ภาพจากคลิป ณัฐวุฒิ ปราศรัย 23 ม.ค.53 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนการประกาศวันชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้า ซึ่งภายหลังมีการตัดต่อให้ดูเหมือนเป็นการปราศรัยที่ราชประสงค์


Posted: 23 Mar 2018 08:18 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

สืบพยานฝ่ายโจทก์ คดี 24 แกนนำ นปช. ก่อการร้าย ปี 53 เสร็จแล้ว ทนายซักค้าน หลักฐาน ดีเอสไอ งัดคลิปปราศรัยของ ณัฐวุฒิ ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี โต้ พร้อมคลิปปราศรัยยุติชุมนุมที่ราชประสงค์ ที่ให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน

24 มี.ค.2561 คมชัดลึกออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายคดี 24 แกนนำ นปช.ก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 70 ปี อดีตประธาน นปช., จตุพร พรหมพันธุ์ อายุ 53 ปี ประธาน นปช., ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 43 ปี อดีต รมช.พาณิชย์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เหวง โตจิราการ อายุ 67 ปี, ยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 60 ปี, อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อายุ 54 ปี แกนนำและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 24 คน เป็นจำเลยที่ 1- 24 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายฯ จากการชุมนุมปี 2553

รายงานข่าวระบุว่า การสืบพยานโจทก์วันนี้ อัยการนำ วิโรจน์ ทูคำมี เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานในคณะของพนักงานสอบสวน มาให้ฝ่ายทนายความจำเลย ได้ซักค้านเป็นนัดที่ 2 ซึ่งมีการเปิดคลิปวิดีโอการปราศรัยของ ณัฐวุฒิ จำเลยที่ 3 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 23 ม.ค.53 ขึ้นมาประกอบการซักค้านด้วย โดยเป็นคลิปที่ ณัฐวุฒิ พูดทำนองว่า ถ้าคุณยึดอำนาจให้เผาไปเลยพี่น้อง โดยทนายความจำเลยได้ซักพยานโจทก์เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่การปราศรัยที่ราชประสงค์ และเป็นการบอกเงื่อนไขว่าถ้าหากเกิดรัฐประหารขึ้น แต่หลังการปราศรัยดังกล่าวก็ไม่เกิดการรัฐประหาร และแม้เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ก็ไม่มีการเผา ขณะเดียวกันก็มีการเปิดคลิปที่ ณัฐวุฒิ ปราศรัยยุติการชุมนุมที่ราชประสงค์ด้วย เพื่อยืนยันว่าในวันดังกล่าว ณัฐวุฒิ บอกให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งทนายความจำเลยก็ได้ซักถามพยานปากนี้จนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลจึงกำหนดนัดพร้อมคดีนี้ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. เพื่อจะสอบถามความพร้อมของจำเลยในการนำพยานเข้าสืบต่อสู้คดี


วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของจตุพร เปิดเผยว่า หลังสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จแล้ว ต่อไปจำเลยจะให้พยานเข้าสืบซึ่งเตรียมกันไว้ประมาณ 100 กว่าปาก โดยก่อนจะเริ่มสืบพยานจำเลย ศาลก็ได้นัดพร้อมคู่ความก่อนเพื่อบริหารจัดการเวลาในการสืบพยาน ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มสืบพยานโจทก์ต่อเนื่องมา แต่ที่เวลาหลายปีก็มีพยานโจทก์ช่วงหลังที่เลื่อนเวลาการสืบพยานบ้างโดยพยานที่อัยการนำสืบนั้นก็มีไม่ถึง 100 ปากจากเดิมที่เคยเสนอไว้ 300 ปาก

อย่างไรก็ดีสำหรับพยานโจทก์ปากสุดท้ายนี้ก็ไม่ใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว แต่ฝ่ายอัยการนำมาเบิกความเพื่อรับรองพยานเอกสารบางอย่างที่มีการนำส่งต่อศาล ซึ่งเราก็จะพิสูจน์ให้เห็นหลายประการว่า การสอบสวนของดีเอสไอ เเละมติของดีเอสไอ สมัย สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ผอ.ศอฉ.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ส่วนความมั่นใจในการต่อสู้คดีนั้น ตนมั่นใจมาตั้งเเรกอยู่เเล้ว เนื่องจากเป็นการตั้งข้อหาที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งพฤติการณ์ตามทางสืบพยานของโจทก์ เราเห็นถึงข้อพิรุธหลายเรื่องเเต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล อย่างไรก็ดีฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้หนักใจอะไร

ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า การซักค้านพยานโจทก์ในคดีนี้มาถึงครึ่งทางแล้วแต่ที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม กปปส.มีความพยายามเรียกร้องให้แยกจำเลยโดยไม่นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแต่ของ นปช.กลับมีการนำมารวมกันหมดเป็นคดีเดียวกันซึ่งบางครั้งจำเลยไม่รู้จักกัน เช่น คนที่ทำงานอยู่กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลหรือ เสธ.เเดงนั้น บางคนก็ไม่รู้จักกันส่วนตัวจึงตั้งข้อสังเกตว่าในคดีของ กปปส.นั้นจำเลยรู้จักกันแต่ยังขอแยกไม่ให้นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า จำเลยคดีก่อการร้าย 24 คน ประกอบด้วย วีระ มุสิกพงศ์ อายุ 70 ปี, จตุพร พรหมพันธุ์ อายุ 53 ปี , ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 43 ปี , เหวง โตจิราการ อายุ 67 ปี , ก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 53 ปี , ขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา อายุ 66 ปี , ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก อายุ 60 ปี , นิสิต สินธุไพร อายุ 62 ปี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย , การุณ หรือ เก่ง โหสกุล อายุ 51 ปีอดีต ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย , วิภูแถลง พัฒนภูมิไท อายุ 67 ปี , ภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง อายุ 58 ปี อดีตลูกน้องคนสนิทเสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) , สุขเสก หรือสุข พลตื้อ อายุ 42 ปี , จรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล อายุ 47 ปี การ์ด นปช. , อำนาจ อินทโชติ อายุ 62 ปี อดีตทหารพราน ฉายามือปืน 9 นิ้ว , ชยุต ใหลเจริญ อดีตหัวหน้าการ์ด นปช. , สมบัติ หรือแดง หรือผู้กองแดง มากทอง อายุ 56 ปี , สุรชัยหรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 33 ปี คนสนิท เสธ.แดง , รชต หรือกบ วงค์ยอด อายุ 37 ปี อดีตลูกน้อง เสธ.แดง , ยงยุทธ หรือบัง ท้วมมี อายุ 60 ปี ผู้ติดตาม เสธ.แดง จำเลยที่ 1-19 คดีหมายเลขดำที่ อ.2542/2553

อร่าม แสงอรุณ อายุ 57 ปี หัวหน้าการ์ด นปช. อดีตลูกน้องคนสนิท เสธ.แดง จำเลยคดี อ.4339/2553 , เจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ อายุ 37 ปี อดีตคนสนิท เสธ.แดง , สมพงษ์ หรืออ้อ หรือแขก หรือป้อม บางชม และนายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง อายุ 57 ปี กลุ่มการ์ด นปช. จำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.757/2554และ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อายุ 54 ปี จำเลย คดีหมายเลขดำที่ อ.4958/2554
ซึ่งถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ โดยมีความมุ่งหมายขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้กระทำการใดหรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3-20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท – 1 ล้านบาท , ขู่เข็ญว่าจะทำการก่อการร้าย โดยสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือตระเตรียมการสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ตาม ม.135/2 ระวางโทษ 2-10 ปี ปรับตั้งแต่ 40,000 -200,000 บาท ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินฯ ม.116 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี , มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ หรือเป็นหัวหน้าสั่งการฯ ม.215 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำแล้วไม่เลิก ม.216 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ,ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 6 ข้อหา

ซึ่งอัยการยื่นฟ้องต่อศาล เมื่อวันที่ 11 ส.ค.53 โดยระบุพฤติการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 20 พ.ค.53 กลุ่มจำเลยที่เป็นแกนนำ นปช. ได้ปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุม และทำกิจกรรม โดยมุ่งหมายต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจำเลยกับพวกจัดให้มีการชุมนุม และสะสมกำลังพล อาวุธสงครามร้ายแรง โดยจำเลยกับพวกฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ บุกรุกเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ และยิงระเบิดใส่สถานที่ต่าง ๆ ปิดถนนตั้งด่านสกัดตรวจค้นยานพาหนะ ก่อให้ความวุ่นวายและความไม่สงบในบ้านเมือง ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้ทุกข้อกล่าวหา ขณะที่จำเลยได้ประกันตัวคนละ 600,000 บาท พร้อมถูกกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และห้ามมิให้จำเลยกระทำการอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน วุ่นวายในบ้านเมือง หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่จะทำให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโดยคดีนี้ได้เริ่มสืบพยานนัดแรกเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.55 ที่มี พ.อ.ธนากร โชติพงษ์ นายทหารปฏิบัติการ กรมข่าวทหารบก เบิกความเป็นปากแรกสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มาของการชุมนุม พฤติการณ์การชุมนุมและความเสียหายที่เกิดขึ้น

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ปัจจุบันจำเลย 24 คน มี 3 คนที่ถูกคุมขังในเรือนจำรับโทษคดีอื่น ศาลจึงเบิกตัวมาร่วมฟังการสืบพยาน ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มี "จตุพร ประธาน นปช." และ "ขวัญชัย ไพรพนา" โดย จตุพร ที่มีร่างกายซูบผอมลงเเต่ สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือทักทายสื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมารอให้กำลังใจ ส่วนจำเลยที่เหลือในกลุ่ม แกนนำ-แนวร่วม ซึ่งได้ประกันตัวรวม 21 คนก็มาศาลพร้อมเพรียง

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.