ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก (ที่มา:วิกิพีเดีย)

Posted: 14 Jun 2018 10:06 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)

นโยบายกีดกันผู้อพยพแบบพรากครอบครัวของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์กำลังเป็นประเด็นร้อนในสหรัฐฯ หลังล่าสุดแม่ชาวฮอนดูรัสผู้ต้องการอพยพเข้าเมืองในสหรัฐฯ ถูกแย่งลูกออกไปจากอกทั้งที่กำลังให้นมอยู่ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม

15 มิ.ย. 2561 กรณีล่าสุดที่นโยบายกีดกันผู้อพยพของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการพรากแม่พรากลูกเกิดขึ้นกับหญิงชาวฮอนดูรัส เธอเล่าว่าทางการสหรัฐฯ จับกุมตัวเธอแล้วถูกแย่งลูกออกไปจากอกในขณะที่เธอกำลังให้นมลูกอยู่ หญิงรายนี้เป็นผู้อพยพที่ยังไม่ได้เอกสารอนุญาตจากทางการ เธอถูกคุมขังด้วยข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

มิเกล เอ โนกูราส ผู้ช่วยทนายความจากเมืองแมคอัลเลน รัฐเท็กซัสเปิดเผยว่านับตั้งแต่มีการใช้นโยบายนี้อย่างจริงจัง ก็มีเด็กถูกพรากออกไปจากครอบครัวแล้วราว 500 ราย อีกทั้งมีพ่อแม่บางคนที่ถูกจับกุมบอกว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกของพวกเขาบ้าง นาตาเลีย คอร์เนลลิโอ ทนายความของโครงการสิทธิพลเมืองเท็กซัสซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์หญิงชาวฮอนดูรัสที่ถูกแย่งลูกไปจากอกกล่าวว่าการที่รัฐบาลทำเช่นนี้ถือเป็นการทารุณผู้อพยพที่เป็นพ่อแม่คน

คอร์เนลลิโอเปิดเผยอีกว่า การสัมภาษณ์คนที่ถูกพรากลูกเหล่านี้ทำให้หลายคนแสดงความเศร้าโศกออกมาอย่างฉับพลัน "ผู้หญิงทุกคนจะเริ่มร้องไห้และต้องใช้เวลาสัก 2-3 นาทีเพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องของพวกเธอต่อได้อีกครั้ง" คอร์เนลลิโอกล่าว

การพรากลูกเช่นนี้กลายเป็นกรณีวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว (พ.ค. 2561) จนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ เจฟฟ์ เซสชัน รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะไม่ปล่อยให้มี "การข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย" เข้ามาในสหรัฐฯ อีกต่อไป ซึ่งเรียกว่า "zero-tolerance policy" โดยจะมีการแยกจับกุมคนเข้าเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ และแยกเด็กออก รวมถึงเด็กแบเบาะที่มากับพ่อแม่ออกไปต่างหากโดยไม่ตั้งข้อหาแล้วจะให้เด็กเหล่านั้นตัดสินใจเองว่าจะขอลี้ภัยในสหรัฐฯ หรือไม่

เซสชันกล่าวหาพ่อแม่ผู้ปกครองที่นำเด็กลี้ภัยความรุนแรงจากประเทศตัวเองเข้าสู่สหรัฐฯ ว่า 'เป็นการลักลอบนำเด็กเข้าเมือง' เรื่องนี้ทำให้สื่อแอลเอไทม์ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้คำเรียกพ่อแม่ผู้ปกครองที่พาลูกหลานครอบครัวตัวเองอพยพเข้าสหรัฐฯ อีกทั้งยังวิจารณ์ว่าการปฏิเสธไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กเข้าสู่ประเทศขัดต่อหลักการสนธิสัญญาของนานาชาติที่สหรัฐฯ ร่วมลงนามด้วย สนธิสัญญาดังกล่าวระบุว่าประชาชนที่หนีออกจากประเทศของตัวเองสามารถเข้าสู่ประเทศอื่นๆ อย่างถูกกฎหมายและสามารถขอลี้ภัยที่ไหนก็ได้ ดังนั้นถ้าหากสหรัฐฯ ใช้กฎหมายลงโทษบุคคลที่อพยพเข้าเมืองเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายนานาชาติ

สถานการณ์ในภูมิภาคอเมริกากลางที่มีกลุ่มอิทธิพลข่มขู่คุกคามและสภาวะไร้ขื่อแปบีบให้ประชาชนหลายคนต้องการลี้ภัยเข้าสู่สหรัฐฯ ไม่ว่าพวกเขาจะมากับครอบครัวด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ลักษณะการใช้คำพูดและท่าทีแสดงออกของเซสชันก็พยายามป้ายสีให้ผู้คนเหล่านี้ดูเหมือนเป็น "คนต่างด้าว" ที่เข้ามา "รุกราน" แต่มาตรการใหม่ที่พวกเขาอ้างใช้ก็มีลักษณะโหดร้ายและละเมิดหลักการผู้ลี้ภัยของนานาชาติ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นมาตรการที่ใช้ไม่ได้ผลจริงในการจัดการปัญหา มีแต่จะเป็นการเพิ่มงานให้กับเหล่าอัยการและผู้พิพากษาเป็น 5 เท่า และสร้างผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นให้รัฐมีรายจ่ายเพิ่ม

แอลเอไทม์เปรียบเทียบว่าระบบการจัดการผู้อพยพสมัยรัฐบาลบารัก โอบามา มีตวามคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าและมีวิธีการที่มีมนุษย์ธรรมมากกว่าโดยอาศัยการให้ผู้จัดการรายกรณีคอยตรวจสอบผู้ขอลี้ภัยโดยที่ไม่คุมขังพวกเขา แต่รัฐบาลทรัมป์ก็ยกเลิกการใช้วิธีนี้

เรียบเรียงจาก

She says federal officials took her daughter while she breastfed the child in a detention center, CNN, Jun. 14, 2018

What kind of country would tear apart and lock up families fleeing violence in their homelands? Ours, Los Angeles Times, May, 8, 2018[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.