Posted: 17 Mar 2018 01:50 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว  เว็บไซต์ประชาไท)

'อภิสิทธิ์-ปริญญา' ชี้พลังโซเชียลเปลี่ยนแปลงการเมืองได้จริงถือเป็นประชาธิปไตยยุคใหม่มีพลังในการตรวจสอบถ่วงดุล นักการเมืองต้องปรับตัว ด้าน 'ใบตองแห้ง' เชื่อพลังโซเชียลไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันที แต่เป็นเพียงเครื่องมือในการระบายความรู้สึกทางอารมณ์ของคนที่สุดโต่ง ทวง 'อภิสิทธิ์' รับผิดชอบชัตดาวน์กรุงเทพฯ

17 มี.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาสาธารณะ หัวข้อ “พลังโซเชียลเปลี่ยนการเมืองไทย...จริงหรือ?” โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายอธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ เจ้าของนามปากกาใบตองแห้ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

โดยนายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าพลังโซเชียลเปลี่ยนแปลงการเมืองได้จริง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของความคิด การต่อสู้ทางความคิด และข้อมูล ซึ่งการสื่อสารมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป โซเชียลมีเดียสามารถทำให้ทุกคนเป็นผู้ผลิตสื่อได้ จึงทำให้ไม่แน่ใจว่าการสื่อสารต่อจากนี้ ประชาชนจะเชื่อสื่อหลักเพียงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะสื่อกระแสหลักที่เคยมีอิทธิพลในอดีต ยังให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวและให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย ใช้เป็นสมรภูมิหลักในการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรกถึง 7 ล้านคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้นักการเมืองต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการหาเสียง จากเดิมที่ต้องจัดเวทีปราศรัย มาเป็นเฟซบุ๊คไลฟ์ ที่อาจมีคนติดตามมากเช่นกัน

นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมีพลังในการตรวจสอบถ่วงดุล เห็นได้จากหลายกรณี เช่น กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่แม้ยังไม่ได้คำตอบ แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลก็ได้รับผลกระทบทางคะแนนนิยมอย่างหนัก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องระมัดระวังในการตรวจสอบ จากเดิมที่อาจจะมีแผนให้ออกมาในทิศทางใดทิศทางหนึ่งก็อาจจะต้องคิดหนัก ขณะเดียวกันการใช้โซเชียลมีเดียในทางกลับกันต้องระมัดระวัง เพราะยังขาดการควบคุม แยกแยะ และไตร่ตรองข้อเท็จจริง โดยเฉพาะทางการเมือง ในช่วงเลือกตั้ง กกต.ควรวางกติกาให้ชัดเจนเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ คือ จะทำอย่างไรในการนำพลังตรงนี้ไปสู่พลังที่สร้างสรรค์

ด้านนายปริญญา กล่าวว่าโซเชียลมีเดียทำให้คนอยู่ในโลกความจริงมากขึ้น เพราะสมาร์ทโฟนเปรียบเสมือนกล้องวงจรปิดเคลื่อนที่ที่พร้อมจะบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน เช่น กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร ที่เริ่มต้นจากการเปิดเผยข้อมูลจากเว็บเพจในโซเชียล ก่อนที่สื่อกระแสหลักจะตามประเด็นต่อ ซึ่งถือว่าโซเชียลทีเดียมีผลทำให้เกิดกระแสต่อสังคม เกิดการรวมกลุ่มของคนที่มีแนวคิดคล้ายกัน และในทางการเมืองปัจจุบันถือเป็นยุคที่ใช้สมาร์ทโฟนขับเคลื่อนประเทศ ประชาชนสามารถเรียกร้องในสิ่งที่ตนเองต้องการได้ ขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียถือเป็นประชาธิปไตยยุคใหม่ คือ ประชาธิปไตยที่เป็นของคนทุกชนชั้น ทุกคนมีสิทธิแสดงออกทางความคิด ไม่มีเพศและอายุ ที่สำคัญการชุมนุมเรียกร้องสามารถเกิดได้ในโซเชียล

นายอธึกกิต เชื่อว่าพลังโซเชียลจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันที เพราะทิศทางการเคลื่อนไหวยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีผลทางกฎหมาย และเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในการะบายความรู้สึกทางอารมณ์ จนเป็นที่มาของคำว่า ลูกขุนออนไลน์ มีการสร้างกระแสอารมณ์ของคนที่สุดโต่ง และตัดสินเรื่องราวไปบนพื้นฐานความรู้สึก โดยไม่ฟังความรอบข้าง ซึ่งบางครั้งเกิดการตีกลับเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ ออกมา เช่น คดีหวย 30 ล้าน หรือกรณีป้าทุบรถ ซึ่งสะท้อนปรากฎการณ์ของรัฐที่ล้มเหลว แต่สิ่งที่ตามมาคือการเรียกร้องให้รัฐใช้อำนาจแบบสุดขั้ว และต้องเอาใจโซเชียล ดังนั้นโซเชียลยังมีภาพของความสุดโต่ง ซึ่งจะเกิดปัญหาตามมา ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน ดังนั้นภาพรวมโซเชียลมีเดียจึงเป็นภาวะของสังคมที่เกิดการสะท้อนภาพการไม่ไว้ใจอำนาจเชิงระบบรัฐ นักการเมือง นักวิชาการ สื่อ พระภิกษุ ครู หรือแม้แต่องค์กรอิสระ ที่เกิดความเสื่อม

ทวง 'อภิสิทธิ์' รับผิดชอบชัตดาวน์กรุงเทพฯ

ด้าน มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่าระหว่างสัมมนาได้เกิดการปะทะคารมราว 5 นาทีระหว่างนายอธึกกิตกับนายอภิสิทธิ์ โดยนายอธึกกิตได้กล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ให้ยอมรับผิดกรณีปิดทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางการเลือกตั้ง และปิดสถานที่ราชการ เมื่อครั้งเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ในการต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงปี 2557 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้โต้แย้งว่า “อย่างน้อยผมก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่หนีไปต่างประเทศครับ”

ต่อมานายอธึกกิตได้ยืนยันจุดยืนว่าจะไม่เลิกใช้คำว่าสลิ่ม เลิกไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาหลักการว่า ใครเอาประชาธิปไตย ใครไม่เอาประชาธิปไตย ซึ่งทั้งหมดมาจากสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ออกจากความขัดแย้งไม่ได้ โดยยกตัวอย่างฟุตบอลที่แข่งขันกัน ถ้ากรรมการเป็นกลางก็ไม่มีปัญหา

จากนั้น ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่าทั้งสองข้างก็เหมือนเรียกกรรมการรักษาความสงบออกมา แต่นายอธึกกิตบอกว่าเรียกได้ฝั่งเดียว

ในที่สุด นายอภิสิทธิ์ก็ชี้แจงว่า "ที่บอกว่ามาปิดสนามเพราะแพ้ ขอให้กลับไปดูได้ การเลือกตั้งปี 2550 ปี 2554 ถามว่ามีปัญหาไหม คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะเลือกตั้ง นับคะแนนเสร็จ ผมยอมรับความพ่ายแพ้ และขอให้เดินตามนโยบายที่ประกาศไว้ แต่อย่าคิดล้างผิดให้กับคนโกง เพราะสัญญากับประชาชน ซึ่งยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ"

"ปี 2554 มีน้ำท่วม เรื่องจำนำข้าว คุณยิ่งลักษณ์ก็อยู่ได้ ปัญหาทั้งหมดคือเรื่องพยายามนิรโทษกรรม ทั้งยังกล่าวหาผมเป็นฆาตกร จะดำเนินคดีผม จะประหารชีวิตผม จะมานิรโทษกรรมให้ผม คนที่ออกกฎหมายตรงนั้นจะไม่เอาผิด เพียงแต่จะล้างความผิด นี่แหละปัญหา ตนจึงอยากถามว่า มีคนไปเรียกทหารเข้ามาไหม ก็มี ซึ่งช่วงก่อนรัฐประหาร 2557 ผมมีข้อเสนอทางออก แต่รัฐบาลตอนนั้นบอกไม่ต้องยุ่ง เขาเป็นเสียงข้างมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องฝ่ายแพ้ไปปิดสนาม แต่เป็นเรื่องการแสดงออกไม่ยอมรับนิรโทษกรรม ความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น ถ้าเลือกตั้งจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายมีส่วนผิดทั้งหมด"

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่าตนแพ้การเลือกตั้งปี 2550 ไม่มีม็อบ มามีทีหลังด้วยเงื่อนไขอื่น ปี 2554 ตนแพ้การเลือกตั้งก็ไม่มีม็อบ แต่มาเกิดช่วงนิรโทษกรรม ซึ่งมีกรณีเดียวที่พรรคพลังประชาชนแพ้เสียงในสภาที่ให้ผมเป็นนายกฯ แล้วมีม็อบทันที ออกจากสภาเอาน้ำกรด อิฐมาปา เพราะมวลชนไม่รู้สึกเป็นธรรม

"วันนี้ไม่ใช่เรื่องมาบอกว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทุกคนมีส่วนจากกระบวนการที่สั่งสมมา ถ้าไม่อยากให้เกิดอีกต้องถามแต่ละฝ่าย จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ปัญหาก็จะไม่มี และให้มีกลไกองค์กรอิสระแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เราควรต้องมาพูดกันว่าควรจะทำอย่างไร" นายอภิสิทธิ์กล่าว

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.