Posted: 16 Jun 2018 10:34 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)

สื่อสหรัฐฯ เปิดโปง รบ.ทรัมป์ ดำเนินนโยบายกีดกันผู้อพยพ แยกเด็กจากพ่อแม่ คาดมีการเอื้อประโยชน์ในการจัดจ้างผู้รับเหมาเอกชนด้านความมั่นคงและข่าวกรอง"ดูแล" และจัดหาแหล่งพักพิงให้เด็กเหล่านี้ รวมทั้งตั้งคำถามถึงความเหมาะสม

16 มิ.ย. 2561 สื่อเดอะเดลีบีสต์รายงานว่า กรณีการพรากลูกออกจากผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่นโยบายกีดกันผู้อพยพที่ดูโหดร้ายต่ออารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการเอื้อผลประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาในด้านข่าวกรองและด้านกลาโหมด้วย โดยที่กลุ่มเหล่านี้มีการโฆษณาจ้างวานเพิ่มมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับเด็กที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ พรากมาจากผู้ปกครอง หนึ่งในนั้นมีธุรกิจที่เคนมีประวัติอื้อฉาวอยู่ด้วย

บริษัท MVM ในเวอร์จิเนีย เป็นหนึ่งในบริษัทที่ประกาศรับคนทำงานเพิ่มเพื่อช่วยเหลือ "การสร้างที่พักพิงฉุกเฉินให้กับเด็กผู้ลี้ภัยที่ไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย" โดยที่ MVM เชื่อว่าธุรกิจของพวกเขากำลังเติบโต มีการโฆษณารับคนทำงานดูแลเยาวชนตั้งแต่ช่วง 20 วันที่ผ่านมา

แมธธิว โคลเคน ทนายความด้านผู้อพยพที่มักจะว่าความให้กับเด็กอพยพเข้าเมืองโดยไม่มีเอกสารอนุญาตกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อเดลีบีสต์ว่าเขามีความกังวลในเรื่องการจ้างงานในเรื่องนี้มาก เพราะถึงแม้ว่าหน้าฉากจะอ้างว่าเป็นงาน "ดูแลเด็กและเยาวชน" แต่บริษัทเหล่านี้ไม่มีปัจจุยัใดๆ ในการที่จะดูแลเด็กในแบบที่จะเคารพในสิทธิความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้เลย

นโยบายที่ชื่อว่า "zero-tolerance" ของรัฐบาลทรัมป์ทำให้เกิดการจับกุมผู้อพยพและแยกลูกของพวกเขาออกมา แม้ว่าผู้อพยพบางคนจะไดรับการประกันตัวออกมาพร้อมกับถูกจับตาดู แต่ก็มีการพรากเด็กหลายร้อยคนแล้วนับจากการเปลี่ยนแปลงเป็นนโยบายนี้ โดยเด็กที่ถูกแยกจากพ่อแม่จะอยู่ภายใต้ความควบคุมดูแลของสำนักงานการตั้งรกรากใหม่ของผู้ลี้ภัย (ORR) โดยที่ ORR ได้ผลักให้เด็กเหล่านี้ไปอยู่ในการดูแลของแหล่งพักพิงหรือแหล่งอุปการะเด็ก จุดนี้เองที่เปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจเข้ามาร่วมดำเนินการกิจการที่เกี่ยวข้องกับเด็กเหล่านี้ ทั้งในด้านการขนส่งลำเลียงและ "การดูแล" รวมถึงมีจำนวนแหล่งพักพิงสำหรับเด็กไว้มากเกินความต้องการช่วงก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่ากลุ่มผู้รับเหมาที่เสนอตัว "ดูแล" เด็กเหล่านี้ระบุว่าเด็กที่แยกจากพ่อแม่ผู้อพยพอาจจะเคยมีประสบการณ์ผ่านความยากจนอย่างหนัก ถูกเกณฑ์เข้าแก็งค์อาชญากร หรือเผชิญความรุนแรงในครอบครัว ขณะที่บริษัทที่ชื่อ MVM บอกว่าตัวเองเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการต่อต้านอาชญากรรมเกี่ยวกับยาเสพติด และประเด็นความมั่นคง อีกทั้งยังเคยเป็นผู้รับเหมาที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เคยจ้างวาน กลุ่ม MVM นี้ยังเคยมีเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวกับการจัดหาอาวุธที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการในช่วงที่เป็นผู้รับจ้างคุ้มกันให้กับหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ในอิรัก

เรื่องอื้อฉาวของ MVM ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อคนงานของตัวเอง เมื่อปี 2560 มีกรณีที่คณะกรรมาธิการด้านโอกาสการจ้างงานอย่างเท่าเทียมกันฟ้องร้อง MVM ในเรื่องที่พวกเขาห้ามพนักงานปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม สั่งให้ลูกจ้างของพวกเขาโกนเครา มีนายจ้างที่เรียกลูกจ้างด้วยคำเหยียดสีผิว จนทำให้บริษัทแพ้คดีจ่ายค่าชดเชยให้ในอีกหลายเดือนต่อมา

MVM ให้สัมภาษณ์ต่อเดลีบีสต์โต้แย้งว่า เรื่องกรณีการเหยียดสีผิวและเลือกปฏิบัติกับพนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นการประกาศจ้าง "คนดูแลเด็ก" และเมื่อสื่อถามว่ามันเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ที่ให้บริษัทรับเหมาด้านความมั่นคงทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็กเช่นนี้ โจ อราบิต ประธานฝ่ายความมั่นคงมาตุภูมิและความปลอดภัยสาธารณะกล่าวว่าการจัดการขนส่ง ความปลอดภัย และหาที่พักให้กับเด็กเหล่านี้มี "มีความอ่อนไหว" อยู่ และพวกเขาสามารถให้ข้อมูลได้ในจำนวนจำกัดเนื่องจากสัญญาจ้างที่มีอยู่ตอนนี้

นีล กอร์ดอน ผู้สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการทุจริตด้านการจัดจ้างของรัฐบาลหรือ "Project on Government Oversight" กล่าวว่าเรื่องเหล่านี้แสดงมห้เห็นว่านโยบายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยของรัฐบาลทรัมป์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเอื้อผลประโยชน์กับการจัดจ้างผู้รับเหมาเอกชน



เรียบเรียงจาก

Defense Contractors Cashing In On Immigrant Kids’ Detention, The Daily Beast, 14-06-2018

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.