Posted: 02 Jun 2017 12:19 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

เช่นเดียวกับหลายๆ ที่ในโลก สหรัฐอเมริกาก็มีประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายอยู่เช่นกัน นั่นคือการใช้ทาสของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ฝ่ายใช้ทาสพ่ายแพ้ แต่ฝ่ายขวาบางส่วนในปัจจุบันก็ไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ความพ่ายแพ้เช่นนี้ถูกจารึกไว้เป็นบทเรียน พวกเขาพยายามยึดครองพื้นที่การอธิบายประวัติศาสตร์ในแบบที่เข้าข้างตัวเอง และแสดงออกถึงการคุกคามต่อผู้ที่ต้องการรื้อถอนอนุสาวรีย์ของพวกเขา


(ซ้าย) นายพลโรเบิร์ต อี ลี แม่ทัพของฝ่ายสมาพันธ์ ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา (ขวา) การรื้อถอนอนุสาวรีย์นายพลโรเบิร์ต อี ลี ของฝ่ายสมาพันธ์ ที่นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ที่มา: The Library of Congress Prints & Photographs Online Catalog และ Infrogmation of New Orleans/Wikipedia)

ในรายงานของวอชิงตันโพสต์เมื่อ 30 พ.ค. ระบุถึงการถกเถียงเกี่ยวกับการถอดถอนอนุสาวรีย์ผู้ที่ฝ่ายสนับสนุนทาสยกให้เป็นวีรบุรุษออก ถึงแม้ว่าสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ จะจบลงเป็นเวลานานมากกว่า 150 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีความขัดแย้งด้านมรดกทางความคิดและอนุสาวรีย์ที่เป็นตัวแทนฝ่ายสมาพันธรัฐ

กรณีการถกเถียงที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาเมื่อมิทช์ แลนดรูว์ นายกเทศมนตรีเมืองนิวออร์ลีนส์มีกระบวนการนำอนุสาวรีย์ฝ่ายสมาพันธ์ทั้ง 4 แห่งออกไป โดยมองว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้คืออนุสาวรีย์ของผู้นำคนขาวที่มองตัวเองเป็นเผ่าพันธ์ที่สูงสุด (white supremacists) และเป็นอนุสาวรีย์ที่ถุกนำมาใช้ยกย่องว่าพวกเขาเป็น "กบฏ" ที่ทำการกบฏต่อประเทศเพื่อต่อต้านการเลิกทาสไม่สำเร็จ

แลนดรูว์พูดถึงความพร่ำเพ้อของฝ่ายสนับสนุนสมาพันธ์ที่มองเรื่องนี้เป็นตำนานการกบฎที่น่ายกย่องว่า "เป็นการเก็บซ่อนความจริงที่ว่าฝ่ายสมาพันธ์อยู่ในฝ่ายที่ผิดในแง่ของความเป็นมนุษย์" การถอนอนุสาวรีย์ฝ่ายสมาพันธ์รัฐโดยแลนดรูว์เป็นผลสำเร็จในที่สุด แต่ก็ไม่ได้สำเร็จได้โดยง่ายเพราะต้องเผชิญแรงต้านจากฝ่ายขวา เช่น บริษัทแรกที่ทำสัญญากับเมืองนิวออร์ลีนในการนำอนุสาวรีย์ออกถูกฝ่ายขวาข่มขู่เอาชีวิตและถึงขั้นถูกเผารถยนต์ขู่ และก่อนที่จะได้ดำเนินการเช่นนี้แผนการขอนำอนุสาวรีย์เหล่านี้ออกก็ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาเป็นเวลา 2 ปี ต้องรอการลงมติจากสภาเมืองและมีการโต้แย้งทางกฎหมายจำนวนมาก

การต่อต้านของฝ่ายขวาในรัฐตอนใต้ยังถึงขั้นมีการใช้คำที่แสดงความรุนแรงในประวัติศาสตร์ เมื่อมีการนำรูปปั้นของ นายพล โรเบิร์ต อี ลี นักการเมืองฝ่ายสมาพันธรัฐออก มีนักการเมืองจากรัฐมิสซิสซิปปีรายหนึ่งบอกว่าคนที่ผลักดันให้มีการนำรูปปั้นนี้ออกไปจะต้อง "ถูกรุมประชาทัณฑ์" (lynched) โดยที่คำว่า "lynch" นี้เองเคยเป็นวิธีการลงโทษแบบนอกกฎหมายอย่างป่าเถื่อนด้วยการที่กลุ่มคนจำนวนมากเป็นสักขีพยานในการจับคนแขวนคอ คนขาวในสหรัฐฯ เคยกระทำการลงทัณฑ์โหดร้ายเช่นนี้กับคนดำในยุคสมัยช่วงสงครามกลางเมือง ในบางยุคสมัยยังกระทำกับเชื้อชาติอื่น อย่างชนพื้นเมืองอเมริกัน ชาวเม็กซิกัน หรือชาวจีน ด้วย

แลนดรูว์ชี้ว่าการใช้คำของนักการเมืองคนนี้เองที่ชี้ชวนให้มองว่ารูปปั้น อนุสรณ์ต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่หินแค่เหล็กหรือความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นภัยอะไร แต่มันเป็นอนุสรณ์ที่สร้างความทรงจำเทียมขึ้นมาทำให้ฝ่ายสมาพันธ์รัฐดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยไม่สนใจว่าจริงๆ แล้วมันคืออนุสรณ์ตัวแทนของความตาย การใช้ทาส และการสร้างความหวาดกลัว

วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ไม่เพียงแค่ในนิวออร์ลีนส์เท่านั้น นายกเทศมนตรีของบอลติมอร์ก็กำลังหวังว่าจะหาวิธีจัดการกับรูปปั้นสมาพันธ์รัฐเหล่านี้ได้เช่นกัน

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มมีการชำระประวัติศาสตร์ความผิดบาปในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในสเปนที่การลงมติเชิงสัญลักษณ์ให้มีการขุดซากอดีตจอมเผด็จการฟรานซิสโก ฟรังโก ขึ้นมาจากแหล่งท่องเที่ยว เพราะต้องการให้แหล่งอนุสรณ์นี้เป็นพื้นที่รำลึกผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองที่โหดร้ายของสเปน ไม่ใช่พื้นที่รำลึกถึงเผด็จการโหดผู้ชนะในสงคราม

ในเยอรมนีและฝรั่งเศสเองก็มีความไม่พอใจจากฝ่ายขวาจัดที่ต้องแบกรับความผิดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 จากผ่านไปแล้วมากกว่าครึ่งศตวรรษก็ตาม

กรณีของสหรัฐฯ เองการสร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงผู้นำฝ่ายสมาพันธ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันทีลังจบสิ้นสงคราม โมนิกา เฮสเส นักข่าวและนักเขียนสหรัฐฯ กล่าวว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นหลายสิบปีหลังจากจบสงคราม พวกมันเป็นอนุสาวรีย์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในสหรัฐฯ ในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ก่อร่างสหรัฐฯ ขึ้นมา

ในวันที่ 29 พ.ค. ของทุกๆ ปี เป็นวันที่สหรัฐฯ จะรำลึกผู้ที่เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองโดยที่ครอบครัวหรือเพื่อนของผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายจะทำการตกแต่งประดับประดาหลุมฝังศพของผู้ล่วงลับ แต่ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นพื้นที่ของนักการเมืองในรัฐทางใต้ที่พยายามสร้างภาพให้กับฝ่ายสมาพันธรัฐ รูปปั้นบางแห่งที่ตั้งไว้ในสุสานกำลังจะถูกนำออกเช่นรูปปั้นของลี รูปปั้นของลีนี้ยังถูกฝ่ายขวาพยายามโยงเข้ากับบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ แม้ว่ามันจะถูกสร้างสร้างหลังการถือกำเนิดของจอร์จ วอชิงตัน บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ ตัวจริง 152 ปี

เดวิด ไบรท ศาตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลเปิดเผยว่าอนุสาวรีย์ของฝ่ายสมาพันธรัฐถูกสร้างขึ้นมาบูชาประหนึ่งเป็น "พ่อ-ลูก" ผู้ปกปองสิ่งที่คนเล่านั้นเชื่อว่าเป็น "เสรีภาพแบบอเมริกัน" ด้วยการเล่าประวัติศาสตร์แบบแปลกๆ ให้ผู้นำฝ่ายสมาพันธรัฐดูมีสถานะ "เทียบเท่าพระเจ้า" ในยุคสมัยของคนเหล่านั้น เฮสเสบอกว่าผู้สร้างความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่พวกลูกหลานหรือคนรักของทหารผ่านศึกที่เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองแต่เป็นคนรุ่นหลังจากนั้นที่ไม่ยอมอ่อนข้อทางความเชื่อ

ไบรทเปิดเผยอีกว่าการสร้างตำนานให้ผู้นำสมาพันธรัฐสนับสนุนทาสเหล่านี้เองปูทางให้ยุคต่อๆ มามีการเหยียดเชื้อชาติในระดับที่ถูกทำใเป็นสถาบัน รวมถึงจากข้อความหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ เองด้วย เขาเคยอ้างใช้วาทกรรมที่ว่า "พวกสมาพันธรัฐ" ยุคใหม่มีความเจ็บปวดในแบบของคนขาวที่ไม่พอใจประวัติศาสตร์ของผู้ชนะ ท่าทีของทรัมป์ในการวางพวงหรีดแสดงการรำลึกที่สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็พูดถึง "ความกล้าหาญ" ของทหารผู้ออกรบและช่วยกันสร้างชาติโดยไม่ได้ระบุฝ่าย

เทียบกับสุนทรพจน์ของนักปลดปล่อยทาสชื่อเฟรเดอริค ดักลาส ที่สุสานแห่งเดียวกันในปี 2424 ที่ไม่ได้ยกย่องความกล้าหาญแต่พูดถึงความสำคัญของการปกป้องประเทศสหรัฐฯ จากน้ำมือของกลุ่มกบฏที่พยายามสร้างสถาบันทาส แนวคิดเช่นนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในหัวของประธานาธิบดีคนปัจจุบันแต่ดูเหมือนจะตกทอดมาถึงแลนดรูว์

"มันเป็นสิ่งที่จะฉีกประเทศเราออกเป็นชิ้นๆ และกดขี่สหายชาวอเมริกันให้กลายเป็นทาส นี่คือประวัติศาสตร์ที่พวกเราไม่ควรจะลืมแล้วก้เป็นประวัติศาสตร์ที่พวกเขาไม่ควรจะเอาขึ้นไปไว้บนหิ้งเพื่อยกย่องบูชาด้วย" แลนดรูว์กล่าว

เรียบเรียงจาก

The debate over Confederate monuments shows how far the U.S. has to go, Washington Post, 30-05-2017

'It's shameful for Franco's victims': Spanish MPs vote to exhume dictator, The Guardian, 11-05-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Lynching_in_the_United_States

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.