Posted: 23 Jun 2017 11:03 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
ก.แรงงาน เผยสถิติคนไทยไปทำงานที่ไต้หวันมากสุดกว่า 3 พันคน
 
กรมการจัดหางาน เผยสถิติเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คนงานไทยนิยมไปทำงานไต้หวันมากที่สุด 3,375 คน คิดเป็นร้อยละ 37.14 ของจำนวนคนงานไทยที่เดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวน 9,087 คน ขณะที่ยอดระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ มีจำนวน 13 คน โดยระงับไปบาห์เรนมากที่สุดนายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คนงานไทยยังนิยมไปทำงานต่างประเทศโดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีคนงานไทย เดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ จำนวน 9,087 คน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 22.90 ซึ่งมีจำนวน 7,390 คน โดยไปทำงานไต้หวันมากที่สุด 3,375 คน รองลงมาคือ เกาหลีใต้ 1,070 คน อิสราเอล 801 คน ญี่ปุ่น 668 คน ตามลำดับ ขณะที่มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ และให้การยอมรับว่าจะไปทำงานในต่างประเทศ รวม 13 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนน้อยลง คิดเป็นร้อยละ 56.67 ซึ่งมีจำนวน 30 คน โดยประเทศที่ถูกระงับการเดินทางมากที่สุดเป็นบาห์เรน รองลงมาเป็น สิงคโปร์ อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นายวรานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการหลอกลวงคนหางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก จึงขอย้ำเตือนอีกครั้งว่าการไปทำงานต่างประเทศจะต้องไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงาน มีสัญญาจ้างที่ผ่านการรับรองสัญญาจ้างจากหน่วยงานภาครัฐของทั้งสองประเทศ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการทำงานไม่ได้ เพื่อป้องกันการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ จึงขอให้ตรวจสอบกับกรมการจัดหางานก่อน โดยสอบถามข้อมูล แจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2248-2278 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
 
 
เผยมีแรงงานเด็กต่างด้าวทำประมง 55%
 
ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เนื่องในวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก นำโดยมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (แอลพีเอ็น) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาและแถลงข่าว ในหัวข้อ”แรงงานเด็กในภาคการประมงและอุตสาหกรรมอาหารทะเลยังมีอีกไหมในสังคมไทย และโจทย์ท้าทายการแก้ไขปัญหา” โดยในงานมีเด็กนักเรียนจากโรงเรียน วัดศรีสุทธาราม จ.สมุทรสาคร จำนวน 15 คนเข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยนางสุภางค์ จันทวานิช นักวิชาการ กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กไทยที่อยู่ในแรงงานประมงมีน้อยมากส่วนมากจะเป็นแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเด็กที่ทำงานในการประมงนั้นมีสูงถึงร้อยละ 55 ความจริงเด็กไม่สามารถทำงานบนเรือได้เนื่องจากงานหนัก จึงมองว่าทางเลือกของการที่จะไม่ให้เด็กเข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร คือการศึกษาแต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกเดียว อาจมีการกำหนดให้เด็กทำงานได้ในอุตสาหกรรมอากหารทะเลได้ แต่ต้องเป็นงานที่ไม่หนัก จะสามารถทำให้ตัวเด็ก ครอบครัวพอใจ รวมถึงรัฐสามารถรักษากติกาไว้ได้
 
ขณะที่นายสายชล แจ่มแจ้ง ตัวแทนจากกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การกำจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศไทยมีความก้าวหน้า มีการปรับปรุงกฎหมาย อาทิ การแก้ไขกฎหมายแรงงานในแง่ของการเพิ่มโทษนายจ้างที่ใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เดิมปรับไม่เกิน 2 แสนบาทต่อลูกจ้าง 1 คน หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี แก้ไขเป็นปรับตั้งแต่ 4-8 แสนบาทต่อลูกจ้าง 1 คน หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี นอกจากนี้ยังมีการร่างกฎกระทรวงขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประมงปี 2558 เช่น กำหนดสถานที่่่ห้ามนายจ้างห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงาน เพื่อเป็นการคุ้มครองไม่ให้นายจ้าง จ้างแรงงานเด็กที่อายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด
 
ด้านนายสุรพงษ์ กรองจันทึก นักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมาย กล่าวว่า ยังมีการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ จึงต้องทำทุกทางเพื่อกันเด็กไม่ให้เข้าสู่แรงงาน อาจแก้ปัญหาโดยการนำแรงงานเด็กต่างชาติเข้าสู่โรงเรียน และจะเกิดคำถามตามมาว่าเหตุใดต้องนำแรงงานต่างชาติเหล่านี้เข้าสู่โรงเรียน หรือต้องนำภาษีคนไทยมาดูแลแรงงานเหล่านี้ ซึ่งคำตอบคือภาษีไม่ได้มีไว้เพื่อคนที่จ่ายและแรงงานต่างชาติที่มาไทยไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูกกฎหมาย ถ้าทำงานมีรายได้ต้องเสียภาษีทางตรงและทางอ้อมเหมือนคนไทยทุกประการ ดังนั้นแรงงานต่างชาติต้องได้รับการบริการของรัฐไทยในด้านสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิขั้นพื้นฐาน
 
จากนั้นเวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการแถลงข่าวของกลุ่มมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตฯ เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ประกอบการ ว่า ปัจจุบันมีกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า18 ในการประมงแต่อาจมีแรงงานเด็กหลงเหลืออยู่ ดังนั้นหน่วยงานรัฐต้องประชาสัมพันธ์ให้สังคมทราบ และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ทำผิดอย่างจริงจัง ด้านผู้ประกอบการ และพ่อแม่ของแรงงานเด็กต้องมีความรู้เรื่อการใช้แรงเด็ก รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาจะต้องต้องนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา และ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะต้องทำเอกสารแสดงตัวแรงงานเด็กข้ามชาติที่ถูกต้องให้เด็กเหล่านี้ด้วย
 
 
เวสเทิร์นดิจิตอล เตรียมจ้างงานคนไทยเพิ่ม 2,500 คน
 
บีโอไอเผยกลุ่มเวสเทิร์น ดิจิตอล ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ชูไทยเป็นฐานผลิตของโลก สร้างมูลค่าการส่งออกเพิ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท จ้างแรงงานไทยเพิ่ม 2,500 คน
 
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (WD) หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟรายใหญ่ของโลก ได้ขยายการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟของบริษัท เอชจีเอสที (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม WD ตั้งอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
“กลุ่มบริษัท WD ขยายการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นว่าไทยเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่สำคัญ โดยมีศักยภาพและมีแรงงานที่มีทักษะสูง และยังทำให้เกิดการจ้างงานรวมถึงช่างเทคนิค เพิ่มขึ้น 2,500 คน ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และคาดว่ามูลค่าการส่งออกของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 35,000 ล้านบาท" นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว
 
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท WD ได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทยแล้วถึง 112 แห่ง ในการพัฒนาหลักสูตรและความรู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา อย่างไรก็ตามปัจจุบันไทยมีผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟรายใหญ่ของโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 2 ราย คือ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เกิดการลงทุนมากกว่า 30,000 ล้านบาท
 
 
ทางการไทยในจีนช่วยสาวลำปางและเพื่อนคนไทยทั้ง 10 กลับบ้าน โดยจะสำรองจ่ายค่าปรับ-ตั๋วเครื่องบินคนละหกหมื่นกว่าบาท
 
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้ากรณีช่วยสาวชาวลำปางพร้อมเพื่อนชาวไทย 10 คน ถูกนายจ้างชาวจีนลอยแพที่ประเทศจีน ซึ่งล่าสุดนายสงบการณ์ มุ้งทอง เลขานุการเอก ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ได้มารับทั้ง 10 คนจากสถานีรถไฟปักกิ่งไปพำนัก ณ สถานเอกอัครราชทูตกรุงปักกิ่งแล้ว และได้แจ้งกลับมายังจังหวัดลำปางว่ารายชื่อคนงานไทยที่เดินทางไปทำงานร้านสปานวดไทย ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีนมี 10 คน เป็นชาวลำปาง 2 คน เชียงใหม่ 2 คน พะเยา 1 คน มหาสารคาม 1 คน นครสวรรค์ 1 คน ชัยภูมิ 1 คน และ กทม. 1 คน
 
การช่วยเหลือหลังจากนี้คือทางการจีนปรับค่าพำนักในประเทศแบบผิดกฎหมายคนละ 10,000 หยวน หรือประมาณ 50,000 บาท และค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเบื้องต้นทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่งจะใช้เงินสำรองทางราชการในการดำเนินการพาคนไทยกลับมาก่อน หลังจากนั้นทุกคนจะต้องรับสภาพหนี้และผ่อนชำระคืนให้ทางราชการต่อไป
ขณะที่แรงงานจังหวัดลำปางก็ได้ย้ำเตือนแรงงานที่ต้องการไปหางานทำที่ต่างประเทศว่า ขอให้เดินทางไปกับบริษัทจัดหางานหรือกรมการจัดหางานอย่างถูกกฎหมาย เพราะหากเกิดปัญหาทางราชการจะได้ช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะหากไปทำงานแบบผิดกฎหมายและเกิดปัญหาอาจจะไม่โชคดีเหมือน 10 คนนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือให้กลับประเทศไทยอย่างปลอดภัยก็เป็นได้
 
 
กสร. ดำเนินคดีนายจ้าง พระประแดง ฝืนกฎหมายความปลอดภัยฯ ทำลูกจ้างขนปลาเจ็บ
 
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินคดีอาญานายจ้าง รับขนถ่ายสินค้าย่านพระประแดง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยฯ ส่งผลให้ลูกจ้างได้รับบาดเจ็บ ขณะขนถ่ายปลาบนเรือบรรทุกปลาทะเล
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึง กรณีลูกจ้างต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 10 คน ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี บีเ อส ทรานสปอร์ต 2016 ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากสูดดมสารเคมีที่รั่วไหล ขณะขนถ่ายปลาบนเรือบรรทุกปลาทะเล สัญชาติปานามา ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเทียบเรือใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า กสร.ได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษนายจ้างรายนี้ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ฐานไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยฯ เนื่องจากไม่มีการแจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานรวมทั้งไม่ได้จัดให้มีการอบรมลูกจ้างที่ต้องทำงานในสถานที่อับอากาศ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย
 
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน ในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ. 2547 ทั้งนี้ ความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ตระหนักถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการประสบอันตรายจากการทำงาน เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น 
 
 
สมาคมลูกจ้างฯ ร้อง “บิ๊กตู่” ขอรับค่าจ้างจากเงินงบประมาณ
 
19 มิ.ย. 2560 -เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่งก.พ.) นายโอสถ สุวรรณ์เศวต เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย (สสลท.) พร้อมสมาชิกกว่า 20คน ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้ลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานกระทรวงสาธารณสุขได้รับเงินค่าจ้างจากเงินงบประมาณโดยตรง
 
นายโอสถ กล่าวว่า ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้จ้างลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานกระทรวงสาธารณสุขเป็นรายวัน รายเดือน รวมถึงจ้างเหมาบริการ โดยใช้เงินนอกงบประมาณหรือเงินบำรุงของหน่วยบริการ จึงทำให้ลูกจ้างชั่วคราวไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการด้านต่างๆ เท่ากับการจ้างโดยตรงจากเงินงบประมาณ ซึ่งได้รับเพียงประกันสังคมเท่านั้น จึงขอเรียกร้องให้มีการปรับสถานะลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานกระทรวงสาธารณสุข และให้มีการเยียวยาค่าประสบการณ์ของพนักงานกระทรวงสาธารณสุขตามอายุงาน 4 ช่วงคือ 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี ตามลำดับที่ สสลท. ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้กับกระทรวงสาธารณสุขไปแล้ว
 
“หาก 30 วันไม่มีความคืบหน้าจะพากลุ่มตัวแทนสมาพันธ์ฯ มาพบกับนายกฯ อีกครั้ง ทั้งนี้ค่าแรงขั้นต่ำที่แรงงานต่างด้าวได้รับ ซึ่งรวมแล้วยังมากกว่าค่าแรง 30 วันของลูกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลเสียอีก จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ปรับสภาพการจ้างงานของเราให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดด้วย” นายโอสถ กล่าว
 
 
อุตสาหกรรมประมง โอดแรงงานขาด 74,000 คน เรือจอดนิ่งกว่า 4,000 ลำ เล็งบินถกพม่า นำเข้าคนถูกกฏหมาย
 
นายศราวุธ โถวสกุล รองประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า อุตสาหกรรมประมงทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจากการสำรวจ ณ วันที่ 12 มิ.ย.2560 พบว่า อุตสาหกรรมประมง ขาดแคลนแรงงานมากถึง 74,000 คน มีเรือประมงจอดนิ่งที่ท่าเรือกว่าร้อยละ 30 หรือ คิดเป็นจำนวนเรือกว่า 4,000 ลำ ซึ่งแนวทางการแก้ไขนั้น เห็นว่า วันที่ 29 มิ.ย. - 1 ก.ค.2560 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปหารือกับรัฐบาลพม่า เพื่อนำเข้าแรงงานถูกกฏหมาย โดยภาครัฐได้กำหนดค่าแรงขึ้นต่ำของแรงงานประมง คือ เดือนละ 10,000 - 12,000 บาท หรือ 350 บาทต่อวัน พร้อมมีค่ารักษาพยาบาล รวมถึงที่พักตามความเหมาะสม พร้อมย้ำว่า หากไม่มีการนำเข้าแรงงานประมง ก็จะทำให้ราคาอาหารทะเล 3-4 เดือนข้างหน้า ปรับตัวสูงขึ้นอีกร้อยละ 50
 
 
ระวัง!! ถูกหลอกไปทำงานเก็บผลไม้ป่า "สวีเดน-ฟินแลนด์" เผยโควตาครบแล้ว
 
กรมจัดหางานเตือน "แรงงานไทย" ระวังถูกหลอกไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ "สวีเดน-ฟินแลนด์" เผยปี 60 โควตาไปทำงานที่สองประเทศนี้ครบแล้ว 6.6 พันคน ไม่มีการเปิดรับสมัครเพิ่ม
 
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีแรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าประเภทผลเบอร์รี่ ได้แก่ ผลยู่ตรอน ผลบลูเบอร์รี่ และผลลินง่อน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในแถบประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีประชาชนสนใจเดินทางไปทำงานกันเป็นจำนวนมากจึงอาจเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีชักชวนไปทำงานผ่านสื่อในช่องทางต่างๆได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันมิให้คนหางานเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง กรมการจัดหางานจึงขอแจ้งให้ทราบว่าในปี 2560 นี้ มีแรงงานไทยสมัครไปเก็บผลเบอร์รี่ที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ครบตามจำนวนโควตาเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งสิ้น 6,618 คน
 
นายวรานนท์ กล่าวว่า ประเทศสวีเดนกำหนดโควตาคนงานเก็บผลไม้จำนวน 3,351 คน และประเทศฟินแลนด์กำหนดโควตา จำนวน 3,267 คน ซึ่งมีกำหนดเดินทางเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ ในปี 2559 ที่ผ่านมา กรมการจัดหางานได้จัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน จำนวน 3,327 คน และประเทศฟินแลนด์ จำนวน 2,503 คน โดยคนหางานจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานประเทศสวีเดนรวมแล้วไม่เกินคนละ 75,000 บาท ส่วนประเทศฟินแลนด์มีค่าใช้จ่ายจำนวนคนละ 65,000 บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง เช่น ค่าวีซ่า ค่าเดินทางภายในประเทศ และระหว่างประเทศ ค่าประกันต่างๆ เป็นต้น
 
"ขอเตือนผู้ที่สนใจจะไปเก็บผลไม้ป่าในปี 2560 นี้ อย่าหลงเชื่อผู้มาชักชวนเพราะมีผู้สมัครไปเก็บผลไม้ป่าครบตามจำนวนโควตาแล้วและจะไม่มีการรับเพิ่มอีกแต่อย่างใด นอกจากนั้น ผู้ที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าต้องคิดให้รอบคอบ เพราะเป็นงานที่หนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการเก็บผลไม้และมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น ทั้งยังอาจขาดทุนเพราะมีรายได้เหลือน้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน และฟินแลนด์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 02 245 6499 และ 02 245 6714 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694" นายวรานนท์ กล่าว
 
 
ประกันสังคมจ่ายชดเชย 1.5 แสน "หญิงท้อง" ตกรางแอร์พอร์ตลิงก์ดับ
 
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีน.ส.รสรินทร์ เปลี่ยนหล้า หญิงท้องที่ประสบอุบัติเหตุตกรางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ทับเสียชีวิต ช่วงสถานีบ้านทับช้าง เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ว่า ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคมได้เร่งให้ความช่วยเหลือแล้ว โดยได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 ซึ่งรับผิดชอบสถานประกอบการที่ผู้ประกันตนทำงานอยู่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งให้ความช่วยเหลือโดยทายาทผู้ประกันตนที่เสียชีวิตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2537
 
"เบื้องต้นมีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพ 40,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีตาย 30,000 บาท และเงินชราภาพอีก 78,549.79 บาท (ยังไม่รวมอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 148,549.79 บาท สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 ได้เร่งประสานให้ทายาทผู้ประกันตนที่เสียชีวิตติดต่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีเสียชีวิตได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 หรือติดต่อสำนักงานประกันสังคมที่สะดวก ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว" นพ.สุรเดช กล่าว
 
 
รฟม.ตั้ง กก.คุมเข้มความปลอดภัยก่อสร้างรถไฟฟ้า คาดโทษ บ.เกิดอุบัติเหตุบ่อย มีผลต่อการจ้างงาน
 
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน นายภคพงษ์ ศิริกันทรมาศ รองผู้ว่าการฝ่ายวิศวกรรมและก่อสร้าง รฟม. เปิดเผยว่า จากกรณีการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ที่มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในวันนี้ รฟม.จึงได้มีการเชิญผู้แทนจากบริษัทผู้รับจ้างมาพูดคุยทำความเข้าใจ และหาแนวทางป้องกันแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นที่ผ่านมาอีกในอนาคต เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและมั่นใจกับประชาชนที่ต้องสัญจรผ่านเส้นทางก่อสร้างในทุกๆ จุด โดยรฟม. ได้ข้อสรุปว่าจะตั้งคณะกรรมการการก่อสร้างปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ จำนวน 15 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารของรฟม. บริษัทผู้รับจ้างเช่นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) /บริษัท ยูนีค เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) /บริษัท ชิโน-ทัย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) และบริษัทที่ปรึกษา รวมถึงจะเชิญผู้แทนจากสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยเน้นการลงตรวจพื้นที่ทุกจุดทั้งพื้นเปิดและพื้นที่ปิด รวมไปถึงพื้นที่บนพื้นผิวจราจรและใต้ดิน โดยใช้หลักเกณฑ์ เช่น การป้องกันการปลอดภัยทั้งตัวของผู้ทำงาน และการป้องกันการร่วงหล่นของวัสดุก่อสร้าง พร้อมกำชับบริษัทผู้รับจ้างให้จัดเจ้าหน้าที่ดูแลในพื้นที่ก่อสร้างตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ คาดว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะแต่งตั้งเสร็จภายในสัปดาห์นี้ และเริ่มดำเนินการทันทีหลังจากแต่งตั้งแล้วเสร็จ
 
ขณะเดียวกัน ในคณะกรรมการชุดนี้จะมีการหารือถึงบทลงโทษสำหรับผู้รับจ้างที่พบสถิติการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยจะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าจะมีการจ้างงานหรือไม่ในอนาคต แต่เบื้องต้นหากพบว่าพื้นที่ใดมีปัญหาจะมีคำสั่งให้ปิดพื้นที่และหยุดดำเนินการก่อสร้างทันทีจนกว่าจะดำเนินการแก้ไขสำเร็จ ซึ่งรฟม. จะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกินในระหว่างที่ผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการได้
 
 
กสร. เปิดเสนอชื่อเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
 
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เชิญชวนสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน คณะกรรมการสวัสดิการ ในสถานประกอบกิจการ และสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ร่วมเสนอชื่อผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งและแจ้งชื่อผู้ลงคะแนนเลือกตั้งเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทน ฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.จะดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ประกอบด้วย คณะกรรมการค่าจ้าง คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน และคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยได้กำหนดจำนวนผู้แทนในแต่ละคณะฝ่ายละ 5 คน รวม 30 คน ซึ่งจะมีวาระดำรงตำแหน่งคณะละ 2 ปี จึงขอเชิญชวนสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการและ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปร่วมเสนอชื่อผู้แทนเป็นผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งทั้ง 3 คณะ ได้ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2560 และแจ้งผู้ลงคะแนนเลือกตั้งเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม 2560 ในวันเวลาราชการ
 
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า สามารถสมัครและส่งรายชื่อผู้ลงคะแนนเลือกตั้งได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัดตามที่องค์การจดทะเบียนที่ตั้งสำนักงาน สำหรับองค์การที่จดทะเบียนที่ตั้ง ณ จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม สามารถสมัครและส่งรายชื่อได้ที่สำนักแรงงานสัมพันธ์ ชั้น 2 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้ด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักแรงงานสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2246 8993 หรือwww.labour.go.th
 
 
คสรท. ช่วยลูกจ้างไทยซินฯ 111 คน ทวงสิทธิแรงงาน หลังบริษัทปิดกิจการ
 
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วย นายไพฑูรย์ บางหรง กรรมการบริหาร คสรท. ประธานกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก และผู้แทนจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมกับสหภาพแรงงานบริษัทบริติชไทยซินเทติคเท็กสไทล์ สมาชิกประมาณ 40 คน
 
ได้ไปติดตามเรื่องการเยียวยาจากเหตุการณ์ของบริษัท บริติชไทยซินเทติคเท็กสไทล์ ได้ปิดกิจการลงหลังจากศาลพิพากษาให้บริษัทล้มละลาย ทำให้คนงานทั้งหมดจำนวน 111 คน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิงทั้งที่เป็นแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติต้องถูกลอยแพคนงานโดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560
 
นายสาวิทย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคนงานบริษัทบริติชไทยซินเทติคเท็กสไทล์ ก็ได้พยายามหาวิธีการให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาแก้ไขปัญหา ทั้งที่เป็นนายจ้าง หน่วยงานภาครัฐ คือ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) และกรมบังคับคดี เพื่อให้หาแนวทางในการเยียวยาแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องคนงาน รวมทั้งการเขียนคำร้องเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และความพยายามก็เกิดขึ้นหลายครั้ง ในการประสานหน่วยงานต่างๆ แต่การแก้ไขปัญหาก็เป็นไปด้วยความล่าช้า
 
คสรท.เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างรุนแรงที่นายจ้างกระทำต่อลูกจ้างโดยไม่รับผิดชอบใดๆ การบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก และเรื่องดังกล่าวก็เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน ซึ่งทุกครั้งที่มีการติดตามเรื่องก็จะได้รับคำตอบว่านายจ้างล้มละลายจะให้ทำอย่างไร
 
แม้กระทั่งอำนาจหน้าที่ที่จะเยียวยาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในการบรรเทาทุกข์ของคนงานจากเงินสงเคราะห์ลูกจ้างก็อ้างเรื่องสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบเรื่องการบริหารกองทุนที่มียอดเงินลดลง ทำให้มีปัญหาในการจ่าย
 
"อย่างไรก็ตามภายหลังจากการประชุมกรรมการบริหาร คสรท.เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ได้มีมติให้ คสรท.ร่วมกับสหภาพแรงงานบริษัทบริติชไทยซินเทติคเท็กสไทล์ เร่งดำเนินการผลักดันเพื่อให้คนงานได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้จากการคิดตามเรื่องในวันนี้ สรุปว่า 1.อนุมัติการจ่ายเงินสงเคราะห์ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ให้แก่คนงานไทยซึ่งจะได้รับประมาณคนละไม่เกิน 18,000 บาท
 
2.สำหรับแรงงานข้ามชาติประมาณ 20 คน ต้องไปตรวจสอบเอกสารการทำงานว่าถูกต้องหรือไม่หากมีเอกสารการทำงานและเดินทางมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีสิทธิในการรับเงินสงเคราะห์แต่หากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีแค่ใบอนุญาตทำงานชั่วคราว(บัตรสีชมพู)ไม่สามารถจ่ายได้ ซึ่งจะนำมาพิจารณาอีกครั้งหลังตรวจสอบเอกสารแล้ว 3.การจ่ายเงินจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน หลังจากรับฟังคำชี้แจงจากผู้อำนวยการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้ว”ประธาน คสรท.กล่าว
 
 
เศร้าดับ 5 ศพ ตกบ่อบำบัดน้ำเสีย 'ซีพีเอฟ'
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 มิถุนายน ร.ต.อ ภูมิวัฒนา ฤทธิ์ทอง รองสารวัตร(สอบสวน) สน.บางนา ได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิต 4 ราย ภายในบ่อบำบัดน้ำเสีย บริษัทผลิตอาหาร ของบริษัท ซีพีเอฟ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ภายในซ.บางนา-ตราด 20 ถ.บางนา-ตราด ฝั่งขาเข้า แขวงและเขตบางนา กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์นิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์ และมูลนิธิกู้ภัยร่วมกตัญญู
 
ที่เกิดเหตุภายในบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด ซึ่งผลิตอาหารแปรรูปเกี่ยวกับอาหารสัตว์ปีกประเภท ไก่ เป็ด โดยจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณบ่อพักน้ำเสียด้านหลังของโรงงาน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำท่อออกซิเจน ลงไปที่ด้านล่างของบ่อพักน้ำดังกล่าว เพื่อเติมอากาศลงไปในการค้นหา โดยใช้เวลา 30 นาที จนพบร่างผู้เสียชีวิต เป็นชาย 2 ราย หญิง 2 ราย รวม 4 ราย อยู่บริเวณก้นบ้อบำบัด ซึ่งเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
 
นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย เจ้าหน้าที่รีบนำตัวส่ง รพ.บางนา 1 ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เบื้องต้นทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ 1.นายสมพร บุญบาน พนักงาน 2.นายชาญชัย พันนาคิน พนักงาน 3.น.ส.ลักษชนก แสนทวีสุข พนักงาน 4.น.ส.หวาย (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นนิสิตคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย และ 5.นายชาตรี ศรีสันคร เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่ก่อนนำศพผู้เสียชีวิตทั้ง 5 คน ส่งภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป
 
ต่อมาเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน นายปริโสทัต ปุณณภุม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพีเอฟ จำกัด กล่าวว่า วันนี้ (23 มิ.ย.) มีนักศึกษามาทัศนศึกษาดูงานภายในโรงงาน ในส่วนของขั้นตอนการพักน้ำเสีย จำนวน 2 คน โดยทางบริษัทมอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมเป็นคนนำนักศึกษาทั้ง 2 คน ดูขั้นตอนการทำงานต่างๆ จนเกิดเหตุนักศึกษา ซึ่งเป็นหญิงหนึ่งรายพลัดตกลงไปในบ่อบำบัดน้ำเสีย ก่อนที่เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมคนดังกล่าวจะลงไปช่วยจนจมหายไป จากนั้นพนักงานอีก 3 คน ก็ลงไปช่วยอีกครั้ง จนเกิดเหตุการณ์สลดมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง 5 คน
นายปริโสทัต กล่าวอีกว่า ตนยังไม่สามารถตอบถึงสาเหตุของการที่นักศึกษาดูงานรายนี้ตกลงไปในบ่อบำบัดน้ำเสียดังกล่าวได้อย่างไร เพราะปกติในพื้นที่ดังกล่าวนี้จะเป็นพื้นหวงห้าม และมีระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี โดยปกติปากท่อดังกล่าวจะมีฝาปิด เมื่อไม่ได้มีการใช้งาน แต่ในวันนี้ตนก็ไม่ทราบว่าในขณะเกิดเหตุฝาท่อมีการปิดหรือเปิดอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นก็ไม่มีกล้องวงจรปิด หลังจากนี้ต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงอีกครั้ง
 
นายปริโสทัต กล่าวด้วยว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งเบื้องต้นทางบริษัทจะช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตโดยการนำศพส่งกลับภูมิลำเนา และช่วยเหลือในลักษณะอื่นตามที่บริษัทเห็นสมควร
 
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุ ทางบริษัทฯ ได้ทำการปิดรั้วบริเวณด้านหน้า พร้อมทั้งกั้นไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในแต่อย่างใด โดยเฉพาะผู้สื่อข่าว
 
 
กกจ.รับสมัคร "ชายไทย" ทำงานเกษตรที่อิสราเอล ค่าจ้าง 4.8 หมื่นบาท/เดือน
 
กรมการจัดหางานเปิดรับสมัคร "ชายไทย" ไปทำงานภาคเกษตรที่อิสราเอล สัญญาจ้าง 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน เงินเดือนขั้นต่ำ 48,000 บาท สมัครฟรีตั้งแต่วันที่ 3- 7 ก.ค. 2560 แต่คุณสมบัติต้องเข้าเกณฑ์
 
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กรมฯ เปิดรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเพื่อไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน” (TIC) ตำแหน่งคนงานภาคเกษตร ระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,000 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,000 บาท (ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2560) คุณสมบัติเป็นเพศชาย ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีคู่สมรส บุตร หรือบิดาและมารดา พำนักอยู่ในประเทศอิสราเอล และไม่เคยทำงานในประเทศอิสราเอล สุขภาพแข็งแรง ตาไม่บอดสี และไม่เป็นโรคต่าง ๆ เช่น วัณโรค โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือซี โรคเอดส์ เบาหวาน ซิฟิลิส เป็นต้น ไม่เคยเสพสารเสพติดและมีประสบการณ์ทำงานภาคการเกษตร (ปลูกพืช/เลี้ยงสัตว์)
 
หลักฐานในการสมัคร ได้แก่ ใบสมัครที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รูปถ่ายสีครึ่งตัวพื้นหลังสีฟ้า ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) จำนวน 2 ฉบับ บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมสำเนา จำนวน 2 ฉบับ สำเนาสูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้าน ณ ปีที่เกิดของผู้สมัคร หรือ ท.ร.1/ก หรือหลักฐานแสดงผลการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.05) จำนวน 2 ฉบับ สำเนาใบเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล จำนวน 2 ฉบับ (ถ้ามี) สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 2 ฉบับ สำเนาหลักฐานการพ้นภาระการรับราชการทหาร (สด.8, สด.43) 2 ฉบับ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของภรรยาจำนวน 2 ฉบับ สำเนาเอกสารแสดงสถานภาพการสมรส (ถ้ามี) สำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หรือรถบรรทุกจำนวน 2 ฉบับ (ถ้ามี) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน จำนวน 2 ฉบับ โดยให้ผู้สมัครลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องในสำเนาหลักฐานทุกฉบับ
 
นายวรานนท์ กล่าวว่า ในปี 2560 ทางการอิสราเอลแจ้งความต้องการจ้างงานของนายจ้างอิสราเอลที่มีความประสงค์จ้างแรงงานไทยไปทำงานในภาคเกษตรประมาณ 4,963 อัตรา และขอย้ำเตือนว่า การจัดส่งไปทำงานอิสราเอลตำแหน่งคนงานภาคเกษตรกรในครั้งนี้ เป็นการจัดส่งโดยรัฐ ดังนั้นจึงอย่าหลงเชื่อผู้ไม่หวังดีหลอกเรียกรับเงินโดยอ้างว่าสามารถช่วยให้ไปทำงานได้ หากคนหางานใดสนใจติดต่อขอรับใบสมัครและยื่นใบสมัครด้วยตนเองพร้อมหลักฐานได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 (สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเว็บไซต์ของกรมการจัดหางานwww.doe.go.th/prdหรือเว็บไซต์ของกองบริหารแรงงานไทยไปต… www.doe.go.th/prd/overseas) ได้ตั้งแต่วันที่ 3 - 7 กรกฎาคม 2559 เวลา 08.30 - 16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร. 0-2245-0978 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
 
 
บังคับแล้ว พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวใหม่ จ้างผิด กม.ปรับ 8 แสนต่อคน นายหน้าคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้าน
 
บังคับใช้แล้ว กฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ เริ่ม 23 มิ.ย. นี้ เผยโทษหนักขึ้นเอาผิด “นายจ้าง” ใช้คนต่างด้าวผิดกฎหมาย ทั้งไม่มีใบอนุญาต ทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำงาน โทษสูงสุดถึง 8 แสนบาทต่อต่างด้าว 1 คน พร้อมเอาผิดนายหน้าค้ามนุษย์หลอกต่างด้าวมาทำงานในไทย คุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท
 
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2560 เป็นต้นไป สำหรับ พ.ร.ก. ฉบับนี้ เป็นการรวมกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. การทำงนของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 และ พ.ร.ก. การนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. 2559 โดยมีการปรับปรุงกฎหมายให้บทบัญญัติครอบคลุมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวทั้งระบบ โดยเน้นการให้ความคุ้มครอง อำนวยความสะดวกให้กับทั้งนายจ้างและแรงงานต่างด้าว รวมถึงมีการเพิ่มโทษนายจ้างที่กระทำผิดกฎหมาย พร้อมดึงประชาคนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
 
สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.ก. ฉบับนี้ คือ การเพิ่มโทษให้มีอัตราที่สูงขึ้น โดยเฉพาะโทษปรับ “นายจ้าง” จากเดิมหากกระทำผิดเกี่ยวกับการจ้างงานแรงงานต่างด้าว ไม่ว่าจะทำผิดต่อแรงงานต่างด้าวกี่คนจะรับรวมเป็นกรณีเดียว แต่ พ.ร.ก. ฉบับนี้ จะปรับนายจ้างแยกตามจำนวนแรงงานต่างด้าวรายคน ทำให้โทษสูงขึ้น เช่น นายจ้างที่จ้างต่างด้าวทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ หรือรับต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือรับต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานกับตนเข้าทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 400,000 - 800,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน หรือนายจ้างให้คนต่างด้าวทำงานไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 400,000 บาท ต่อต่างด้าว 1 คน เป็นต้น
 
ส่วนโทษของแรงงานต่างด้าวก็มีเพิ่มขึ้น เช่น คนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คนต่างด้าวที่ทำงานจำเป็นและเร่งด่วนแต่ไม่แจ้งนายทะเบียน มีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 - 100,000 บาท คนต่างด้าวทำงานแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท
 
สำหรับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์นั้น พบว่า หากนายจ้างหรือผู้ใดยึดใบอนุญาตทำงานหรือเอกสารสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดประกอบธุรกิจนำคนต่างด้าวมาทำงาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมการจัดหางาน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 - 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังเพิ่มกลไกการร้องทุกข์และเข้าถึงช่องทางการร้องทุกข์สำหรับคนต่างด้าวที่ได้รับความเสียหายจากการที่นายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงาน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบที่กฎหมายกำหนด
 
อนึ่ง งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำในประเทศไทย ตาม พ.ร.ก. กำหนดในอาชีพและวีชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. 2522 มีทั้งสิ้น 39 งาน ประกอบด้วย 1. งานกรรมกร 2. งานกสิกรรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้ หรืองานประมง ยกเว้นงานที่ใช้ความชำนาญ งานเฉพาะสาขา หรืองานงานควบคุมดูแลฟาร์ม 3. งานก่ออิฐ งานช่างไม้ หรืองานก่อสร้างอื่น 4. งานแกะสลักไม้ 5. งานขับขี่ยานยนต์ หรืองานขับขี่ยานพาหนะที่ไม่ใช้เครื่องจักรหรือเครื่องกล ยกเว้นงานขับขี่เครื่องบินระหว่างประเทศ 6. งานขายของหน้าร้าน 7. งานขายทอดตลาด 8. งานควบคุม ตรวจสอบหรือให้บริการบัญชี ยกเว้น งานตรวจสอบภายในชั่วคราว 9. งานเจียระไน หรือขัดเพชร หรือพลอย 10. งานตัดผม งานดัดผม หรืองานเสริมสวย
 
11. งานทอผ้าด้วยมือ 12. งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ปอ ฟาง หรือเยื่อไม้ไผ่ 13. งานทำกระดาษสาด้วยมือ 14. งานทำเครื่องเขิน 15. งานทำเครื่องดนตรีไทย 16. งานทำเครื่องถม 17. งานทำเครื่องทอง เครื่องเงิน หรือเครื่องนาก 18. งานทำเครื่องลงหิน 19. งานทำตุ๊กตาไทย 20. งานทำที่นอนผ้าห่มนวม 21. งานทำบาตร 22. งานทำผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมด้วยมือ 23. งานทำพระพุทธรูป 24. งานทำมีด 25. งานทำร่มด้วยกระดาษหรือผ้า 26. งานทำรองเท้า 27. งานทำหมวก 28. งานนายหน้า หรืองานตัวแทน ยกเว้น งานนายหน้าหรืองานตัวแทนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
29. งานในวิชาชีพวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมโยธา ที่เกี่ยวกับงานออกแบบและคำนวณ จัดระบบ วิจัย วางโครงการ ทดสอบ ควบคุมการก่อสร้าง หรือให้คำแนะนำ ทั้งนี้ไม่รวมที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ 30. งานในวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับงานออกแบบเขียนแบบ ประมาณราคา อำนวยการก่อสร้างหรือให้คำแนะนำ 31. งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย 32. งานปั้นหรือทำเครื่องปั้นดินเผา 33. งานมวนบุหรี่ด้วยมือ 34. งานมัคคุเทศก์ หรืองานจัดนำเที่ยว 35. งานเร่ขายสินค้า 36. งานเรียงตัวพิมพ์อักษรไทยด้วยมือ 37. งานสาวและบิดเกลียวไหมด้วยมือ 38. งานเสมียนพนักงานหรืองานเลขานุการ 39. งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี อย่างไรก็ตาม มติ ครม. ได้ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว และ กัมพูชา ทำงานได้ 2 อาชีพ คือ งานกรรมกร และ งานบ้าน
 
 
สสปท.แจงกฎกระทรวงแรงงานกำหนดขั้นตอนการทำงานในพื้นที่อับอากาศ
 
24 มิ.ย. 2560 นายชัยธนา ไชยมงคล ผอ. สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (สสปท.) องค์การมหาชน กล่าวถึงกรณีมีผู้เสียชีวิตในบ่อบำบัดน้ำเสียของสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2560 จำนวน 5 รายว่า กฎกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับการทำงานในพื้นที่อับอากาศนั้น จะต้องมีขั้นตอนในการทำงาน เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่มีบ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งมีก๊าซพิษหรือที่เรียกว่าพื้นที่อับอากาศ
 
โดยกฎกระทรวงกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทำการขออนุญาตไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นต้องสำรวจพื้นที่ และมีอุปกรณ์ตรวจวัดก๊าซพิษ และปริมาณออกซิเจน ว่าสามารถทำงานได้หรือไม่
 
ทั้งนี้อุปกรณ์วัดปริมาณออกซิเจนในพื้นที่อับอากาศหรือบ่อบำบัดน้ำเสียนั้น ตามกฎกระทรวงจะต้องตรวจวัดว่าพื้นที่นั้นมีออกซิเจนไม่ต่ำกว่า 19.5%   ขณะที่บางประเทศกำหนดค่าออกซิเจนไม่ต่ำกว่า 20.6% และในส่วนของปริมาณก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2s) ซึ่งเป็นก๊าซพิษนั้น จะต้องมีค่าเป็นศูนย์ (0 ppm.) จึงจะสามารถให้คนงานลงไปทำงานในพื้นที่อับอากาศได้
 
ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติงานจะต้องลงไปทำงานด้วยการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พร้อมถังอัดอากาศช่วยหายใจ  รวมทั้งต้องมีผู้ช่วยเหลืออยู่บริเวณนอกใกล้เคียง ที่พร้อมจะช่วยเหลือทันทีเพราะสภาพในบ่อน้ำเสียอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
 
ในเบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุรวมทั้งสสปท.ทราบว่า ผู้ประสบเหตุ มี 2 คน คือจนท.สิ่งแวดล้อมและนศ.ที่มาดูงานไม่ได้เกิดจากการลงไปทำงานในพื้นที่อับอากาศแต่เข้าไปในพื้นที่หวงห้าม และพลัดตกลงไปในบ่อน้ำเสียจากนั้นได้มีพนักงาน 3 คน เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งเป็นบ่อน้ำเสียลึกลงไปราว 3 เมตร ซึ่งคาดว่าจะมีก๊าซไฮโดรเจนซัลฟด์ ภายในบ่อน้ำลึก ซึ่งเป็นพื้นที่อับอากาศ 
 
 
อธิบดี กสร. ลงพื้นที่สอบเหตุผู้เสียชีวิต 5 รายในบ่อน้ำเสียซีพีเอฟ
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า กรณีมีผู้เสียชีวิต 5 ราย ในบ่อน้ำเสีย บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด ตนได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพร้อมด้วยพนักงานตรวจความปลอดภัยได้สอบข้อเท็จจริงเบื้องตนพบว่า ในวันนี้ มีนักศึกษามาศึกษาดูงานภายในโรงงาน ในส่วนของขั้นตอนการพักน้ำเสีย จำนวน 2 คน โดยทางบริษัทมอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมเป็นคนนำนักศึกษาทั้ง 2 คน ดูขั้นตอนการทำงานต่างๆ บริเวณบ่อน้ำเสีย และได้เกิดอุบัติเหตุนักศึกษาหญิงหนึ่งรายพลัดตกลงไปในบ่อน้ำเสีย โดยเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมได้พยายามลงไปช่วยและจมหายไป จากนั้นพนักงานอีก 3 คน ได้ลงไปช่วยและประสบเหตุเช่นเดียวกันอีก โดยการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวไม่เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้อง จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย ลูกจ้างบริษัท 4 ราย ได้แก่ 1. นางสาวลักษ์ชนก แสนทวีสุข อายุ 24 ปี เจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อม 2. นายชาญชัย พันธุนาคิน อายุ 42 ปี หัวหน้าช่างซ่อมบำรุง 3. นายพรศักดิ์ บุญบาล อายุ 40 ปี หัวหน้างานอนามัย 4. นายชาตรี สีสันดร อายุ 53 ปี คนงานรายวันประจำ และนางสาวปัณฐิกา ตาสุวรรณ อายุ 23 ปี เป็นนักศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเข้ามาศึกษาดูงาน เบื้องต้นได้ตรวจสอบการจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าโอที นายจ้างได้โอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างแล้วก่อนเกิดเหตุในวันนี้ สำหรับกรณีดังกล่าวบริษัท ซีพีเอฟฯ จะรับผิดชอบเบื้องต้นโดยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพ และค่าเคลื่อนย้ายศพไปยังภูมิลำเนา โดยจ่าย 1 ล้านบาทสำหรับนักศึกษาดูงาน
 
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นพนักงานตรวจความปลอดภัยจะได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และรวบรวมพยานหลักฐานว่านายจ้างได้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 รวมทั้งกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ.2547 หรือไม่ ซึ่งหากตรวจสอบแล้วนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวคือ ลูกจ้างไม่มีการประเมินอันตรายว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อับอากาศ และลูกจ้างไม่ได้รับการอบรมตามที่กฎหมายกำหนด มีบทกำหนดโทษคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้พนักงานตรวจความปลอดภัยได้มีหนังสือเชิญนายจ้างมาพบเพื่อสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในวันที่ 26 มิถุนายน 2560 ต่อไป
 

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.