ศาลสั่งเพิกถอนประกันตัว ไผ่ ดาวดิน คดีแชร์บทความ BBC เหตุโพสต์เยาะเย้ยอำนาจรัฐ

Posted: 22 Dec 2016 01:51 AM PST  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

ศาลจังหวัดขอนแก่น สั่งเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว ไผ่ ดาวดิน คดี 112 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นคำร้อง ปมเชื่อว่าโพสต์เยาะเย้ยพนักงานสอบสวน ทนายยื่นประกันตัวอีกครั้ง ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม


22 ธ.ค. 2559 14.00 น. ศาลจังหวัดขอนแก่น ได้นัดพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ที่ขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" หนึ่งในสมาชิกของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ในคดีแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC thai โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จตุภัทร์ ได้ทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว ทั้งยังเห็นว่านายประกัน ซึ่งเป็นบิดา ไม่ได้ทำการห้ามปราบการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด

โดยศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกัน ผู้ต้องหามาตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ และห้ามยุ่งเหยิงหลักฐานในคดี หรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หลังปล่อยตัวชั่วคราว หากพบการกระทำผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวอีก และหลังจากปล่อยตัวชั่วคราว ได้พบว่าผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดี ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กออก ทั้งผู้ต้องหายังได้แสดงความคิดเห็น และมีพฤติกรรมในสังสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์ เยาะเย้ย อำนาจรัฐ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ อีกทั้งผู้ต้องหามีแนวโน้มจะกระทำการลักษณะเดิมต่อไปอีก ผุ้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ อายุ 25 ปี ย่อมรู้ว่าการกระทำของผุ้ต้องหาดังกล่าวข้างต้น เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล จึงฟังได้ตามคำสั่งว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหาย ภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว ประกอบกับนายประกันของผู้ต้องหา ไม่ได้กำกับดูแลให้ผู้ต้องหา ให้ปฎิบัติตามเงื่อนไขของศาล จนก่อให้เกิความเสียหายดังกล่าว จึงให้เพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา

ด้าน อธิพงษ์ ภูผิว ทนายความได้ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า ศาลใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ในการพิจารณาไต่สวนคำร้องเพิกถอนสัญญาปล่อยตัวชั่วคราว โดยทนายความได้ยื่นคัดค้านคำร้องของพนักงานสอบสวน โดยระบุว่า ศาลไม่ได้สั่งเน้นย้ำเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว จึงทำให้ผู้ต้องหาไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร จึงดำเนินชีวิต และแสดงความความคิดเห็นในเฟซบุ๊กตามปกติ เพราะเชื่อว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการการแสดงออก


ทนายความกล่าวด้วยว่า ประเด็นที่พนักงานสอบสวนยกมาให้ศาลพิจารณาประกอบด้วยการโพสต์สเตัสในเฟซบุ๊ก 3 สเตตัสคือ การถ่ายรูปกับเพื่อนที่มีลักษณะเยาะเย้ยหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยเป็นรูปซึ่งมีการทำลักษณะท่าทางคล้ายกับตัวละครที่ชื่อว่า "หน้ากากแอคขั่น" ในการ์ตูนเรื่อง "ชินจัง" ประเด็นต่อมาเกี่ยวข้องกับการโพสต์เรื่องที่ ผู้ต้องหา เดินทางไปแจ้งความกับสถานนีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น เนื่องจากวันที่ถูกควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือไป แต่ไม่ได้เขียนบันทึกไว้ในรายการของกลางที่ถูกยึด และได้ถ่ายรูปทำท่าทางในลักษณะเดิม และประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กของผู้ต้องหา ซึ่งกำลังรับประทานข้าวราดผัดกระเพรา และระบุว่า ติดคุก กินข้าวฟรี ราคา 112 บาท ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ปรากฎอยู่ในคำร้องขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ของพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของพนักงานสอบสวน ระบุว่า หลังจาก ที่จตุภัทร์ได้รับการประกันตัว ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะที่เชื่อได้ว่าเป็นการเยาะเย้ยพนักงานสอบสวน โดยข้อความดังกล่าวระบุว่า "เศรษฐกิจมันแย่แม่งจะเอาแต่เงินประกัน"


ทั้งนี้ในการพิจารณาคำร้อง ศาลได้สั่งให้เป็นการพิจารณาลับ โดยกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าฟังการพิจารณา โดยให้เหตุผลว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ทั้งยังเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอาจจะกระทบจิตใจของคนในสังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากฟังคำพิจารณาของศาลแล้ว จตุภัทร์ ยังมีท่าทีปกติ ไม่ได่แสดงความวิตกกังวล และล่าสุดทนายความกำลังทำเรื่องประกันตัวจตุภัทร์อีกครั้ง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำตัว จตุภัทร์ ไปฝากขังยังเรือนจำจังหวัดขอนแก่นแล้ว

สำหรับการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง อธิพงษ์ ระบุว่า เหตุผลในการยื่นขอปล่อยตัวมี 3 เหตุผลคือ ผู้ต้องหากำลังศึกษาอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นปีสุดท้าย และกำลังจะมีการสอบในวิชาคอมพิวเตอร์ในวันที่ 16 ม.ค. 2560 หากไม่ได้การปล่อยตัวชั่วคราวจะทำให้ศึกษาไม่จบตามหลักสูตร และผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนี หรือเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด

ทนายความความกล่าวด้วยว่า หากวันนี้ไม่ได้รับการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะดำเนินการทำเรื่องขอประกันตัวไปจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว โดยอำนาจในการฝากขังผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนสามารถขอให้ศาลฝากขังได้ทั้งหมด 7 ผัด ผัดละ 12 วัน สำหรับคดีนี้ นับว่าอยู่ในช่วงของการฝากขังในผัดที่ 2

ในรายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุด้วยว่า สเตตัสที่ถูกนำมาเป็นเหตุผลในการร้องขอให้ถอนประกันนั้น จตุภัทร์ ยืนยันว่าการโพสต์แสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กเป็นเรื่องปกติ สำหรับสเตตัสนี้จตุภัทร์กล่าวว่าได้โพสต์หลังจากทราบข่าวว่าศาลจังหวัดพระโขนงไม่อนุญาตให้นักวิชาการใช้ตำแหน่งประกันตัวเพื่อนนักกิจกรรมที่ถูกฟ้องในคดีฉีกบัตรลงคะแนนประชามติ เป็นเหตุให้ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ และเพื่อนๆ ต้องลำบากหาหยิบยืมเงินสดมาเป็นหลักทรัพย์ประกันทั้งสามคนเป็นจำนวนถึง 600,000 บาท

00000

สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนืองจากการเข้าแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี รองหัวหน้าหน่วยยุทธการมณฑลทหารบกที่ 23 ขอนแก่น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เนื่องจากพบว่า จตุภัทร์ ได้แชร์บทความจากเว็บไซต์ BBC Thai ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. จุตภัทร์ ถูกควบคุมตัวที่จังหวัดชัยภูมิ ขณะกำลังร่วมขบวนธรรมยาตรา กับพระไพศาล วิสาโล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาความผิดตาม มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14

ต่อมาในวันที่ 4 ธ.ค. 2559 ศาลได้พิจารณาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ โดยทนาย พร้อมนายประกันได้ยื่นหลักทรัพย์ 4 แสนบาท และให้เหตุผลไว้ในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า จตุภัทร์ เป็นผู้ต่องหาคดีการเมืองอยู่ 4 คดี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธ.ค. ผู้ต้องหามีสอบเป็นวิชาสุดท้าย หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร ศาลจึงพิจารณาให้ประกันตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ประเด็นเรื่องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.56 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มีการจัดเสวนาเรื่อง “การแก้ปัญหาสิทธิผู้ต้องหาในการได้รับการประกันตัว” โดย ศ.ดร.คณิต ณ นคร ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า การปล่อยชั่วคราวเป็นมาตรการหนึ่งในการดำเนินคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีคุณลักษณะ 2 ประการคือ เป็นกฎหมายที่มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล แต่ในการเรียนการสอนวิชากฎหมายเรามักเน้นแนวคิดอำนาจนิยม ไม่ค่อยเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานแนวคิดเสรีนิยม มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (อ่านต่อที่นี่)

ขณะที่ ศราวุฒิ ประทุมราช ผู้อำนวยการสถาบันหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน ได้เคยเขียนบทความลงในเว็บไซต์ประชาไท เรื่อง สิทธิได้รับการประกันตัวคือ สิทธิมนุษยชน โดยมีใจความสำคัญว่า

สิทธิในการได้รับการประกันตัวนั้นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้อง หาที่ต้องได้รับในฐานะเป็นหลักประกันความก้าวหน้าของกระบวนการยุติธรรม และเป็นสากล หมายถึงว่าการได้รับการประกันตัวเป็นสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาทุกคน ทุกคดี ทุกข้อกล่าวหา

การไม่ให้ประกันตัวในกรณีของคดีดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือกรณีคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงอื่นๆนั้น เหตุผลที่ศาลมักไม่ให้ประกันตัว มักให้เหตุผลว่า เช่น ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย สู่สถาบันกษัติริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ หรือว่าพนักงานสอบสวนได้คัดค้าน จึงเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว เป็นต้น

คำถามคือว่า การมิให้ประกันตัวตามหลักสิทธิมนุษยชนนั้นสามารถกระทำได้เพียงใด และข้อคำนึงถึงการใช้ดุลพินิจ ในการไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process of Law) หรือไม่

หลักสิทธิมนุษยชน ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการได้รับการประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราว คือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งมีหลักการว่า สิทธิประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องเป็นหลักที่ได้รับความคุ้มครอง การมิให้ประกันตัวถือเป็นข้อยกเว้นหรือจะกระทำได้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการที่ เบากว่านี้

โดยปกติบุคคลผู้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญามีสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่ว คราวระหว่างการพิจารณาคดี โดยการวางหลักประกันหรือมีบุคคลค้ำประกัน การปฏิเสธคำขอประกันตัวควรจะเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่น มีความเป็นไปได้ว่าบุคคลนั้นจะหลบหนีและไม่มาปรากฏตัวในศาลในช่วงการพิจารณา คดี หรือบุคคลนั้นอาจจะทำลายหลักฐาน หรือบุคคลนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น การปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณา ถือว่าเป็นการละเมิดข้อ 9(3) ของ ICCPR ซึ่งกำหนดว่า “ การควบคุม คุมขังบุคคลระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ควรเป็นกฎที่ใช้ทั่วไป”

การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีนานเกินระยะเวลาที่สามารถยกเหตุผลอันเหมาะ สมมากล่าวอ้างได้ เป็นการกระทำโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเมิดข้อ 9(1) ของ ICCPR ที่ว่า “ บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้”

ขณะที่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2559 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยใจความตอนหนึ่งระบุว่า

"เราอาจจะต้องใช้มาตรา 44 ในการควบคุมตัวเข้าจับกุม เพราะว่ามันหลายอย่างด้วยกันนะครับท่านก็รู้ดีอยู่ กฎหมายปรกติไม่ค่อยเชื่อ แต่เข้าไปจับกุมดำเนินคดีก็ใช้วิธีการอันละมุนละม่อมไม่เคยต้องไปทำร้าย ไปทุบตีอะไรต่างๆ ไปทรมาน ไม่เคยทำซักอย่าง ถ้าทำผมก็ลงโทษนะ ฉะนั้นก็เพียงนำพามา และสอบสวน ให้สู้คดี ต่างคนต่างก็พยายามที่จะบิดเบือน หลายคนก็เคยให้ความเมตตาแล้ว ให้ออกมา ให้ประกัน บอกไม่ประกันอีก จะขออยู่ในคุกก็แล้วแต่ตามใจ ก็ต้องเข้าใจนะครับ ไม่ใช่ผมไปบังคับให้เขาอยู่ ต้องการให้เขาติดคุกไม่ใช่ ผมเมตตาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนิสิต นักศึกษา แต่เขาบอกเขาไม่อยากออกจากคุก จนกว่าจะมีประชาธิปไตย ก็แล้วแต่นะ ผมบังคับท่านไม่ได้อยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับประเทศไทย คนไทย จะคิดยังไงนะ ว่าผมรังแกเขาหรือเปล่า พ่อแม่ก็เดือดร้อน ร้องไห้ แล้วก็กลายเป็นว่าพ่อแม่ก็มาเกลียดชังผม จริงๆ มันไม่น่าใช่นะไปคิดเอา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.