
ความเป็นกลางมีที่ไหน เห็นจะมีแต่เมืองไทยเมืองพุทธจุดธูปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อว่ายังมีคนดีลุโสดาบัน เที่ยงธรรม เป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่มีคอนเน็กชั่น จนยกอำนาจให้ชี้เป็น ชี้ตายทุกอย่าง
ปัญหาจึงไม่ใช่แค่วัชรพลมีสายสัมพันธ์กับพี่ป้อม แต่พี่ป้อมมีอำนาจจากรัฐประหาร วัชรพลเป็น ป.ป.ช.โดยมติ สนช.แต่งตั้ง แถม สนช.ยังเขียนกฎหมายให้อยู่ต่อ อยู่ยาวถึงรัฐบาลหน้า ที่คาดกันว่าจะสืบทอดอำนาจ
มองให้กว้างจึงไม่ใช่แค่วัชรพล แต่ ป.ป.ช.เกือบทั้งคณะ องค์กรอิสระทุกองค์กร ไม่ได้มาจากกระบวนการชอบธรรม มาจากรัฐประหารตั้ง แต่แสร้งทำให้มีกระบวนการ ดูเหมือนมีอิสระ มีหน้ามีตา ถามว่าอิสระอะไรกัน ม.44 ยังปลด กกต.สมชัยได้
เอาเข้าจริงก็เป็นปาหี่ หรือลิเกโรงใหญ่ ทำให้ดูว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่จะปราบทุจริตประพฤติมิชอบ ดูแลเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ยึดโยงอำนาจจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากอำนาจรัฐประหารคนดี (ที่กำลังดูด ส.ส.สืบทอดอำนาจ)
เพียงโชคดีที่การรีเซ็ต เซ็ตซีโร่ อยู่ต่อ ต่ออายุ ทำกันโจ๋งครึ่ม การสรรหา แต่งตั้ง ก็ปั่นป่วน ทำให้สังคมรู้ทัน เสียเครดิตตั้งแต่ต้น
องค์กรปราบโกงที่ไม่ยึดโยงประชาชน ยังได้อำนาจเพิ่มจนเป็นองค์กรอันตราย หลักๆ คือวางโครงสร้างไว้แทรกแซงการเมือง เช่น กกต.มีอำนาจระงับสิทธิผู้สมัคร ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนพรรค ป.ป.ช.มีอำนาจยับยั้งนโยบายรัฐบาล ส่งศาลเอาผิดถ้าขัดยุทธศาสตร์ชาติ
แต่บางเรื่องก็เพิ่มอำนาจเพื่อเอาใจกระแสบ้าจี้ คลั่งยาแรง ซึ่งเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่งของคนดีในสังคมไทย เช่น ให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินกิ๊ก ทั้งที่ไม่มีสถานะตามกฎหมาย ให้ข้าราชการทุกคนต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินกับต้นสังกัด ไว้ ป.ป.ช.อยากดูเมื่อไหร่จะเรียก ซึ่งมองผิวเผินเหมือนดี แต่ข้าราชการระดับล่างส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษ ไปสร้างภาระให้เขาทำไม
ว่าตามความเป็นจริง การยื่นบัญชีทรัพย์สินตั้งแต่มีมาในประเทศไทย มีไว้เพื่อ “จับผิด” ไม่ใช่ “จับโกง” จับผิดคนไม่ยื่น ยื่นไม่ตรง ปกปิด ฯลฯ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ทุจริต ตั้งแต่ทักษิณถึงชูวิทย์
ขณะที่คนโกง ก็รู้กัน มันไม่เอามาใส่บัญชีทรัพย์สินหรอก แต่องค์กรปราบโกงถนัดจับผิดเอกสาร หรือติดคุกเพราะการตีความ ทุจริตจริงจับมือใครดมไม่ได้ เว้นแต่ฝรั่งญี่ปุ่นจับส่งให้
บัญชีทรัพย์สินจึงจะกลายเป็นภาระของข้าราชการ ซึ่งในชีวิตจริง อาจมีรายได้อื่นของครอบครัว ของลูกเมีย ที่ไม่อยู่ในระบบภาษี ต่อจากนี้ต้องรู้จักแต่งบัญชี เตรียมที่มาที่ไป ไม่งั้นอีก 20 ปีโดน ป.ป.ช.สอบตอบไม่ได้ ปปง.ยึดทรัพย์ ฉิบหายเลย
อันตรายของโรคบ้าจี้ ถ้าเทียบให้เห็นชัดๆ คือรัฐประหาร 2549 มุ่งเอาผิดเฉพาะทักษิณ ไทยรักไทย แต่ 4 ปียุคนี้ มีการเข้มงวดจัดระเบียบประชาชน ไม่เฉพาะทางการเมืองแต่ไปถึงการใช้ชีวิต การทำมาหากิน ซึ่งเท่ากับเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ปกครอง เทศกิจ ป่าไม้ เจ้าท่า ศุลกากร ฯลฯ ที่มีอำนาจจับกุมและออกใบอนุญาตต่างๆ
ขณะเดียวกัน ก็ออกระเบียบกฎหมายมาควบคุมความประพฤติ การทำงาน ของข้าราชการ เช่น กฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งส่งผลชะงัด ถ้าไม่บังคับก็ไม่มีใครอยากเป็นกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง เอาคอเข้าไปเสี่ยง เพราะ สตง. ป.ป.ช. ป.ป.ท. ปปง. ไล่ตอมเต็มไปหมด
แต่ถามว่าทุจริตหมดไปไหม คนโกงก็ยังหาช่องได้ หรือการเอื้อประโยชน์เชิงนโยบาย การประมูลโครงการใหญ่ๆ โดยคนที่มีอำนาจจริง คนที่อยู่ในขั้วอำนาจ ใครกล้าแตะ
ลิเกปราบโกงโรงนี้ ทั้งพันธนาการและประจานตัวเอง อยากรู้จัง จะแสดงได้นานเท่าไหร่
ที่มา: https://www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1381831
แสดงความคิดเห็น