สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15-21 ธ.ค. 2559
Posted: 21 Dec 2016 05:22 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
จังหวัดลำพูนเปิดโครงการสร้ างความปรองดองสมานฉันท์ระหว่ างนายจ้างกับลูกจ้าง
ที่หอประชมองค์การบริหารส่วนจั งหวัดลำพูน สำนักงานสวัสดิการและคุ้ มครองแรงงานจังหวัดสำพูน ได้จัดโครงการสร้ างความปรองดองสมานฉันท์ระหว่ างนายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อส่งเสริมให้ความรู้ด้ านแรงงาน และสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ โดยมีนายมนัส อ่ำทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธาน
นางวันทนา จันทร์เกตุ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจั งหวัดลำปาง ผู้แทนคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติ การแรงงานสัมพันธ์ภาคเหนือ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ ความรู้ ความเข้าใจด้านแรงงานที่ถูกต้อง และเสริมสร้างแรงงานสัมพันธ์ โดยมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุ กในการเสริมสร้ างความปรองดองสมานฉันท์ลดความขั ดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้ างในสถานประกอบกิจการ สร้างความรักความสามัคคี ให้กับนายจ้างกับลูกจ้าง ในการร่วมสร้างสรรค์เศรษฐกิ จของประเทศใน ป้องกันปัญหาด้านแรงงาน รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่ นและบรรยากาศการลงทุ นของประเทศให้มากขึ้น โดยกิจกรรมในงานประกอบด้วย การร่วมสานดวงใจเป็นหนึ่งเดี ยวของนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ร่วมงาน กล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุ ณและถวายความอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ พลอดุลยเดช การจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ การรับบริจาคโลหิต การจัดนิ ทรรศการของสถานประกอบการกิจการ การให้บริการของหน่วยงานในสังกั ดกระทรวงแรงงาน การจำหน่ายสินค้าราคาถู กและการบรรยายพิเศษเรื่อง “แรงงานสัมพันธ์ 4.0 การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นายจ้างลงทุน ลูกจ้างลงแรง “ โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่จากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จำนวน 500 คน
พาณิชย์เผยยอดจดทะเบียนเลิ กประกอบธุรกิจ เดือน พ.ย.59 เพิ่ม 51%
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2559 มีผู้ประกอบธุรกิจ ยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริ ษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ 5,799 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 5,092 ราย โดยเพิ่มขึ้น 707 ราย คิดเป็น 14% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกั นของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 4,520 ราย เพิ่มขึ้น 1,279 ราย คิดเป็น 28%
ขณะที่มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้ งใหม่เดือนพฤศจิกายน 2559 มีจำนวนรวม 16,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,284 ล้านบาท คิดเป็น 9% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งมีจำนวน 14,720 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 280 ล้านบาท คิดเป็น 2% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีจำนวน 15,724 ล้านบาท
ส่วนจดทะเบียนเลิกในเดือนพฤศจิ กายน 2559 มีจำนวน 2,397 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 1,588 ราย โดยเพิ่มขึ้น 809 ราย คิดเป็น 51% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกั นของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 2,722 ราย ลดลง 325 ราย คิดเป็น 12% และมูลค่าทุนจดเลิก เดือนพฤศจิกายน 2559 มีจำนวนรวม 8,229 ล้านบาท ลดลง จำนวน 5,758 ล้านบาท คิดเป็น 41% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งมีจำนวน 13,987 ล้านบาท และมีมูลค่าลดลง 79,164 ล้านบาท คิดเป็น 91% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีจำนวน 87,393 ล้านบาท ผลจากผู้ค้าฉลากยกเลิก
อย่างไรก็ดี ภาพรวมของการจดทะเบียนการจัดตั้ งนิติบุคคลช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน 2559) จำนวน 59,878 ราย เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกั นของปี 2558 (มกราคม-พฤศิกายน 2559) คิดเป็น 5% โดยเป็นผลมาจากการจดทะเบียนธุ รกิจร้านขายทองที่รัฐ มีนโยบายส่งเสริมให้จดทะเบี ยนเป็นนิติบุคคล มีจำนวนสูงถึง 1,341 ราย ในปีนี้ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้ านอัตราภาษีมากกว่าผู้ ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา ส่วนจดเลิก ช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2559) จำนวน 15,820 ราย ลดลง จากช่วงเดียวกันของปี 2558 (มกราคม-พฤศิกายน 2559) คิดเป็น 6%
สำหรับประเภทธุรกิจที่จดทะเบี ยนจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ จำนวน 803 ราย ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 649 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 351 ราย ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร จำนวน 120 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจั ดการ จำนวน 115 ราย
ส่วนห้างหุ้นส่วนบริษัทจดทะเบี ยนจัดตั้งทั้งสิ้น จำนวน 1,355,900 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 20.42 ล้านล้านบาท โดยมีห้างหุ้นส่วนบริษัทที่ ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 646,460 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 15.77 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 466,230 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,152 ราย และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่ วนสามัญนิติบุคคล 179,078 ราย
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาครั ฐในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ ยว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจก่อสร้ างอาคารทั่วไป และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกั บการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ให้มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้ งเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ และคาดว่าภาพรวมการจดทะเบียนจั ดตั้งทั้งปีจะสูงประมาณ 63,000-65,000 รายได้
ส่วนแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิ จในปี 2560 ยังคงตั้งเป้าหมายการจดทะเบี ยนจัดตั้งนิติบุคคล เฉลี่ยได้สูง 65,000 รายใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้ผลักดันให้ เข้ามาสู่ระบบนิติบุคคลคนเดียว นโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐ และคาดว่าร้านขายทอง ร้านขายยาที่จะเข้าระบบก็ จะทำให้การจดทะเบียนเพิ่มขึ้นด้ วย
เครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติ แถลงรายงานสถานการณ์การโยกย้ ายถิ่นฐานสากล พร้อมจัดเสวนาแนวทางจัดการต่อผู้ โยกย้ายถิ่นฐานในไทย
เครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้ านประชากรข้ามชาติ แถลงรายงานสถานการณ์การโยกย้ ายถิ่นฐานสากล ปี 2559 และเสวนาในหัวข้อแนวทางการจั ดการคนย้ายถิ่น แรงงานข้ามชาติ และผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทย “ไปไม่สุด หยุดไม่ได้ ไกลเกินถอย” เนื่องในวันผู้โยกย้ายถิ่ นฐานสากล ประจำปี 2559 ที่ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย
นายอดิศร เกิดมงคล จากเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้ านประชากรข้ามชาติ เผยถึง 5 สถานการณ์หลักการโยกย้ายถิ่ นฐานตลอดปี 2559 ที่เกิดขึ้นในไทย ประกอบด้วย นโยบายการจัดระบบแรงงานข้ามชาติ ปี 2559 การเลื่อนขั้นจากรายงานด้ านการค้ามนุษย์ของสหรัฐไปเป็นบั ญชีประเภท 2 ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ การจัดการประเด็นโรฮิงญา และผู้ย้ายถิ่นเพื่อแสวงหาที่ลี้ ภัยของไทย การเดินทางเยือนไทยของนางออง ซาน ซู จี และการลงนามใน MoU 3 ฉบับ และ การคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ
การเสวนาครั้งนี้ พูดคุยถึงประเด็นที่น่าสนใจอี กหลายเรื่อง เช่น การปกป้องคุ้มครองสิทธิ แรงงานบนเรือประมง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ ภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน การปกป้องคุ้มครองแรงงานที่ ทำงานในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิและสวัสดิ การพื้นฐานที่แรงงานพึงได้รับ นโยบายทางเลือกอื่นที่นอกเหนื อจากการกักขังผู้ลี้ภัย ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พั กพิงชั่วคราว 9 แห่งในจังหวัดชายแดนไทย-เมี ยนมาร์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง และผู้ที่ถูกกักขังเพื่อรอการส่ งตัวไปยังประเทศที่สาม และทางเลือกในการจัดการการโยกย้ ายถิ่นฐานไม่ปกติของชาวโรฮิงญา โดยเฉพาะเหตุการณ์ความรุ นแรงในรัฐยะไข่ ซึ่งอาจส่งผลให้ชาวโรฮิงญาลี้ภั ยเข้าไทยอีกครั้งในปีหน้า
กรมการจัดหางาน คาดปีหน้าเตรียมส่ งแรงงานไทยไปทำงานเกาหลีช่วง ก.พ. 2560 หลังผ่านการทดสอบทั กษะและภาษาเผย 2 ปี ส่งคนไทยไปทำงานกว่า 6.1 หมื่นคน
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากที่กรมฯได้เปิ ดทดสอบภาษาเกาหลีและทั กษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 1 เพื่อหาผู้ที่สนใจสมั ครไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบ EPS ขณะนี้มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวน 1,200 คน ในประเภทกิจการเกษตรและปศุสัตว์ 900 คน กิจการก่อสร้าง 300 คน และวานนี้ (15 ธ.ค.59) มีผู้มารายงานตัวพร้อมยื่ นเอกสารเพื่อจัดทำรายชื่อให้ นายจ้างเกาหลีคัดเลือกจำนวน 1,191 คน โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถจัดส่ งแรงงานไทยให้ไปทำงานได้ช่วงเดื อน ก.พ.60
อย่างไรก็ตามการจัดส่ งแรงงานไทยไปทำงานที่สาธารณรั ฐเกาหลี เดิมใช้วิธีการสอบผ่ านความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-TOPIK) เพียงอย่างเดียว แต่ในปี 59 เกาหลีได้ปรับระบบการคัดเลื อกแรงงานต่างชาติด้วยระบบ (Point System) ซึ่งเป็ นการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และใช้การคัดเลื อกจากคะแนนรวมในภาคทฤษฎี ทดสอบภาษาเกาหลี และภาคปฏิบัติคือ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ทดสอบทักษะพื้นฐาน และสัมภาษณ์
รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยอีกว่า ตั้งแต่ปี 47 จนถึงเมื่อวันที่ (30 พ.ย.59) ขณะนี้กรมฯได้จัดส่ งแรงงานไทยไปทำงานที่เกาหลี ตามระบบ EPS แล้วจำนวนทั้งสิ้น 61,504 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเภทกิ จการอุตสาหกรรม รองลงมาเกษตร ปศุสัตว์ และก่อสร้างตามลำดับ
ก.แรงงาน ดูแลลูกจ้าง ‘เหมืองอัครา’ หาตำแหน่งงาน-ฝึกอาชีพ-คุมจ่ ายเงินชดเชย
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่ งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งที่ 72/2559 ให้ระงับการประกอบกิจการของเหมื องแร่ทองคำตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2559 นั้น ทำให้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ ทองคำได้ทยอยลดจำนวนพนักงานลงตั้ งแต่กลางปีที่ผ่านมา โดยจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุ มภาพันธ์ 2560 กระทรวงแรงงานได้เข้าไปดูแลพนั กงานที่ได้รับผลกระทบ และได้ติดตามมาตลอดเพื่อให้เป็ นไปตามแผนการช่วยเหลือพนักงานทั้ งหมด ซึ่งพบว่า บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้ มครองแรงงานถูกต้องทุกประการจึ งไม่พบว่ามีข้อร้องเรียนใดๆ จากพนักงานกรณีไม่ได้รับสิทธิ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สำหรับบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด มีพนักงานทั้งสิ้น 355 คน ขณะนี้มีการเลิกจ้างพนั กงานไปแล้ว 58 คน ได้รับเงินชดเชยไปแล้วเกือบ 12 ล้านบาท ในจำนวนนี้ผู้ถูกเลิกจ้าง 56 คน ได้เข้ารับบริการจากสำนักงานจั ดหางานจังหวัด และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวั ดที่เข้าไปสำรวจความต้องการ ซึ่งมี 4 คน ที่ได้งานใหม่ทำแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิ จารณาตำแหน่งงานเพื่อให้ตรงกั บความสามารถและคุณวุฒิ โดยในพื้นที่ดังกล่าวมีตำแหน่ งงานว่างกว่า 400 อัตรา กรณีการเลิกจ้างลูกจ้างจะได้รั บสิทธิค่าชดเชยประกันการว่ างงานเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้มีอายุ 55 ปี ได้ใช้สิทธิบำนาญชราภาพจากประกั นสังคม ส่วนบริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่ อสร้าง จำกัด ซึ่งมีพนักงานอีก 442 คน ที่จะต้องได้รับเงินชดเชยราว 46 ล้านบาท โดยทั้งหมดจะถูกยุติการจ้ างงานในสิ้นปีนี้ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีแผนการช่ วยเหลือรองรับพนักงานเหล่านี้ทั้ งหมด
นายวรานนท์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีพนักงานทั้ง 2 บริษัท ที่ยังคงมีสภาพการจ้างอยู่อีก 747 คน คิดเป็นเงินชดเชยกว่า 395 ล้านบาท ส่วนประชาชนที่อยู่ในชุมชนรอบข้ างในพื้นที่ จ.พิจิตร และ จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้รับผลกระทบตามมานั้น กระทรวงแรงงานจะดำเนินการเข้ าไปช่วยเหลือในด้านการพัฒนาฝีมื อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้ านอาชีพ โดยปกติในแต่ละปีจะจั ดสรรงบประมาณให้จังหวัดละ 3-5 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้อยู่ระหว่ างการประสานเพื่อขอรับการจั ดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวั ดมาสมทบช่วยเหลือประชาชนอี กจำนวนหนึ่ง
กรมการจัดหางาน ปล่อยกู้เงินกองทุนเพื่อผู้รั บงานไปทำที่บ้านแล้วกว่า 25 ล้านบาท ช่วยสร้างรายได้แก่ผู้รั บงานไปทำที่บ้านมากกว่าปีละ 87 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รั บงบประมาณเงินกองทุนเพื่อผู้รั บงานไปทำที่บ้าน ในลักษณะทุนหมุนเวียน เพื่อให้กลุ่มผู้รับงานไปทำที่ บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิตหรือขยายการผลิต เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้ และโอกาสมีงานทำแก่ผู้รั บงานไปทำที่บ้านได้มีรายได้เลี้ ยงดูครอบครัวอย่างยั่งยืน ซึ่งตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีการปล่อยกู้แล้ว จำนวน 291 กลุ่ม เป็นเงิน 25,881,000 บาท ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รั บงานไปทำที่บ้านไม่ต่ำกว่าปีละ 87,300,000 บาท สำหรับในปีงบประมาณ 2560 มีแผนการปล่อยกู้เงินกองทุนฯ จำนวน 5 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้ าน 50 กลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้ แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านเพิ่มขึ้ นไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็ นไปตามนโยบายของกระทรวงแรงงานแล ะรัฐบาลในการสนับสนุนการสร้ างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน
คุณสมบัติของผู้กู้ จะต้องเป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่ บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจั ดหางาน มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5 คน มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน ทำงานร่วมกันมาแล้วไม่น้อยว่า 3 เดือน มีทรัพย์สินหรือทุนรวมกันไม่น้ อยกว่า 10,000 บาท และมีสถานประกอบการที่ชัดเจน สามารถติดต่อได้ ซึ่งจะให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดเงินต้น 4 เดือน ชำระคืนภายใน 5 ปี โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร
เจ้าหน้าที่คงเดินหน้าค้นหา 2 คนงานที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารที่ ถล่มลงมาในซอยสุขุมวิท 87 อย่างระมัดระวัง
หลังเจ้าหน้าที่ใช้เวลาทั้งคื นในการระดมหาผู้สูญหายอีก 2 ราย คือนายไพร คะนุนรัมย์ อายุ 38 ปี และนายบุญแจ้ง เลศละออง อายุ 46 ปี ที่คาดว่ายังคงติดอยู่ ในอาคารไทยยานยนต์ มิตซู ซอยสุขุมวิท 87 ความสูง 8 ชั้น ที่พังถล่มลงมาขณะรื้อถอน แม้จะใช้รถเครนยกแผ่นปู นขนาดใหญ่ออกเพื่อค้นหาผู้สู ญหายตามจุดที่สุนัขตำรวจเข้ าดมกลิ่น แต่ด้วยแผ่นปูนมีขนาดใหญ่ และการใช้เครื่องมือหนักอาจส่ งผลต่อตึกด้านข้าง ซึ่งอาจพังถล่มลงมา จึงได้ยุติการค้นหาในเวลา 3 นาฬิกาที่ผ่านมา
ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้(17 ธ.ค.) สภาวิศวกร, สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อหาแนวทางค้ นหาผู้สูญหายอีก 2 คน ที่ยังติดค้างอยู่ภายใน เบื้องต้นจะดูโครงสร้างอาคารเพื่ อหาแนวทางในการเคลื่อนย้ายแผ่ นปูนออก เนื่องจากคาดว่า 2 คนงาน ติดอยู่ใต้ซากชั้นล่างสุด การจะรื้อแผ่นปูนออกทั้งหมดต้ องใช้เวลา และต้องระวังผลกระทบตึกข้างเคี ยงที่อาจพังซ้ำ
พันตำรวจโทบัณฑิต ประดับสุข ผู้แทนสมาคมสถาปนิ กสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้านงานปลอดภัยในงานสถาปัตยกรรม เปิดเผยว่า เบื้องต้นพบ อาคารดังกล่าวไม่มีคานรับน้ำหนั กแต่ใช้เป็นลวดสลิงในการต่อเพิ่ มแต่ละชั้นแทน หากจะรื้อถอนจะต้องหาอุปกรณ์ค้ำ ยันเพื่อรับน้ำหนักด้านล่าง แต่เท่าที่เห็น ขณะที่รื้ออาคารไม่มีคานค้ำยัน จึงอาจเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิ ดอาคารถล่ม
ด้านภรรยาและครอบครัวนายบุญแจ้ง พนักงานขับรถแบคโฮ ที่ติดอยู่ในอาคารมานอนเฝ้าที่ ด้านหน้าอาคารอย่างมีความหวังว่ าสามีจะรอดชีวิต วอนขอให้ค้นหาสามี ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ ตาม
ส่วนเรื่องคดี พนักงานสอบสวนได้สอบพยานไปแล้ว 14 ปาก ทั้งญาติผู้เสียชีวิต, ผู้บาดเจ็บ, พยานใกล้เกิดเหตุ, เจ้าหน้าที่โยธาเขตพระโขนง โดยแจ้งข้อกล่ าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 คือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ อื่นถึงแก่ความตาย กับนายสุทธิศักดิ์ ศรีวรรณา กรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ แมกกะทู และนายกฤตัชญ ศรีวรรณา ผู้รับเหมา
นายภัทรุฒิ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนคือต้องค้นหาผู้ สูญหายอีก 2 คน แต่ต้องใช้ความระมัดระวังต่อผู้ ปฏิบัติงานด้วย เพราะยังมีอาคารด้านข้างที่ อาจได้รับผลกระทบและพังลงมาได้ อีก จึงใช้ลวดสลิงขึงเพื่อยึ ดอาคารให้เกิดความปลอดภัยขณะปฏิ บัติงาน อุปสรรคของการค้นหาคือ ซากวัสดุอาคารที่กองทับถมกันอยู่ หลายชั้น รวมถึงเศษวัสดุแผ่นพื้นที่ห้ อยค้างอยู่บนตัวอาคารอาจจะหลุ ดร่วงลงมาทำให้เกิดอันตรายได้ เบื้องต้น เปลี่ยนจากการใช้รถเครนยกแผ่นปู นออก มาเป็นการเจาะแผ่นปูนทีละแผ่ นไปถึงพื้นด้านล่างเพื่อสอดกล้ องเพื่อดูว่าจุดนั้นๆมีผู้สู ญหายตรงกับตำแหน่งที่สุนั ขตำรวจได้ทำสัญญาณไว้หรือไม่ ก่อนจะรื้อแผ่นปูนขึ้นอีกครั้ง จากนี้กรุงเทพมหานคร จะเข้าไปดูแลในสมาคมวิชาชีพที่ เกี่ยวข้องกับบริษัทรื้ อถอนอาคารมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา มักจะเกิดเหตุสลดขึ้นจากความไม่ ชำนาญ หรือความไม่เข้าใจของผู้ ประกอบวิชาชีพ
ด้านศาสตราจารย์อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศกร กล่าวว่า ในการรื้อถอนอาคารที่สูงเกิน 3 ชั้นขึ้นไป จะต้องมีวิศวกรควบคุ มการออกแบบและการรื้อถอน เนื่องจากขั้นตอนของการรื้ อถอนมีความสำคัญ รวมถึงเครื่องมือและบุคลากรที่ มีความเชี่ยวชาญ อาคารหลังนี้ เป็นโครงสร้างไร้คานที่เสริมสลิ งเข้าไป ซึ่งมีความอ่อนแอกว่าอาคารที่มี เสาคานรับน้ำหนัก หากไม่มีความชำนาญในการรื้อถอน เมื่อพื้นอาคารถูกทำลายไปโดยไม่ มีอุปกรณ์รองรับน้ำหนัก จะทำให้พังถล่ม ลงมาเหมือน หลังจากนี้จะต้องเรียกวิศวกรผู้ ออกแบบควบคุมการรื้ อถอนมาสอบสวนถึงสาเหตุ ที่กรุงเทพมหานคร มีหนังสือให้ยุติการรื้อถอน แต่ยังดำเนินการอยู่ หากมีวิศกรเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการขั้นสูงสุดคือเพิ กถอนใบอนุญาต
ขณะที่นายธเนศ วีระศิริ ว่าที่นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. กล่าวว่า จากนี้จะจัดตั้งหน่วยวิ ศวกรอาสาขึ้นมาเพื่อเข้าไปสนั บสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องในการให้ความรู้เจ้าหน้าที่ที่ จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รั บบาดเจ็บ หรือผู้ที่ติดอยู่ในอาคารที่ถล่ ม เพื่อจะได้ชี้จุด ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงกับผู้ ปฏิบัติงาน
เนื่องจากทุกขั้นตอนจะต้องใช้ ความระมัดระวัง เพราะทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคาดหวัวว่าจะมีผู้รอดชีวิต
ผอ.รพ.แม่ระมาด เสนอแยกกลุ่มนักเรียนไร้ สถานะให้ชัด ชี้กลุ่มรอพิสูจน์สถานะควรได้รั บสิทธิเข้ากองทุนคืนสิทธิ ส่วนกลุ่มลูกหลานแรงงานไม่เข้ าเกณฑ์รักษาฟรี ให้ซื้อบัตรสุขภาพราคาถูกปีละ 365 บาท
จากกรณีเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมื องแห่งประเทศไทย ออกมาทวงถามกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงการจัดทำตัวเลขที่ชั ดเจนของกลุ่มคนจีนโพ้ นทะเลและเด็กไร้สถานะ หรือนักเรียนตามชายแดนที่ได้รั บสิทธิการศึกษาจากกระทรวงศึ กษาธิการ (ศธ.) หรือนักเรียนกลุ่ม G รวมกว่า 1 แสนคน ที่ตกค้างจากการผลักดันให้เข้ าสู่กองทุนคืนสิทธิสุขภาพนั้น
วันนี้ (17 ธ.ค.) นพ.จิรพงศ์ อุทัยศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่ระมาด จ.ตาก กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการรักษาพยาบาลของนั กเรียนกลุ่มจี คือ พวกเขาไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลขั้ นพื้นฐานฟรี ตามสิทธิบัตรทองเหมือนคนไทย เพราะไม่มีเลขบัตรประจำตั วประชาชน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีการปะปนระหว่ างลูกหลานของบุคคลที่กำลังรอพิ สูจน์สถานะ ลูกหลานของแรงงานต่างด้าวที่เกิ ดในไทย และเด็กที่เดินข้ามฝั่ งชายแดนมาเรียน จากปัญหาตรงนี้ ทำให้การรวบรวมตัวเลขให้ชั ดเจนค่อนข้างลำบาก ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยและมารักษาที่ โรงพยาบาล ทำให้ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลกั นเอง หากเป็นครูพามา ภาระก็จะตกที่ครู หากเป็นพ่อแม่พามาก็จะตกที่พ่ อแม่ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าโรงพยาบาลจะรักษาโดยเก็ บเงินอย่างเดียว เพราะตามขั้นตอนแล้ว เมื่อมาถึงก็จะรักษาพยาบาลก่อน และจะถามสิทธิ หากไม่มีสิทธิบัตรทอง ก็ต้องแจ้งค่ารักษาพยาบาล ส่วนใหญ่พวกเขาไม่สามารถจ่ายได้ ก็จะสอบถามว่าจ่ายได้เท่าไร และหากไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ อำนวยการโรงพยาบาลแต่ละแห่งว่ าจะอนุเคราะห์อย่างไร ในส่วนของ รพ.แม่ระมาด มีการรักษาเด็กกลุ่มนี้ด้วย ปีละประมาณหลักแสนไปจนถึงล้านคน
นพ.จิรพงศ์ กล่าวว่า ปัญหาคือจะทำอย่างไรเพื่ อลดภาระของแต่ละฝ่าย ซึ่งหากรัฐบาลช่วยก็ถือว่าใช้ งบเพิ่มไม่มาก เพราะเด็กกลุ่มนี้ที่ยังมีปั ญหาตัวเลขไม่มากมายนัก จากการสอบถามทราบว่า กลุ่มประกันสุขภาพ สธ. เป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งเข้าใจว่าผู้บริหาร สธ. ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะตัวเลขต่างๆ ไม่ได้อยู่ใน สธ. แต่อยู่ทั้งกระทรวงมหาดไทย และ ศธ. จึงขอเสนอทางออกกรณีที่หากแยกตั วเลขได้แล้วว่า นักเรียนกลุ่มจีมีกลุ่มไหนเข้ าตามสิทธิรอพิสูจน์สถานะ และกลุ่มไหนเป็นลูกหลานแรงงานต่ างด้าว ซึ่งกลุ่มที่ไม่เข้าเงื่อนไขคื นสิทธิสุขภาพ ก็ควรซื้อบัตรสุขภาพ ซึ่งปัจจุบัน สธ. มีบัตรราคาถูกเฉลี่ยวันละ 1 บาท จ่ายปีละ 365 บาท รักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน แต่บัตรดังกล่าวจะดูแลเด็กถึ งอายุ 7 ปี เป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายมายั งเด็กโต เด็กนักเรียนที่ศึกษาอยู่ด้วย ซึ่งจะครอบคลุมเด็กนักเรียนกลุ่ มจีได้
กกจ.เปิดคัดคนไปทำงานที่เกาหลี 17-19 ธ.ค.
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้กรมการจัดหางาน(กกจ.) เปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลี และทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 2 เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรั ฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่ างชาติ (EPS) โดยผู้สมัครต้องยื่นใบสมัครด้ วยตนเอง ระหว่างวันที่ 17 – 19 ธ.ค.59 เวลา 09.00–16.00 น. ที่ศูนย์การรับสมัคร จำนวน 4 แห่ง คือ
1.ศูนย์การรับสมัครกรุ งเทพมหานคร ที่อาคาร The Hub @ ZEER Rangsit ชั้น 3 บริเวณศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จ.ปทุมธานี
2.ศูนย์การรับสมัคร จ.ลำปาง ที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครลำปาง ต.สวนดอก อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง
3.ศูนย์การรับสมัคร จ.อุดรธานี ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีบ้านจั่น อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
4. ศูนย์รับสมัคร จ.นครราชสีมา ที่สำนักงานจัดหางานจ.นครราชสี มา
นายวิวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปี 2547–30 พ.ย.59 กรมการจัดหางานจัดส่ งแรงงานไทยไปทำงานที่สาธารณรั ฐเกาหลีตามระบบ EPS จำนวนทั้งสิ้น 61,504 คน โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทกิจการอุ ตสาหกรรม ก่อสร้าง และการเกษตรกร และล่าสุดการเปิ ดทดสอบภาษาเกาหลีและทั กษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 1 เพื่อการสมัครไปทำงานสาธารณรั ฐเกาหลีตามระบบ EPS มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวน 1,200 คน แยกเป็นประเภทกิจการเกษตร ปศุสัตว์ 900 คน กิจการก่อสร้าง 300 คน ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ มารายงานตัว ยื่นเอกสารเพื่อจัดทำรายชื่อให้ นายจ้างเกาหลีคัดเลือกจำนวน 1,191 คน
ทั้งนี้การจัดส่ งแรงงานไทยไปทำงานเกาหลีใช้วิธี การสอบผ่านความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-TOPIK) เพียงอย่างเดียว แต่ในปี 59 เกาหลีได้ปรับระบบการคัดเลื อกแรงงานต่างชาติ เป็ นการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คาดว่าจะสามารถจัดส่งให้ ไปทำงานได้ในเดือน ก.พ. 2560
ชาวโคราชแห่สมัครทำงานเกาหลีหลั งหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.59 เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานจัดหางานจังหวั ดนครราชสีมา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานที่รับสมั ครทดสอบภาษาเกาหลีและทั กษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 2 เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรั ฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่ างชาติ (EPS) ได้มีประชาชนชาวจังหวัดนครราชสี มา และจังหวัดใกล้เคียง จำนวนมาก ให้ความสนใจเดินทางมาเขียนใบสมั ครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบวั ดความสามารถภาษาเกาหลี ที่ ทางกระทรวงแรงงานไทยและสาธารณรั ฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงานและการจ้ างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการลงนามบันทึกข้ อตกลงในการจัดส่ งแรงงานไปทำงานตามระบบการจ้ างแรงงานต่างชาติ ที่เปิดจุดรับสมัครที่จังหวั ดนครราชสีมาและอุดรธานี
นายพงษ์ นะโส อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งในผู้ที่เดินทางมาสมั ครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า ตัดสินใจมาสมัครเพื่อเดิ นทางไปทำงานที่ต่างประเทศ เนื่องจากมีค่าจ้างสูงกว่ าประเทศไทย อีกทั้งที่บ้านได้ทำการเก็ บผลผลิตหมดแล้วจึงตัดสินที่ จะมาสมัครไปทำงานที่เกาหลี ส่วนสาเหตุที่ไม่หางานอื่นๆ ในประเทศ เพราะว่าค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ค่ าแรงน้อย ซึ่งคาดหวังว่าค่าตอบแทนที่ได้ จากประเทศเกาหลีนั้นจะทำให้ สามารถส่งเงินกลับมาบ้านได้เดื อนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท อย่างแน่นอน อีกทั้งการเดินทางไปทำงานในครั้ งตนเองก็มั่นใจว่าจะไม่ถู กหลอกเหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นข่าวกัน เพราะการเดินทางไปทำงานได้ผ่ านกรมแรงงานจึงเป็นการเดิ นทางไปอย่างถูกต้อง
เช่นเดียวกับนายบัณฑิต แก้วดี อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หนึ่งในผู้ที่มาสมัครไปทำงานที่ ประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า ยังไม่เคยเดินทางไปทำงานที่ ประเทศเกาหลี แต่เมื่อทราบข่าวว่ามีการเปิดรั บสมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี จึงไม่ลังเลเดินทางมาสมัครทันที เนื่องจากทราบว่าไปทำงานที่ ประเทศเกาหลีนั้นมีรายได้สูง ซึ่งค่าจ้างค่าแรงที่จังหวัดบุ รีรัมย์ ค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยเดือนละ 7,000-8,000 บาท ประกอบกับที่บ้านก็ได้เก็บเกี่ ยวผลผลิตทางการเกษตรหมดแล้ว อีกทั้งพี่ชายของตนเองก็เคยเดิ นทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลี มาแล้ว 2 คน ก็สามารถที่จะกลับมาสร้างเนื้ อสร้างตัวได้ จึงคิดว่าหากผ่านการทดสอบแล้วมี สิทธิที่จะเดินทางไปทำงานที่ ประเทศเกาหลี ส่งเงินกลับมาให้กับที่บ้านเป็ นประจำเพื่อนำเงินก้อนนั้นไปสร้ างตัวและสร้างอนาคตต่อไป
นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การเปิดรับสมั ครแรงงานไทยไปทำงานที่ ประเทศเกาหลีใต้ เป็นการดำเนิ นการตามกระทรวงแรงงานไทยและสาธา รณรัฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงานและการจ้ างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการลงนามบันทึกข้ อตกลงในการจัดส่ งแรงงานไปทำงานตามระบบการจ้ างแรงงานต่างชาติ โดยในครั้งนี้โดยเปิดรั บแรงงานไปทำงานใน ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบด้วย การชั่งตวงวัด , การเชื่อม และการประกอบชิ้นงาน การเปิดรับสมัครครั้งนี้ก็ได้รั บการตอบรับจากประชาชนทั้งในจั งหวีดนครราชสีมาและจังหวัดต่างๆ เข้ามาร่วมกรอกใบสมัครแล้วกว่า 1,500 คน คาดว่า 3 วันที่มีการเปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันที่ 17-19 ธันวาคม 2559 จะมีผู้ที่ร่วมมาสมัครไปทำงานที่ ประเทศเกหาหลี ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน อย่างแน่นอน ซึ่งผู้สมัครจะต้องเข้ารั บการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี และจะมีการประกาศหมายเลขผู้มีสิ ทธิ์สอบ ในวันที่ 30 มกราคม 2560 และจะทำการทดสอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
คปภ.ออกประกันผู้ใช้บริการหอพั กเบี้ยต่ำ 24 บาทต่อปีคุ้มครอง 1 แสน
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นิสิต-นักศึกษา ซึ่งมีการเช่าหอพักเป็นที่พั กอาศัย ไม่ว่าจะเป็นหอพักของสถานศึกษา หรือของเอกชน
"คปภ. จึงร่วมกับสมาคมประกันวินาศภั ยไทย และกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่ นคงของมนุษย์ จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครอง ผู้พักในหอพัก เพื่อใช้ระบบประกันภั ยในการบรรเทาความเดือนร้อนให้ แก่ผู้ใช้บริการหอพัก กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว ให้ความคุ้มครองสอดคล้องกั บประกาศคณะกรรมการส่งเสริมกิ จการหอพัก เรื่อง การประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พัก ตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 ซึ่งได้กำหนดหน้าที่ของผู้ ประกอบกิจการหอพักไว้ตามมาตรา 57 ต้องจัดให้มีการประกันภัยเพื่ อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พักอาศัย"
ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้พั กในหอพัก มุ่งเน้นให้ความคุ้มครองผู้พัก ซึ่งขณะเริ่มเข้าพักครั้งแรกมี อายุไม่เกิน 25 ปี และอยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึ กษา ระดับไม่สูงกว่าปริญญาตรี ไม่ว่าจะพักอยู่ในหอพักสถานศึ กษา หรือหอพักเอกชน ด้วยเบี้ยประกันภัยเพียง 24 บาทต่อคนต่อปี ให้ความคุ้มครองใน กรณีผู้พักเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงอันเป็ นผลจากหอพักเกิดไฟไหม้ ระเบิด หรือผู้พักถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายร่างกาย โดยอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้ นในขณะพักในหอพัก จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 100,000 บาทต่อคน
กรณีผู้พักได้รับบาดเจ็บ มาจากภัยที่ได้รับความคุ้มครอง จะได้รับเงินค่ารั กษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่ เกิน 10,000 บาทต่อคน และกรณีทรัพย์สินของผู้พักเกิ ดความเสียหาย มาจากไฟไหม้ หรือระเบิด ซึ่งเกิดขึ้นที่หอพัก จะได้รับเงินชดเชยตามมูลค่ าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน
"ผมในฐานะนายทะเบียนได้ให้ ความเห็นชอบแบบกรมธรรม์ และอัตราเบี้ยประกันภัยกรมธรรม์ ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันวิ นาศภัย แจ้งความจำนงขอร่วมจำหน่ ายกรมธรรม์ดังกล่าวแล้ว 42 บริษัท ดังนั้นจึงฝากถึงผู้ ประกอบการหอพักให้ยึดถือสวัสดิ ภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พั กเป็นสำคัญ และควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่ างเคร่งครัด รวมทั้งควรตระหนักถึงความสำคั ญของการประกันภัยที่สามารถใช้ เป็นเครื่องมือในการบริ หารความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้ นต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้พั กอาศัย นอกจากจะถือเป็นการปฏิบัติ ตามกฎหมายแล้ว จะทำให้ผู้พักมีความอุ่นใจ และเกิดความเชื่อมั่นในการใช้ บริการหอพักในระยะยาว"
สภาองค์การนายจ้างผู้ ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยห่ วงเด็กจบใหม่ปี 2560 มีแนวโน้มตกงานสูงถึง 2.1แสนคน
ข้อมูลจากสภาองค์การนายจ้างผู้ ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุว่าในปี 2560 นักศึกษาจบใหม่จะมีเข้ าในระบบเพิ่มขึ้นมากถึง 2.1 แสนคน และมีความเสี่ยงที่จะอยู่ ในภาวะตกงาน โดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีที่ ไม่ใช่สายเฉพาะทางหรือวิชาชี พเช่น สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์
ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาอย่ างรวดเร็วโดยเฉพาะการขับเคลื่ อนนโยบายของภาครัฐ ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ตลาดแรงงานเริ่มเปลี่ยนไป ที่มุ่งเน้นไปทางด้านไอที คอมพิวเตอร์ ภาษา และทักษะวิชาชีพเฉพาะด้าน แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่จบสายอาชีวะหรือสายวิชาชี พ ยังเป็นที่ต้องการตลาดและยั งขาดแคลนอยู่มาก
ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า แนวโน้มการจ้างงานในปี 2560 ยังคงมีเพิ่มขึ้นจากปีนี้ตามทิ ศทางการลงทุนที่คาดว่าจะมีทิ ศทางดีขึ้นจากการลงทุนภาครั ฐและรัฐวิสหกิจและการลงทุ นตรงจากต่างประเทศ (FDI) แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือเด็ กจบใหม่ระดับปริญญาตรีที่ไม่ใช่ สายวิชาชีพจะตกงานเพิ่มขึ้น และอยากให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้ องเร่งปฏิรูปการศึกษาอย่างเร่ งด่วนและวางเป้าพัฒนาคนที่ ตอบโจทย์อุตสาหกรรม 4.0
ผู้ตรวจฯ เผยเกาหลีใต้แฉคนไทยหนีเข้าเมื องถึง 5 หมื่นราย ทำเสี่ยงถูกตัดโควตาแรงงาน
(18 ธ.ค.) พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงผลการพบปะแรงงานไทย และผู้ประกอบการในสาธารณรั ฐเกาหลีใต้ กว่า 200 คน ที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องของไทยร่วมกับคณะกรรมการต่อต้ านการทุจริตและสิทธิพลเมือง ACRC กระทรวงแรงงานเกาหลี สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี จัดขึ้น ณ วัดป่าพุทธรังษีโซล ว่า จากการพบปะทำให้ได้รับทราบถึงปั ญหาการดำรงชีวิตของแรงงานไทย ความไม่เป็นธรรมในการขอความช่ วยเหลือจากหน่วยงานรัฐในเกาหลี ซึ่งพบว่าบางกรณีอาจต้องเร่ งประสานให้ความช่วยเหลือทันที เช่น กรณีแรงงานไทยไม่สามารถต่อวีซ่ าได้ เพราะอายุเกิน 40 ปี แต่นายจ้างไม่ยอมให้กลับประเทศ เพราะไว้วางใจในการทำงาน และขอให้อยู่ช่วยงานเนื่ องจากทำงานมานานกว่า 17 ปี กรณีนี้เลยทำให้บุคคลดังกล่ าวเลยกลายเป็นโรบินฮูดโดยปริยาย ซึ่งตัวผู้ใช้แรงงานเองก็บอกว่ าต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่ อนข้างลำบากต้องหลบซ่อน ซึ่งหน่วยงาน ACRC รวมถึงผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้ าเมืองเกาหลีก็ได้รับทราบปั ญหาดังกล่าว และจะมีการประสานกันในระดั บนโยบายต่อไป หากมีการเสนอแนะแก้ไขระเบี ยบอาจทำให้ปัญหาได้รับการแก้ ไขในเชิงระบบได้
ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนเรื่องปั ญหาการถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง โดยเฉพาะแรงงานด้านเกษตร และปศุสัตว์ เช่น นายจ้างให้ทำงานวันหยุดโดยไม่มี ค่าล่วงเวลาทางด้านผู้ใช้แรงงาน จึงอยากให้เข้าไปดูในรายละเอี ยดของสัญญาการจ้าง ซึ่งทางหน่วยงาน ACRC และกระทรวงแรงงานของเกาหลี ก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยขอให้มีการแจ้งเหตุจะได้รี บตรวจสอบและสอบสวนหากนายจ้างมี ความผิดจะมีโทษตามกฎหมาย รวมถึงยังมีปัญหาขอให้เข้าไปดู เรื่องการประกอบกิจการของโรงาน เช่น โรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่มี ระบบควบคุมการผลิตที่ดีพอเกิดฝุ่ นละอองจำนวนมาก และแพ้สารเคมี ร่างกายมีตุ่มผื่นขึ้นเป็นพิษต่ อระบบทางเดินหายใจ ปัญหาแรงงานโดนโกงค่าจ้าง แรงงานหญิงท้องใกล้คลอดแต่ตั้ งแต่เริ่มท้องยังไม่เคยมี โอกาสไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล บางคนมีลูกเล็กเกิดเจ็บป่วยไม่ สามารถซื้อยาตามร้านได้ต้ องไปโรงพยาบาลเท่านั้น ตลอดจนปัญหาของผู้ใช้ แรงงานเองที่เกิดจากความไม่เข้ าใจในการใช้สิทธิของการประกันอุ บัติเหตุ จนทำให้กลายเป็นข้อพิพาทระหว่ างผู้ใช้แรงงานกับนายจ้าง เช่น มีแรงงานประสบอุบัติเหตุ จากการทำงานไม่ถึงกับพิการ แต่มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น คือ เป็นความดัน และต้องพบหมอทุก 3 เดือน แต่ประกันมองว่าการรักษาเกี่ ยวกับเรื่องอุบัติเหตุนั้นหายดี แล้ว จึงตัดสิทธิในการเบิกเงินประกัน ถึงแม้ว่าจะยังต้องพบหมอเพื่อรั กษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจกัน
พล.อ.วิทวัส กล่าวด้วยว่า ได้ขอให้ผู้ใช้แรงงานรักษากฎกติ กาหากเข้ามาทำงานอย่างถู กกฎหมายจะทำให้การช่วยเหลื อราบรื่นสะดวก รวดเร็ว เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่หลบหนี เข้ามาใช้แรงงาน ซึ่งจากตัวเลขที่สำนั กงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี รายงานมีแรงงานไทยมี่เข้ ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายราว 4 หมื่นคน และมีแรงงานไทยที่เข้ามาอย่ างไม่ถูกกฎหมายสูงถึงราว 5 หมื่นคน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสี่ยงถูกตั ดโควตาของผู้ที่จะเข้ ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย และต้องมีการปรับตัวฝึกฝนการใช้ ภาษาเกาหลีซึ่งได้เสนอให้ทางทู ตแรงงานจัดหาครูมาสอนภาษาโดยใช้ เวลาหลังเลิกงาน จะได้พึ่งพาตนเองได้ รวมถึงอย่าให้เกิดปัญหาเกี่ยวกั บยาเสพติด เนื่องจากจะทำลายภาพพจน์ ของประเทศไทยมาก ซึ่งทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็ จะเร่งสรุปปัญหาและจัดทำข้ อเสนอแนะต่อรัฐบาล เพราะหลายเรื่องเป็นเรื่องระดั บนโยบายระหว่างประเทศ ดังนั้น ต้องมีการหารือกันในระดั บประเทศด้วย
ด้าน นาย คิน อิน ซู (Kin In-Soo) รองประธานคณะกรรมการต่อต้ านการทุจริตและสิทธิพลเมือง (ACRC) แห่งสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า จากปัญหาที่ได้รับฟังหลาย เรื่องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ทางหน่วยงาน ACRC ก็จะเร่งให้ความช่วยเหลือตามพั นธกรณีที่มีแก่กัน หากแรงงานประสบปัญหาแจ้งก็ สามารถยื่นเรื่องร้องเรี ยนทางระบบ E-People ทาง www.epeople.go.kr หรือผ่านทาง www.acrc.go.kr รวมทั้งศูนย์ช่วยเหลื อแรงงานตางชาติที่เป็นทางการ 8 แห่ง และศูนย์ช่วยเหลือแรงงานต่ างชาติที่ไม่เป็นทางการอีก 88 แห่งได้
แรงงานอีสานแห่ไปเกาหลีหลั งหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว
นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่าขณะนี้มีผู้ใช้ แรงงานจากภาคอีสานสนใจเดิ นทางไปสาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ โดยพบว่ามีประชาชนจำนวนมากทั้ งชาวจังหวัดนครราชสีมาและจังหวั ดใกล้เคียง ให้ความสนใจเดินทางมาเขียนใบสมั ครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบวั ดความสามารถภาษาเกาหลี มีจุดเปิดรับสมัครเพียง 2 จุด ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 17-19 ธันวาคมนี้ โดยเปิดรับแรงงานไปทำงานในภาคอุ ตสาหกรรมการผลิตประกอบด้วยการชั่ งตวงวัด การเชื่อมและการประกอบชิ้นงาน
การเปิดรับสมัครครั้งนี้มี ประชาชนกรอกใบสมัครแล้วกว่า 1,500 คน โดยคาดว่า 3 วันนี้จะมีผู้สมัครไปทำงานที่ ประเทศเกาหลีไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ซึ่งผู้สมัครจะต้องเข้ารั บการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี และจะมีการประกาศหมายเลขผู้มีสิ ทธิ์สอบในวันที่ 30 มกราคม 2560 และเปิดทดสอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
นายพงษ์ นะโส อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งในผู้ที่เดินทางมาสมั ครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี บอกว่า ต้องการไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เพราะได้รับค่าจ้างสูงกว่าเมื องไทย อีกทั้งที่บ้านของตนก็ได้ ทำการเก็บเกี่ยวพื ชผลทางการเกษตรหมดแล้ว จึงตัดสินไปทำงานอย่างอื่น ซึ่งคาดหวังว่าค่าจ้างที่ได้รั บจากประเทศเกาหลีนั้นจะทำให้ ตนสามารถส่งเงินกลับมาบ้านได้ เดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท และมั่นใจว่าจะไม่ถู กหลอกไปทำงานเพราะเป็นการจัดส่ งโดยภาครัฐอย่างถูกต้ องตามกฎหมาย
เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ยืนข้อเรียกร้องเนื่องในวั นแรงงานข้ามชาติสากล 2016
(19 ธ.ค. 59) เวลา 14.30 น. ที่ห้องโถงอาคารอำนวยการ ชั้น 1 หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชี ยงใหม่ รับข้อเรียกร้องเนื่องในวั นแรงงานข้ามชาติสากล 2016 เนื่องด้วยในวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็น "วันแรงงานข้ามชาติสากล" (International Migrants Day) เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติ ได้จัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้ มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ.1999 เพื่อให้แรงงานข้ามชาติ ในประเทศต่างๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิทั้งสิ ทธิมนุษย์ชนและสิทธิเป็นแรงงาน ด้วยหลักการที่จะให้ทุ กประเทศและทุกฝ่ายตระหนักถึงสิ ทธิของแรงงานข้ามชาติที่ต้ องอพยพจากประเทศต้นทางไปทำงานยั งประเทศปลายทางให้ได้รับการปฏิ บัติที่เป็นธรรมจากรัฐบาลและทุ กฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติด้ วยความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว และเพศสภาพใด ๆ ทั้งนี้ เครือข่ายแรงงานภาคเหนื อประกอบด้วย องค์กรที่ทำงานส่งเสริมสิทธิด้ านแรงงานกว่า 15 องค์กร นักวิชาการจากสถาบันการศึ กษาในจังหวัดเชียงใหม่ และตัวแทนคนงานในพื้นที่ ได้จัดการประชุมร่วมในวันที่ 18 - 19 ธันวาคม 2559 ณ สำนักบริการวิชาการ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประเมินและพิจารณาถึ งสถานการณ์ด้านแรงงานข้ามชาติ ภายในพื้นที่ภาคเหนือและพบว่ายั งมีปัญหาการละเมิดสิทธิ แรงงานและการเข้าถึงสิทธิตามที่ กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด เช่น แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ยังไม่ ได้รับค่าจ้าง ตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันทำงาน วันหยุด วันลา ต่างๆ การทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด และมีปัญหาด้านสุขภาพความปลอดภั ยในการทำงาน การเข้าไม่ถึงระบบประกันสั งคมเนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำลู กจ้างขึ้นทะเบียนประกันสังคม และบางส่วนมีปัญหาการเข้าถึงสิ ทธิประโยชน์ เช่น กรณีรับเงินชราภาพที่ยังไม่มี มาตรการชัดเจนในการรับสิทธิ นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานข้ ามชาติถูกจำกัดสิทธิเสรี ภาพในการเดินทางและถูกเรียกรั บผลประโยชน์ สำหรับการยืนข้อเสนอต่อผู้ว่ าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีดังนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชี ยงใหม่มีคำสั่งให้ศูนย์ร่วมบริ การช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจั งหวัดเชียงใหม่ให้ดำเนินการแก้ ไขปัญหาของแรงงานข้ามชาติอย่ างมีส่วนร่วมและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแรงงานข้ามชาติส่ วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิต่ างๆที่ควรจะได้รั บตามกฏหมายแรงงานกำหนด เช่น การไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่ าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันทำงาน วันหยุด วันลาต่างๆ การทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด พร้อมทั้ง ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้ ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ทุ กสามเดือน และการดำเนินคดีการละเมิดสิทธิ แรงงาน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชี ยงใหม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้องดำเนินการโดยมุ่งคุ้ มครองสิทธิแรงงาน โดยไม่คำนึงถึงสถานะการเข้าเมื องของแรงงาน
แมนพาวเวอร์เผยทิ ศทางตลาดแรงงานที่ทั้งนายจ้ างและลูกจ้างจะต้องปรับตัวในปี 2560
แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เผยรายงานระดับโลก Human Age 2.0 แรงงานแห่งอนาคต แนะเทรนด์ตลาดแรงงานปี2560 ที่เทคโนโลยีมี บทบาทในการทำงานมากขึ้น
นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยุคที่กำลังจะเกิดยุคใหม่ที่เรี ยกว่า Human Age โดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่ งของการทำงาน แรงงานจะพัฒนาตนเอง มุ่งสู่ผู้นำแต่ไม่ยึดติดตำแหน่ ง พร้อมเลือกสร้างสมดุลการงาน-ชี วิต จนกลายเป็นพื้นฐานของการปรั บโครงสร้างแรงงานในอนาคต ซึ่งในยุค Human Age จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Human Age 1.0 การปรับตัวของโลกในสู่ศตวรรษที่ 20 โดยมีใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็ นตัวขับเคลื่อน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิ จอย่างรวดเร็ว และการก้าวกระโดดของการพั ฒนาทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้มีทักษะความสามารถก้ าวข้ามข้อจำกัดด้ านพรมแดนและระยะทางเพราะเทคโนโล ยีช่วยให้ทำงานที่ใดก็ได้ในโลก กำหนดวิธี เวลา และสถานที่ที่จะทำงานได้ในรู ปแบบ “การทำงานเสมือนจริง” ผ่านการเชื่อมต่อของ อินเตอร์เน็ตและเครือข่ายสังคม
Human Age 2.0 คือ ยุคของการเกิดแรงงานแห่งอนาคต ทำให้เกิดมิติใหม่ในการทำงาน และเกิดคนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า มิลเลนเนียล ด้านของแรงงาน การขับเคลื่อนธุรกิจจะไม่ได้ถู กขับเคลื่อนด้วยเงินทุนอีกต่อไป แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยทุนมนุ ษย์แทน คือ ความรู้ความสามารถ ด้านนายจ้างจะถูกเปลี่ ยนบทบาทจากผู้สร้างกำลังคนไปเป็ นผู้บริโภคผลงานแทน ลูกจ้างมีบทบาทในการขับเคลื่ อนธุรกิจขององค์กรมากขึ้น มีทางเลือกเป็นของตัวเอง แรงงานเองยังมีการพัฒนาฝีมือตั วเองอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเทรนด์การพัฒนาตนเองที่ เรียกว่า “ การเรียนรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ” เพราะฉะนั้นย่อมส่งผลให้รู ปแบบการจ้างงานของนายจ้างเปลี่ ยนไป การขึ้นค่าแรงจะถูกกำหนดด้วยทั กษะ ไม่ใช่ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
นางสาวสุธิดา กล่าวอีกว่าสำหรั บตลาดแรงงานในปีหน้าจะมีการมุ่ งเน้นในด้านของการใช้เทคโนโลยี เพิ่มมากขึ้น มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตั้ งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีการปฏิรูปทิศทางการศึกษาที่ จะเป็นไปตามความต้ องการของแรงงาน สหภาพแรงงานอาจจะมีบทบาทน้ อยลงในนอนาคต เพราะว่ารูปแบบการทำงานเปลี่ยน พร้อมกับนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้ นต่ำ อาจจะทำให้แต่ละองค์กรอาจจะต้ องปรับกลยุทธ์หาพนักงานแบบ outsource มาทำงานเพิ่มมากขึ้น
ทิศทางตลาดแรงงานที่ทั้งนายจ้ างและลูกจ้างจะต้องปรับตัวในปี 2560 มีดังนี้
1. เทคโนโลยีจะเข้ามามี บทบาทในโลกของการทำงานและการใช้ ชีวิตส่วนตัว จนกลายเป็นชีวิตเดียว
2. การทำงานจะถูกเชื่องโยงด้วยอิ นเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีตั้งแต่ ต้นนำจนถึงปลายน้ำ
3. โลกของการทำงานจะเปลี่ยนไป ทำงานที่ไหน เวลาใดก็ได้
4. โลกของการทำงานและการผลิตจะถู กพัฒนาจาก กึ่งอัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติ และกลายเป็นการใช้เทคโนโลยีขั้ นสูง
5. การปฏิรูปทุนมนุษย์ ในภาคแรงงาน ภาคการศึกษา และองค์กร จะก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรี ยนรู้
6. แรงงานจะแข่งขันด้วยความคิด มากกว่ากำลังแรงงาน
7. ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สั งคมแห่งการแบ่งปันและการร่วมมื อกันจากกับปรับอัตราค่าจ้างเพื่ อลดความเหลื่อมล้ำเพื่อเป็ นการกระจายรายได้
8. ตลาดแรงงานจะเป็นตัวกำหนดทิ ศทางของการศึกษา ทั้งในเรื่องของหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน
9. แรงงานที่ยังไม่ได้ใช้ ความสามารถอย่างเต็มที่จะถูกผลั กดันเข้าสู่ตลาดแรงงาน อาทิ คนสูงอายุ แรงงานผู้หญิง คนพิการ
10. โครงสร้างแรงงานจะถูกปรับให้เป็ นแรงงานทักษะสูงมากขึ้น
11. แรงงานจะเกิดการพัฒนาตนเองอย่ างต่อเนื่อง ตลอดเวลา เพื่อสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่ การงาน
12. ภาษาที่จำเป็นของโลกการทำงาน นอกจากภาษาที่2 อาจจะยังไม่พอต้องภาษาที่ 3 และภาษาเทคโนโลยี
13. ทิศทาง10 อุตสาหกรรมเป้าหมายมีแนวโน้ มสดใส ทั้งปริมาณและคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ อนาคต
14. อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นแต่ ยังไม่ถึ งภาวะขาดแคลนแรงงานในภาคอุ ตสาหกรรม จากการที่ผู้ประกอบการอยู่ในช่ วงรอดูทิศทางทั้งเศรษฐกิ จในประเทศและเศรษฐกิจโลก
15. อำนาจการต่ อรองของสหภาพแรงงานจะลดลงจากภาว ะการจ้างงานที่เปลี่ยนไป
อีกทั้งในด้านการเตรียมความพร้ อมเข้าสู่ ไทยแลนด์ 4.0จะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ในระยะนี้ แต่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการปรั บตัวช้าและประเทศไทยเองยังมีรู ปแบบประชากรเป็นแบบลูกผสมตั้ งแต่ 1.0, 2.0 และ 3.0
ประกอบกับอัตราการเข้าถึงอิ นเตอร์เน็ตในประเทศไทยยังเป็นสั ดส่วนที่ไม่สูงมากนัก นั่นคือ ในปัจจุบันเรามีประชากร 68 ล้านคน มีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 56% เท่ากับว่า ยังคงมีประชากรเกือบครึ่งหนึ่ งที่ยังไม่ได้ใช้อินเตอร์น็ต และยังต้องพัฒนาอีกในหลายๆด้าน อาทิ การศึกษา แรงงาน เทคโนโลยี แต่ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ก็ อาจจะทำบางอาชีพหายไป
แต่ถึงกระนั้น ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ต่างก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากั น ความยืดหยุ่นของการทำงาน เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่ าความทัดเทียมระหว่างนายจ้ างและลูกจ้างจะเป็นกลไกลในการขั บเคลื่อนองค์กร การหมั่นเพิ่มความรู้อยู่ ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่คนยุคมิ ลเลนเนียล ให้ความสนใจ อาทิ สมัยก่อนคนหนึ่ งคนสามารถทำงานได้งานเดียว แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีเข้ ามามีบทบาทเป็นตัวช่วยจนทำให้ คนหนึ่งคนสามารถที่ จะทำงานในหลายตำแหน่ง หลายสถานที่ และในเวลาเดียวกันได้ อาจจะกล่าวได้ว่า วิธีการใหม่ๆในการทำงานจะยั งคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"กทม." เร่งออกโบนัสให้ "ข้าราชการระดับต่ำกว่ าอำนวยการต้น-ลูกจ้างประจำ-ชั่ วคราว" ให้เป็นของขวัญปีใหม่ ส่วนข้าราชการระดับสูงจ่ายหลั งปีใหม่
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร( กทม.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้ลงนามเห็ นชอบแนวทางการจ่ายเงินรางวัล หรือโบนัสประจำปี 2559 แก่ข้าราชการและบุคลากรของ กทม. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 90,000 คน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้ าราชการกรุงเทพมหานคร (กก.) เสนอ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่และเป็ นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของ กทม. ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดสรรเงินรางวั ลประจำปีได้เห็นชอบอัตราการจั ดสรรเงินรางวัลประจำปี 2558 ในอัตรา 1 เท่า ซึ่งหน่วยงานสังกัด กทม. มีทั้งสิ้น 77 หน่วยงาน และส่วนราชการในสังกัดสำนักปลั ดกทม. ที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับดี ถึงระดับดีมาก คะแนน 4.473 - 4.908 คะแนน จะได้รับอัตราการจัดสรรเงิ นรางวัลระดับหน่วยงาน 1 เท่าของเงินเดือน ซึ่งพบว่าทุกหน่วยงานมี ผลการประเมินอยู่ในระดับดีถึ งระดับดีมาก
ส่วนการได้รับเงินรางวัลระดับบุ คคลทั้งข้าราชการสามัญและลูกจ้ างประจำนั้น จะมีการจ่ายตามผลประเมิน ดังนี้ ผลการประเมินดีเด่น ระดับคะแนน 90-100 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 1 เท่าของเงินเดือน ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับได้ ระดับคะแนน 81-89 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.95 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 71-80 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.90 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 60-70 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.85 เท่าของเงินเดือน ส่วนผลการประเมินต้องปรับปรุง ระดับคะแนน ต่ำกว่า 60 คะแนน จะไม่ได้รับอัตราจัดสรรเงิ นรางวัล ขณะที่ลูกจ้างชั่วคราว จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.75 เท่าของเงินเดือน เนื่องจากลูกจ้างชั่วคราวมี ภาระงานและความรับผิดชอบไม่เท่ ากับข้าราชการและลูกจ้างประจำ
สำหรับผลการปฏิบัติราชการของหน่ วยงานสังกัดกทม. ประจำปีงบประมาณ 2559 พบว่า คะแนนสูงสุดในระดับสำนัก 3 อันดับ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุ งเทพมหานคร (ก.ก.) 4.886 คะแนน สำนักงานเลขานุการผู้ว่ าราชการกรุงเทพมหานคร 4.858 คะแนน และสำนักปกครองและทะเบียน 4.843 คะแนน ในส่วนของสำนักงานเขต พบว่า คะแนนสูงสูด 3 อันดับ 1.สำนักงานเขตภาษีเจริญ 4.908 คะแนน 2.สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ 4.903 คะแนน และ3.สำนักงานเขตบางบอน 4.900 คะแนน
ด้านนางวรรณวิไล พรหมลักขโณ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดทุกหน่วยงานให้ เบิกจ่ายเงินโบนัส ประจำปี 2559 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ โดยเบื้องต้นจะจ่ายเงินโบนัสให้ กับข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ประเภทอำนวยการต้นลงไป รวมทั้งลูกจ้างประจำและลูกจ้ างชั่วคราว ก่อน ส่วนข้าราชการกรุงเทพมหานครสามั ญประเภทอำนวยการสูง บริหารต้นและบริหารสูง จะจ่ายเงินโบนัสในเดือนม.ค.60 อย่างไรก็ตามคาดว่าจะใช้ งบประมาณในการจ่ายโบนัส ประจำปี 2559 จำนวน 1,600 ล้านบาท
กพร.ปช. วางแผนพัฒนากำลังคน 5 ปี ทั้ง 76 จังหวัด ใน 19 อุตสาหกรรมหลัก มีความต้องการแรงงาน 5,021,040 คน
วันที่ 21 ธ.ค. 59 นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แถลงหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุ มคณะกรรมการพั ฒนาแรงงานและประสานงานการฝึ กอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 2/2559 โดยมี พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน และทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมประชุม ว่า มีการพิจารณาแผนพัฒนากำลั งคนระดับจังหวัด 76 จังหวัด พ.ศ. 2560-2564 และแผนแม่บทระบบสมรรถนะด้ านแรงงานตามความต้ องการของประเทศ ทั้งสองแผนจะเป็นแบบแผนในการพั ฒนากำลังคนในด้านเชิงปริ มาณและคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล แผนพัฒนากำลังคน 5 ปี (2560-2564) ทั้ง 76 จังหวัด ใน 19 อุตสาหกรรมหลัก มีความต้องการแรงงาน 5,021,040 คน แยกเป็นภาคการศึกษา ดำเนินการ 1,017,656 และหน่วยงานด้านการพัฒนากำลั งคนดำเนินการอีก 4,003,384 คน ซึ่งในปี 2560 วางแผนพัฒนา 969,741 คน โดยประเภทอุตสาหกรรมและบริการ ที่ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 เกษตรกรรม ประมงและปศุสัตว์ อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการผลิต อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อันดับที่ 4 ท่องเที่ยวและบริการ และอันดับที่ 5 ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาแผนแม่ บทระบบสมรรถนะแรงงาน ตามความต้องการของประเทศ พ.ศ. 2560-2564 เพื่อให้ระบบสมรรถะของประเทศมี ประสิทธิภาพ ตามความต้องการที่แท้จริ งของตลาดแรงงาน ผ่านกระบวนการทำงานแบบบู รณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องในทุกภาคส่วน สามารถเชื่อมโยงมาตรฐานฝืมื อแรงงาน มาตรฐานอาชีพ และกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงแรงงานสามารถเที ยบโอนประสบการณ์เพื่อเข้าสู่ ระบบการศึกษาได้ด้วย
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ในการพัฒนาทักษะแรงงาน ก.แรงงาน ได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีชั้ นสูง 12 แห่งนำร่อง เพื่อแสดงให้เห็นจุดเน้ นของการพัฒนาทักษะในแต่ละพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เน้นการพัฒนาทักษะด้านการท่ องเที่ยวและบริการ ส่วนจังหวัดสมุทรปราการและระยอง มีจุดเน้นในเรื่องยานยนต์และสิ้ นส่วน ซึ่งจะมีการจัดตั้งสถาบันพั ฒนาบุคลากรเทคโนโลยีอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ (MARA: Manufacturing Automation and Robotic Academy) โดยมีสภาอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน ทั้งที่อยู่ในสถานประกอบกิ จการหรือแรงงานทั่วไป ให้สามารถพัฒนาแรงงานทันต่ อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ในปี 2560 กพร.ตั้งเป้าหมายดำเนินการด้ านเทคโนโลยีชั้นสูง จำนวน 19,864 คน และตั้งแต่ 1 ตุลาคม–7 ธันวาคม 2559 ดำเนินการแล้วกว่า 4,000 คน ทั้งการฝึกยกระดับฝืมื อแรงงานและฝึกเตรียมเข้าทำงาน ผลสำรวจการมีรายได้เพิ่มขึ้นหลั งจากเข้าฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน จากผู้ตอบแบบสำรวจ 486 คน พบว่า มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนเพิ่ มขึ้น 228 บาท รวมรายได้เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นต่ อปี 1,332,564 บาท นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ กพร. ดำเนินการพัฒนาทักษะด้านภาษาให้ กับแรงงาน ซึ่งได้ตั้งเป้าที่จะดำเนิ นการในปี 2560 นี้ ไม่น้อยกว่า 20,000 คน
แสดงความคิดเห็น