Posted: 14 Jun 2018 11:54 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
อินโฟกราฟฟิค: อัจฉริยา บุญไชย, ทัศมา ประทุมวัน
หลังสื่อบางสำนักนำเสนอคลิปเตือนใจในฐานะ กสม.เยี่ยมปู่คออี้แล้วสรุปว่าปู่ระบุเกิดตะเข็บชายแดนฝั่งพม่า เตือนใจออกโรงแจงว่าฝั่งไทย พร้อมนำเสนอหลักฐานเอกสารชาวเขาระบุชัดเกิด 2454 เขตจังหวัดเพชรบุรี ด้าน กสม. เสนอวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นต่อรัฐบาล กรณีการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าสงวนและกรณีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ทำกินประชาชน
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่ข่าวเสืบเนื่องจากกรณีที่รายงานของสื่อมวลชนบางสำนักระบุว่า “...เจ้าหน้าที่มีหลักฐานชัดเจน จากกรณีที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางไปเยี่ยมคออี้ที่บ้านบางกลอย ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยคออี้ได้เล่าให้นางเตือนใจฟังว่าตนเองนั้นเกิดที่ต้นแม่น้ำภาชี ใกล้ๆ กับบ้านพุระกำ จ.ราชบุรี ซึ่งไม่ใช่เกิดในประเทศไทย ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่มีการให้ข่าวตลอดมาว่า คออี้เกิดที่ใจแผ่นดินและอาศัยอยู่มานานนับร้อยปี...”
เตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถ้อยคำที่ปู่คออี้บอกเล่ากับตนในคลิปดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ได้แตกต่างหรือขัดแย้งไปจากรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือเป็นที่รับทราบโดยทั่วไปก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เนื่องจากพื้นที่ที่เรียกว่าบ้านใจแผ่นดินอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรีซึ่งไม่ไกลจากบ้านพุระกำ จังหวัดราชบุรี โดยมีแนวสันเขาต้นน้ำลำภาชีแบ่งเขตกั้น ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศพม่าตามที่มีการระบุในรายงานข่าวแต่อย่างใด
ภาพจากเตือนใจ ดีเทศน์
เตือนใจระบุอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารทะเบียนสำรวจบุคคลในบ้านสำหรับชาวเขา หรือ ทร.ชข. ซึ่งสำรวจโดยกรมประชาสงเคราะห์ ระบุชัดเจนว่า ปู่คออี้เกิดเมื่อปี 2454 ที่จังหวัดเพชรบุรี บิดาชื่อนายมิมิ และมารดาชื่อนางพีนอคี นอกจากนั้นยังมีหลักฐานภาพถ่ายที่ปรากฏว่าปู่คออี้และกะเหรี่ยงใจบ้านแผ่นดินเดินทางไปหากำนันตำบลสวนผึ้งเพื่อนำของป่าไปขายยังตัวเมืองจังหวัดเพชรบุรี
เตือนใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างข่าวว่าปู่คออี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทยอาจเป็นความพยายามในการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ในทางคดี ทำให้ศาลและประชาชนทั่วไทยเข้าใจว่า ปู่คออี้เป็นคนพม่าเข้ามาบุกรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม นอกจากนั้นมีข้อสังเกตว่าตนลงพื้นที่ไปเยี่ยมปู่คออี้ที่บ้านบางกลอยตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2561 แต่เพิ่งมีการนำคลิปดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากรณีการเผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ปู่คออี้และพวกรวม ๖ คน จะมีเจตนาแอบแฝงเรื่องอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ตนเองจะทำหนังสือเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องถึงกองบรรณาธิการของสำนักข่าวที่ได้เสนอข่าวในเรื่องดังกล่าว และเรียกร้องให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและมีความรอบคอบก่อนนำเสนอข่าว
ทั้งนี้ในบันทึกการสอบข้อเท็จจริงปู่คออี้ของ ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมายสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ นักศึกษาปริญญาเอก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2554 ระบุตรงกับเตือนใจในเรื่องปีเกิดและถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม (อ่านที่นี่)
นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
สำนักข่าวชายขอบ : http://transbordernews.in.th/home/?p=14716 .
นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
สำนักข่าวชายขอบ : http://transbordernews.in.th/home/?p=14716 .
กสม. เสนอรัฐกรณีคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในป่าสงวน-ออกหนังสือสำคัญที่หลวงทับที่ทำกิน
ขณะเดียวกันวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มีมติเห็นชอบให้เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1. กรณีการกำหนดเขตพื้นที่ในการทำกิน การอยู่อาศัย และการดำเนินวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตอุทยานแห่งชาติ
สืบเนื่องจาก กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากกรณีกล่าวอ้างว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมบนพื้นที่สูงของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคกลาง ได้รับผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม เพราะมีการประกาศเขตป่าสงวนและเขตอุทยานทับซ้อนกับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชุมชน
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด อันเป็นการเร่งรัดการดำเนินมาตรการทวงคืนผืนป่าเพื่อปราบปรามผู้บุกรุกพื้นที่ป่าตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 64/2557 และฉบับที่ 66/2557 เป็นเหตุให้ประชาชนในพื้นที่ตลอดจนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมซึ่งอยู่มาก่อนการประกาศเขตได้รับผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีพ สูญเสียพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัย ตลอดจนถูกจับกุมและตกเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย การดำเนินการเช่นนี้ ย่อมส่งกระทบต่อสิทธิของประชาชนในการกำหนดเจตจำนงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเอง และสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเสรีบนหลักการพื้นฐานแห่งผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งได้รับการรับรองไว้ตามกติการะหว่างประเทศ
กสม.จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.1) หน่วยงานของรัฐตามคำสั่ง คสช. ฉบับ ที่ 64/2557 และ 66/2557 ควรยุติการจับกุมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมซึ่งยังประสงค์ให้มีการพิสูจน์สิทธิว่าเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ และจะดำเนินการขับไล่หรือไล่รื้อได้หลังจากที่มีการพิสูจน์สิทธิและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนคดีถึงที่สุดแล้วเท่านั้น
1.2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรทบทวนปรับปรุงขั้นตอนก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติหรือเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางการจัดการข้อพิพาทการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมกับหน่วยงานของรัฐในเชิงสร้างสรรค์โดยชุมชนมีส่วนร่วม
1.3) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรมุ่งเน้นนโยบายในเชิงป้องกันเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยพัฒนาศักยภาพและขยายผลองค์ความรู้ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วม และคณะกรรมการที่ปรึกษาพื้นที่คุ้มครองในประเทศไทย (PAC) ให้เป็นกลไกหลักในการจัดการพื้นที่ป่าสงวนและอนุรักษ์ในทุกพื้นที่
1.4) คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาทบทวนสถานะทางกฎหมายของแนวนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงในประเด็นเรื่องการจัดการทรัพยากร เพื่อยกระดับเป็นมาตรฐานเชิงกระบวนการในการพิสูจน์และคุ้มครองสิทธิของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมดังกล่าว โดยกำหนดหรือแก้ไขเพิ่มไว้ในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับในพื้นที่สงวนคุ้มครองและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้หรือเขตอนุรักษ์อื่นๆ และควรผลักดันให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินงานระหว่างหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
1.5) คณะรัฐมนตรีควรรับรองสิทธิเชิงกลุ่มของชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมให้มีพื้นที่ในการทำกิน การอยู่อาศัย และการดำเนินวิถีชีวิตตามวัฒนธรรม อันสอดคล้องกับสิทธิของชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แทนการอนุญาตผ่อนผันให้ประชาชนแต่ละรายครอบครองทำประโยชน์ในลักษณะชั่วคราว
1.6) คณะรัฐมนตรีควรพิจารณานำหลักการให้ฉันทานุมัติที่เป็นอิสระแจ้งล่วงหน้า และโดยความยินยอม (Free, Prior, Inform and Consented - FPIC) มาใช้เป็นขั้นตอนตามกฎหมายก่อนการดำเนินโครงการของรัฐที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม
1.7) คณะรัฐมนตรีควรดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยเพิ่มหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนในการกำหนดที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ และศึกษาความเป็นไปได้ในการจำแนกเขตการจัดการสำหรับพื้นที่คุ้มครอง (Zoning) โดยเฉพาะเขตการใช้ประโยชน์แบบวิถีดั้งเดิม
2. กรณีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ทับที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชน
สืบเนื่องจากระหว่างปี 2544 – 2560 กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนในกรณีปัญหาเกี่ยวกับการออก นสล. จากประชาชนในหลายพื้นที่ จำนวน 178 คำร้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีที่ประชาชนกล่าวอ้างว่าหน่วยงานของรัฐผู้มีอำนาจดูแลรักษาที่สาธารณะประโยชน์ดำเนินการออก นสล. ทับที่ดินทำกินของประชาชนทำให้เกิดปัญหาการขับไล่ประชาชนออกจากที่อยู่อาศัยและทำกิน ตลอดจนการจับกุมดำเนินคดีประชาชนในฐานะผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนมายาวนาน
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัญหาการรุกที่สาธารณประโยชน์เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความไม่ต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเนื่องจากมีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่อยู่บ่อยครั้ง ปัญหาด้านกลุ่มการเมืองท้องถิ่นที่เกรงการสูญเสียฐานเสียงจึงไม่กล้าขับไล่ผู้บุกรุกที่เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ หลักฐานแสดงแนวเขตของที่สาธารณประโยชน์ไม่มีความชัดเจน ตลอดจนประชาชนบางกลุ่มไม่ทราบว่าจะมีการออก นสล. ในที่ดินแปลงพิพาท ฯลฯ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงมหาดไทยและคณะรัฐมนตรี ดังนี้
2.1) สำรวจตรวจสอบแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยคำนึงถึง
วิถีชีวิต และการใช้ที่ดินของชุมชนในท้องถิ่น โดยแจ้งประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงการออก นสล. และ
ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกและการเข้ายึดครองพื้นที่ของผู้มีอิทธิพลเพิ่มเติม
2.2) ในการรังวัดที่ดินเพื่อออก นสล. และเอกสารสิทธิในที่ดิน ควรใช้มาตราส่วน 1 : 4000 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558
2.3) กรณีมีข้อโต้แย้งเรื่องแนวเขต ควรพิสูจน์สิทธิในที่ดินของประชาชนในพื้นที่ให้แล้วเสร็จก่อน จึงดำเนินการตามมาตรการทางปกครองกับประชาชนอย่างเป็นธรรม และควรมีมาตรการผ่อนผันให้แก่ประชาชนซึ่งใช้สิทธิโดยสุจริตในการอยู่อาศัยและทำกิน ในส่วนของผู้แอบแฝงเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อหวังผลกำไร ควรดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุดเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ
2.4) ก่อนการดำเนินคดีอาญาแก่ประชาชน หากเป็นการกระทำอันไม่ละเมิดต่อกฎหมายอย่างร้ายแรง ควรดำเนินกระบวนการทางปกครองก่อน และในกรณีที่ต้องมีการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบควรดำเนินการด้วยความรวดเร็ว โดยคำนึงถึงหลักความเหมาะสมและเป็นธรรม
2.5) ในกรณีหน่วยงานราชการต้องการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์ ควรให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมตัดสินใจว่าสมควรเปลี่ยนสภาพการใช้ประโยชน์ในที่ดินหรือไม่
2.6) ควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 26 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 45 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และ ข้อ 12 แห่งระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ.2517 โดยเพิ่มเติมสถานที่ปิดประกาศการออก นสล. อีกหนึ่งแห่งคือ ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งเพิ่มเติมขั้นตอนการประชุมประชาคมของประชาชนในพื้นที่ประกาศออก นสล.
2.7) ควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการมอบหมายให้สภาตำบลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเหลือในการดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ.2543
[full-post]
แสดงความคิดเห็น