Posted: 01 Sep 2018 02:08 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sat, 2018-09-01 16:08


ใบตองแห้ง

พลันที่มีข่าวเฌอปราง BNK48 จะเข้าทำเนียบพบ “ลุงตู่” รับประกาศนียบัตรขอบคุณ ที่ยินดีเป็นพิธีกรเดินหน้าประเทศไทย โดยไม่รับค่าตอบแทน เหล่าโอตะผู้รักประชาธิปไตยในโลกออนไลน์ ก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ ยัวะเฌอปรางว่ารับใช้เผด็จการ และฝั่งที่เห็นใจ ว่าเมื่อผู้มีอำนาจต้องการ เธอมีสัญญาผูกมัดกับบริษัทก็ปฏิเสธไม่ได้

ทำไมต้องเป็นเฌอปราง ทำไมไม่เกิดกระแสกับดาราคนอื่น น่าจะเพราะ BNK เป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเสพสื่อใหม่ ไม่ดูทีวีไม่ดูละครหลังข่าวกันแล้ว

ยิ่งกว่านั้น “จุดขาย” ของ BNK ยังเป็นการทำให้ไอดอลดู “มีสมอง” มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง เรียนเก่ง เป็นนักวิจัย เป็นนักวิทยาศาสตร์ สนใจประเด็นทางสังคม รักสัตว์ป่า รัก สิ่งแวดล้อม ปกป้องสิทธิสตรี เคารพสิทธิส่วนบุคคล หรือบางคนก็อยากมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญ จนทำให้ “ฝ่ายก้าวหน้า” จำนวนหนึ่งเป็นปลื้ม

แต่อันที่จริง BNK ก็ไม่เคยแสดงทัศนะต่อประเด็นแหลมคม ไม่ว่าทางการเมืองหรือสังคม ซึ่งเข้าใจได้ ธุรกิจไอดอลอยู่บนความนิยม จะยุ่งกับปมขัดแย้งได้อย่างไร ก็พูดได้แต่เรื่องสวยๆ กว้างๆ เท่านั้น

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เรื่องรักเด็กรักษ์โลกรักษ์ สิ่งแวดล้อม ไม่รังเกียจคนจน อะไรเทือกนี้ เป็นประเด็นตื้นๆ ที่ดาราเซเลบใช้พรีเซนต์มา 20-30 ปี ตั้งแต่สมัย ปุ๋ย รักเด็ก เพียงยกระดับไปตามยุคสมัยเท่านั้น

ฉะนั้นมองมุมไหน ก็ไม่เห็นต้องผิดหวังหรือตีโพยตีพายกับเฌอปราง ทำไมต้องคิดว่าเธอเป็นฝั่งไหน เธอเป็นแค่ไอดอลที่เดี๋ยวก็จบการศึกษา วันหนึ่งข้างหน้าก็อาจจบ ดร. มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ สสวท. เธอชอบหรือไม่ชอบลุงตู่ ก็เก็บไว้ในใจ เรื่องอะไร จะต้องแสดงออกให้ตัวเองเดือดร้อน สังคมไทยก็เป็นแบบนี้
เออ ถ้าเป็นมันแกว นมคุณธรรม ไปออกเดินหน้าประเทศไทยสิ โป้งเลย ผิดหวังอย่างแรง


พูดอย่างนี้ไม่ใช่บอกให้อยู่เฉยๆ ใครไม่เห็นด้วยก็เลิกติดตาม เลิกเป็นโอตะ หรือแสดงออกว่าไม่ยอมรับนะ คุณไปจับมือ คนที่เราต่อต้าน เราไม่จับมือคุณ ฯลฯ เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องโกรธ และเข้าใจ ที่สำคัญคือเข้าใจทางเลือกของชีวิตคน ในวิถีสังคมไทย รวมถึงเข้าใจยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้กุมอำนาจ

2-3 สัปดาห์ก่อนมีอดีตนักศึกษาฝ่ายก้าวหน้า โพสต์เตือนเพื่อนนักกิจกรรมว่า การต่อต้านเผด็จการไม่ใช่หน้าที่ เพราะประเทศนี้ไม่ได้ใจกว้าง การเคลื่อนไหวอาจกระทบชีวิตการงาน อนาคต ยิ่งถ้าต้องเดือดร้อนหาเงินประกันตัว แม้ประเทศนี้ต้องการผู้เสียสละ แต่ครอบครัวและคนที่คุณรัก อาจไม่พร้อมไม่ใจกว้างพอให้เสียสละ

แหงละ โดนด่าขรมเลย ทั้งที่ไม่เห็นด้วยก็น่าจะเข้าใจได้ ไปถามอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ หรือญาติวีรชนทุกยุคทุกสมัยสิ ว่ารู้สึกอย่างไร สังคมไทยคนเสียสละมีแต่ตายฟรี คนสอพลอบริกร รู้หลบเป็นหลีกมีแต่ได้ดี

ยิ่งโลกเปลี่ยนไป ชีวิตคนมีทางเลือกหลากหลายขึ้น แม้ความรักประชาธิปไตยเป็นหนึ่งในนั้น ก็ไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สำคัญ อุดมการณ์ประชาธิปไตยไม่ได้เชื่อในการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน แบบ “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ” ไม่สามารถทำให้คนพร้อมยอมตายแบบอุดมการณ์จารีตคลั่งชาติศาสนา เว้นแต่ถูกย่ำยีบีฑาจนหมดทางเลือก

เผด็จการรัฐพันลึก แม้ไม่ฉลาด แต่ก็รู้จักสังคมไทยดี รู้วิธีสร้างอำนาจบังคับ จับกุมคุมขังตั้งข้อหา ปรับทัศนคติ แต่ “ไม่มีใครตาย” ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารไม่เป็นไร ให้อยู่เฉยๆ ก็ยังทำมาหากิน ใช้ชีวิตชิกๆ ชิลชิลได้ แม้อาจมีคนไม่ชอบไม่พอใจจำนวนมาก ก็ไม่มีทางออก บนพื้นฐานที่สังคมแตกแยก หาฉันทามติไม่ได้ คนจำนวนหนึ่งหนุน คนจำนวนมากกว่า ยึดประโยชน์เฉพาะหน้า ก็หยวนยอมไป

ความหวังของผู้กุมอำนาจ คือหวังว่าหลังจากอยู่อย่างนี้ 5 ปี อยู่ใต้การสืบทอดอำนาจอีก 5 ปี คนไทยจะชินไปเอง ลืมแล้วว่าเคยมีเสรีภาพประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่เติบโตมาก็จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักวิจัย เป็น AI สตาร์ตอัพ สร้างตัวสร้างฐานะ รักพ่อรักแม่รักครอบครัว รักสิ่งแวดล้อม ขี่จักรยาน เคารพสิทธิ ผู้อื่น สิทธิสตรี สิทธิ LGBT สิทธิคนพิการ เป็นคนดี รู้จักหน้าที่ มีวินัย

แต่สิ่งที่อยากลบหายไปคือความคิดต่อต้านระบบ ทวงอำนาจ ตั้งคำถามถึงโครงสร้างอำนาจ และความเหลื่อมล้ำ

นั่นแหละสิ่งที่ผู้มีอำนาจอยากให้ BNK เป็น อยากให้คนรุ่น ต่อไปเป็น ซึ่งก็มีคำถามว่าทำได้จริงหรือ แถมยังต้องคงอำนาจให้เป็นเอกภาพ กุมสภาพบังคับ ในระดับนี้ไปอีกนาน ต่อให้สืบทอดอำนาจได้ ก็ไม่ใช่จะกุมได้ทุกอย่าง



ที่มา: www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1515646

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.