Posted: 29 Jun 2017 08:57 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

แถลงการณ์ AIC ถึงข้อบังคับ OTT ของกสทช. ชี้ ไทยหันหลังให้นวัตกรรม กระทบการลงทุน สวนทาง Thailand 4.0 หวั่น ผู้บริโภคและผู้ผลิตในไทยเสียเปรียบด้านการเข้าถึงข้อมูล แนะ ข้อบังคับไม่ควรปิดบังต่อสาธารณะ

จากกรณีกสทช. กำหนดให้ผู้ให้บริการแพร่ภาพและเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (OTT- Over The Top) มาลงทะเบียน เพื่อสามารถให้บริการ OTT ในประเทศไทยต่อไปได้ ทั้งนี้ Google และ Facebook เป็นสองบริษัทที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ซึ่งกสทช. ประกาศว่าบริษัทโฆษณา (และรวมถึงบริษัทอื่นๆ) ที่โฆษณาผ่านผู้ให้บริการ OTT ที่ไม่มาลงทะเบียน เข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ตามความผิดที่เกิด ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551

Asia Internet Coalition หรือ AIC เป็นองค์กรความร่วมมือ ที่มีสมาชิกคือ Facebook, Google, LinkedIn, Apple, Twitter รวมถึง Yahoo, LINE และ Rakuten ได้ออกแถลงการณ์ต่อกฎระเบียบที่ กสทช. ออกมาเพื่อควบคุม OTT โดยมีเนื้อหาดังนี้

พวกเรามีความกังวลอย่างสุดซึ้งที่ประเทศไทยได้หันหลังให้กับนวัตกรรมด้วยข้อบังคับที่ กสทช. ได้นำเสนอให้กับการให้บริการในระบบ OTT ข้อบังคับดังกล่าวไม่ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจและนวัตกรไทยเป็นอันดับแรก แต่กลับเพิ่มภาระด้านข้อบังคับ และอาจทำให้การเติบโตนั้นถูกจำกัดลง ทั้งยังเป็นการปิดกั้นคนและบริษัทสัญชาติไทยจากการใช้แพลทฟอร์มแบบเปิดในระดับโลกเพื่อสร้างธุรกิจออนไลน์ พวกเราเองยังคงกังวลว่ากฎดังกล่าวอาจจะไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไทยลงนาม

ด้านล่างเป็นจดหมายที่เขียนขยายความถึงพื้นเพและเหตุผลแห่งความกังวลที่พวกเรามี ซึ่งได้ส่งไปยัง กสทช. ไปก่อนแล้วในวันนี้ คุณสามารถใช้เนื้อหาดังต่อไปนี้ประกอบกับเรื่องราวของพวกคุณ

29 มิ.ย. 2560

ประธานกรรมการ ธเรศ

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

87 พหลโยธิน 8 (ซ.สีลม)

สามเสนใน พญาไท

กรุงเทพฯ 10400

ประเทศไทย

ถึงท่านประธานกรรมการ ธเรศ

ข้อตอบรับจากองค์กรความร่วมมือทางอินเตอร์เน็ตแห่งเอเชีย (AIC) เกี่ยวกับข้อบังคับของ OTT ของไทยที่ได้ประกาศไป


ด้วยระบบอินเตอร์เน็ตที่เสรีและเปิดเผย ทำให้ผู้บริโภค นักธุรกิจและผู้ผลิตคอนเทนท์ (เนื้อหา) ได้เติบโตขยายตัวไปทั่วเอเชียและโลก AIC และบริษัทที่เป็นตัวแทนมีความกังวลว่าข้อบังคับที่ กสทช. ได้เสนอในเรื่อง “บริการ OTT” จะส่งผลในทางลบให้กับประเทศไทย สร้างความไม่แน่นอนในการเกิดธุรกิจ ชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำกัดการลงทุนในเศรษฐกิจภาคดิจิทัลของไทยที่กำลังโต พวกเรายังกังวลว่านโยบายใหม่ที่กำลังจะออกมาโดยไม่ผ่านการปรึกษาจากสาธารณะ ทั้งนโยบายยังไม่สอดคล้องกับข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศของไทยที่จะเป็นทำลายความมั่นใจในการลงทุน

AIC ยินดีเข้าร่วมกับรัฐไทยในเรื่องข้อบังคับของ OTT อย่างไรก็ตาม กสทช. ไม่ได้เปิดเผยร่างข้อบังคับดังกล่าวต่อสาธารณชน เราได้ดูรายงานจากสื่อมวลชนที่รายงานว่า กสทช. จะให้บริษัทต่างๆ เข้าจดทะเบียนเป็นบริการ OTT ภายในเวลา 30 วัน การเรียกลงทะเบียนดังกล่าวนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ฝ่ายต่างๆ เข้ามาลงทะเบียนเพื่ออยู่ภายใต้การควบคุมโดยข้อบังคับซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ AIC จึงขอส่งเสริมให้ กสทช. เปิดเผยร่างข้อบังคับและมีกระบวนการปรึกษากับภาคส่วนสาธารณะอย่างโปร่งใสทันที

นอกจากนั้น กสทช. ยังได้มีการแถลงต่อสาธารณะว่าบริษัทที่ไม่ได้เข้าประชุมร่วมกับ กสทช. จะพบกับ “แรงกดดัน” หากต้องการดำเนินธุรกิจต่อไป ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้เราคิดว่า กสทช. อาจจะสร้างแรงกดดัน หรือใช้วิธีทำให้ความสัมพันธ์กับผู้ทำโฆษณาซับซ้อนยิ่งขึ้นเพื่อสร้างแรงกดดัน ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรม(ธุรกิจดิจิทัล - ผู้สื่อข่าว) ตกที่นั่งลำบากในฐานะที่ต้องพบแรงกดดันให้ยอมถูกกำกับโดยข้อบังคับที่ไม่เป็นที่เปิดเผย

ข้อเสนอสำหรับข้อบังคับเรื่อง OTT ทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตเนื้อหาของไทยเสียเปรียบประเทศอื่นในภาพรวม ข้อบังคับดังกล่าวจะทำลายความมั่นใจในการลงทุนและยังยั้งการเติบโตผ่านผลกระทบเชิงลบระยะยาวในเศรษฐกิจของไทยทั้งหมด ทั้งยังฉุดรั้งความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะเป็นประเทศไทย 4.0 อีกด้วย นอกจากนั้น ด้วยความไม่แน่นอนของข้อบังคับและทัศนคติที่ไม่ต้อนรับสภาวะแวดล้อมที่จะทำให้เกิดนวัตกรดิจิทัล นักสื่อสารและผู้ผลิตเนื้อหาอาจทำลายความมั่นใจในการลงทุนจากทุนต่างประเทศต่อไป

AIC หวังว่ารัฐบาลไทย (รวมไปถึง กสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) จะพิจารณาตำแหน่งแห่งที่ของตัวแสดงเกี่ยวกับ OTT ทั้งในและต่างประเทศบนฐานที่สัมพันธ์กับขีดความสามารถในการแข่งขัน ในฐานะที่เป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุน รวมถึงในฐานะประเทศที่ให้โอกาสสำหรับผู้ผลิตเนื้อหา และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

AIC ยังขอเน้นข้อพิจารณาที่สำคัญดังต่อไปนี้

ผลกระทบจากข้อเสนอของ กสทช. ในระดับโลก

- การควบคุมบริการ OTT ตามข้อเสนอของ กสทช. ทำให้ไทยแปลกแยกไปจากโลก

- การควบคุมจะต้องสอดคล้องกับข้อบังคับของไทยภายใต้ข้อตกลงทั่วไปในด้านการค้าและการบริการ (GATS) ในองค์การการค้าโลก (WTO) โดยภายใต้ GATS ไทยได้ตกลงอนุญาตให้ “บริการการเข้าถึงฐานข้อมูล” และ “บริการข้อมูลออนไลน์” ที่มีลักษณะข้ามพรมแดนและไม่หวงห้ามจำนวนมาก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวได้รวมไปถึงการบริการที่จัดโดยผู้ให้บริการ OTT

- การนำข้อตกลง GATS มาใช้ในการควบคุม OTT มีความซับซ้อน หนทางที่ดีที่สุดและเป็นหนทางเดียวสำหรับ กสทช. ที่จะสร้างความมั่นใจว่า ข้อบังคับที่ออกมาจะไม่นำไปสู่ผลกระทบในทางลบกับประเทศคู่ค้าของไทยใน WTO ได้แก่การเปิดให้ร่างข้อบังคับดังกล่าว ทำให้มีความโปร่งใสในกระบวนการร่าง และให้เวลากับผู้ที่ได้รับผลกระทบกับร่างฯ ดังกล่าวได้แสดงความคิดเห็นและให้คำแนะนำ

- ตามที่ข้อตกลงต้องการให้ผู้ให้บริการ OTT เสียภาษีในไทย แม้ในทางกายภาพจะไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศไทยก็ตาม ขัดกับสนธิสัญญาการเก็บภาษีซ้ำซ้อนนานาชาติและฉันทามตินานาชาติว่าด้วย 1.) กฎว่าด้วยการป้องกันการหลีกเลี่ยงสถานะจัดตั้งถาวร (rules for the prevention of artificial avoidance of permanent establishment status) และ 2.) กฎว่าด้วยการจัดเก็บภาษีเศรษฐกิจดิจิทัล (rules for taxing the digital economy) โดยประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกรอบความร่วมมือในประเด็น BEPS (Base Erosion and Profit Shifting - รูปแบบหนึ่งของการหลบเลี่ยงภาษีโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานหลายสาขาทั่วโลก (ที่มา:สำนักนโยบายภาษี กระทรวงการคลัง)) ซึ่งการเข้าร่วมถือเป็นสัญญาณว่าไทยจะรับเอาคำแนะนำจากกรอบความร่วมมือมาใช้

- การบังคับให้มีภาษีพิเศษเฉพาะกับผู้ให้บริการ OTT สร้างภาพลักษณ์ว่าไทยไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานนานาชาติ ซึ่งอาจทำลายการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้โดยไม่เจตนา

ผลลัพธ์เฉพาะหน้าด้านเศรษฐกิจในประเทศ

- กรอบความร่วมมือ OTT ของ กสทช. สร้างความเสียเปรียบให้กับธุรกิจขนาดเล็กในทางปฏิบัติ เพราะธุรกิจขนาดเล็กไม่พร้อมจะปฏิบัติตามข้อบังคับที่ยากเช่นนั้น

- การควบคุมบริการ OTT ในแบบของไทยอาจไม่ได้ผลดังต้องการ เพราะผลของข้อบังคับจะเป็นการไปบังคับการบริการที่มีลักษณะต่างไปจากการแพร่ภาพกระจายเสียงแบบดั้งเดิม ให้มาอยู่ภายใต้ระบอบการควบคุมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพตามธรรมชาติของบริการ OTT ข้อเสนอของ กสทช. จึงมีแนวโน้มชะลอการพัฒนาของ OTT ในไทยมากกว่าการสนับสนุน

- ผู้ผลิตเนื้อหาของไทยจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพแพร่ภาพกระจายเสียงแบบดั้งเดิมของไทยจะถูกลงโทษอย่างหนักเกินไปเพียงเพราะใช้แพลตฟอร์มแบบเปิดในการส่งเนื้อหาที่พวกเขาผลิตไปสู่ผู้ชมในวงกว้าง

AIC ยินดีที่จะได้รับโอกาสให้อ่านและเสนอแนะต่อข้อเสนอใดๆ ที่ได้ร่างขึ้น รวมทั้งเสนอแนะให้ กสทช. ทบทวนการนำแผนการลงทะเบียนและควบคุม OTT ไปใช้ดังที่ได้วางแผนเอาไว้

เจฟฟ์ เพน

กรรมการผู้จัดการ

องค์กรความร่วมมือทางอินเตอร์เน็ตแห่งเอเชีย

สำเนาถึง: พ.อ.นที รองประธานกรรมการ กสทช.

ขอขอบพระคุณ

โจเซลิน อเล็กซานเดอร์

เลขาธิการ AIC

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.