Posted: 25 Mar 2018 09:05 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ธนาพล อิ๋วสกุล

ระบบการนับคะแนนในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ อาจดูว่าเอื้อประโยชน์ต่อพรรคเล็กเพราะทุกคะแนนมีความหมาย แม้จะแพ้ในเขตเลือกตั้ง แต่ก็สามารถเอาไปรวมเป็นคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อได้ เช่นถ้าได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อในการเลือกตั้ง 2554 จำนวน 1 ล้านคะแนน การเลือกตั้งระบบเดิมได้ 4 ที่นั่ง แต่การเลือกตั้งระบบใหม่จะได้ ส.ส. 13-14 ที่นั่งเลยทีเดียว

แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพียงมายาคติว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเอื้อต่อพรรคเล็กหรือพรรคการเมืองหน้าใหม่เพราะนั่นคือระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียวนั่นเอง

.........

ถ้านับจากการเลือกตั้ง 2544 เป็นครั้งแรกที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ด้วยแนวคิด เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ

การเลือกตั้ง 6 ครั้งล่าสุด 2544, 2548, 2549, 2550, 2554, 2557 (2 ครั้งโดนศาลตัดสินว่าเป็นโมฆะ คือ 2548,2557) ก็ยืนหลักการนี้มาตลอด

ถ้าจะมีการเลือกตั้งที่แตกต่างไปบ้างก็คือการเลือกตั้้ง ปี 2550 ที่เปลี่ยนระบบเขตจาก เขตเดียวคนเดียว มาเป็นระบบ เขตเล็ก เรียงเบอร์ และระบบบัญชีรายชื่อแบ่งเป็น 8 กลุ่มกลุ่มละ 10 คน) แต่นั่นก็ยังเป็นระบบการเลือกตั้ง ที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ด้วยแนวคิด เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ

ผลของการที่ใช้ระบบดังกล่าวคือการสนับสนุนพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่มีฐานะเสียงกระจายอยู่ทั่วประเทศ และไม่ประสงค์จะส่ง ผู้สมัคร ส.ส.เขต (แน่นอนว่าการเลือกตั้ง 3 ครั้งแรกที่ใข้รัฐธรรมนุญ 2540 ทำให้พรรคที่ได้ไม่ถึง 1 % หรีือ 5 คน คะแนนตกน้ำ เช่นพรรคถิ่นไทยในปี 2544 หรือพรรคมหาชนในปี 2548 )

เช่นกรณี พรรครักประเทศไทย ของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้คะแนนระบบบัญชีรายชื่อ 998,603 คะนแน คิดเป็น 0.8% ของคะแนนทั้งประเทศ และได้ส.ส. 4 คน โดยที่ พรรครักประเทศไทยไม่ต้องส่ง ส.ส. เขตให้เหนื่อยเลย

จึงเป็น "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โมเดล" ให้พรรคขนาดเล็กจำนวนหนึ่งสนใจที่จะนำมาใช้


แต่การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ว่าจะเป็นปี 2561 2560 หรือปีใดก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนุญ 2560 ถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง แม้จะม่ี 2 ระบบเหมือนเดิมคือ ระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ แต่จะมีบัตรเลือกตั้งใบเดียว ถือเป็นการปิดฉากแนวคิด เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละเขตเลือกตั้งก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

จากปี 2544, 2548, 2549, 2550 มี ส.ส.เขต 400 คน ปี 2554, 2557 มี ส.ส.เขต 375 คน

แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมี ส.ส.เขตเพียง 350 คน ซึ่งหมายความว่า เขตเลือกตั้งจะใหญ่ขึ้น

ซึ่งหมายความว่าผู้สมัครก็จะเหนื่อยในการหาเสียงขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

เมื่อมารวมกับการที่ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว ทำให้ประชาชนไม่สามารถ เลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบได้อีกต่อไป ถ้าพรรคการเมืองขนาดเล็กไม่ส่งผู้สมััครลง ระบบเขต

ถ้ามีความขัดแย้งที่ประชาชนต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนว่า ส.ส.ในระบบเขตที่ใกล้ชิดกับประชาชนจะเป็นตัวเลือกอันดับแรก พรรคที่ใช่ก็อาจจะไม่ได้รับเลือก

เลือกคนที่รัก (แต่ไม่ได้)เลือกพรรคที่ชอบ

ขณะที่ พรรคการเมืองที่มีแนวคิดแบบ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โมเดล" ที่เคยได้คะแนนจากระบบบัญชีรายชื่อเพียงอย่างเดียว 998,603 คะแนน นั้นก็มีความยุ่งยากมากขึ้น เพราะ

1. จะต้องส่งผู้สมัครให้ครบ 350 เขต

ตัวเลขที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร ลองคำนวนดู แม้จะเป็นพรรรคเล็กก็อาจจะใช้ 40 - 50 ล้า่น ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมการจัดการอย่างน้อย 1 ปีก่อนเลือกตั้ง ไม่้ว่าจะเป็น ค่าสำนักงาน ค่าจ้างพนักงาน หรืออื่น ๆ

‘สมชัย’ คำนวณค่าใช้จ่ายโชว์ บอกไปคิดใหม่ ใครบอกการเมืองแค่การมีส่วนร่วม ปชช.
https://www.matichon.co.th/news/863712

2. ระบบเบอร์ผู้สมัครที่แตกต่างไปตามเขตเลือกตั้ง ซี่งในการเลือกตั้งครั้งหลังสุดมีแต่ปี 2550 ที่ระบบเลือกตั้งต่างออกไป ที่ ส.ส.ระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ใข้เบอร์ต่างกัน เป็นเพราะระบบเขตเล็ก เรียงเบอร์

แต่การเลือกตั้งทั้งหมดหลังปี 2544 ใช่้ระบบเบอร์เดียวทั้งนั้น

การเลือกตั้งระบบนี้ อาจจะไม่ยุ่งยากสำหรับพรรคการเมืองเก่าที่มีนักการเมืองเดิม หัวคะแนนเดิมอยู่แล้ว

แต่สำหรับพรรคการเมืองหน้าใหม่เช่น พรรคเสรีรวมไทย ของ เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส พรรคสามัญชน นำโดย กิตติชัย งามชัยพิสิฐ พรรคเกรียน นำโดย สมบัติ บุญงามอนงต์ หรือพรรคอนาคตใหม่ ที่นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็จะประสบความยุ่งยากในการหาเสียงเป็นอันมาก เช่น กรุงเทพ 36 เขต ก็อาจจะ 36 เบอร์ แบ่งไปตามเขต ถ้าจะเลือก พรรคเสรีรวมไทย ของเสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส เป็นต้น

กลายเป็นว่า พรรคการเมืองที่อาจจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากระบบเลือกตั้งนี้คือพรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองเก่า ขนาดกลาง ที่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 แทบทุกเขตในอีสาน

ในครั้งนี้คะแนนที่แพ้ จะไม่ "ตกน้ำ" แต่จะเอาไปรวมไว้ที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้วิเคราะห์เมื่อ 2 วันก่อนว่า เขาประเมินว่าทางพรรคภูมิใจไทยอาจจะถึง 80 ที่นั่งเลยที่เดียว เมื่อรวมกับ ส.ส.ที่รวบรวม / ควบรวมจากที่อื่นมาด้วย
ดังนั้น ระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว หายนะภัยสำหรับพรรคการเมือง "หน้าใหม่"



แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.