แต่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอินเดียสองหมื่นสี่พันล้านดอลลาร์และกลุ่มธุรกิจต้องการให้อินเดียเปิดตลาดมากขึ้น

ประธานาธิบดีทรัมป์จะพบหารือกับนายกรัฐมนตรีนเรนห์ทรา โมดิของอินเดียที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายนและจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำผู้นำของอินเดียในฐานะแขกผู้มีเกียรติจากต่างประเทศเป็นคนแรกด้วย

แต่จุดเน้นของการพบปะครั้งนี้ดูจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นเป็นสำคัญ โดยบริษัทของสหรัฐฯ มีแผนจะขายโดรนลาดตระเวนไม่ติดอาวุธ 22 ลำมูลค่ากว่าสองพันล้านดอลลาร์ซึ่งอินเดียจะใช้เพื่อบินตรวจพื้นที่ของตนในมหาสมุทรอินเดีย นอกจากนั้นก็คาดว่าบริษัท Lockheed Martin ของสหรัฐฯ จะทำความตกลงกับบริษัท Tata Advanced Systems ของอินเดียเพื่ออนุญาตให้ผลิตเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ในอินเดียได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้ากับอินเดียถึงราวสองหมื่นสี่พันล้านดอลลาร์และกลุ่มธุรกิจอเมริกันก็ต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันอินเดียให้เปิดตลาดของตนมากขึ้น เช่น การลดอัตราภาษีนำเข้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการยกเลิกการคุมราคาอุปกรณ์การแพทย์ของสหรัฐฯ เป็นต้น

แต่นาย Thomas Pickering อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำอินเดียเกรงว่าขณะนี้ทั้งผู้นำของสหรัฐฯ และอินเดียอาจมุ่งเน้นเรื่องผลประโยชน์และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่าการสร้างความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว และว่าอินเดียนั้นมีค่านิยมรวมทั้งแนวคิดที่ใกล้เคียงกับของสหรัฐฯ มากกว่าประเทศมหาอำนาจอื่นในเอเชีย ซึ่งก็คือจีน

สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์เองนั้นมีความคุ้นเคยกับอินเดียมาก่อนและเคยไปเยือนนครมุมไบในฐานะนักธุรกิจรวมทั้งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ชื่อทรัมป์ในอินเดียด้วย นอกจากนั้นเขายังได้คะแนนสนับสนุนทางการเมืองอย่างสำคัญจากชุมชนชาวอินเดียซึ่งมีอยู่ราวสามล้านห้าแสนคนในสหรัฐฯ ขณะนี้ รวมทั้งยังได้แต่งตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียหลายคนเข้ารับตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาล เช่น นาง Nikki Haley อดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์ คาโลไรนาเป็นทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ และนาย Ajit Pai เป็นประธานคณะกรรมการ FCC เป็นต้น


source :-  http://rferl.c.goolara.net/Click.aspx?id=066992752006617473

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.