Posted: 30 May 2018 08:47 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
วีดิโอด้านบนนี้เป็นการกล่าวปาฐกถาของบุคคลในชาติต่างๆ ที่ไปร่วมงาน Oslo Freedom Forum ที่จัดขึ้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ (ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.2018) ในวันที่สองของงาน หนึ่งในคนที่ขึ้นพูดในเวทีนี้มาจากประเทศไทย นั่นคือ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่เพิ่งถูกปลดไปเร็วๆ นี้) ในหัวข้อ
The Student vs. The Military
ประมาณนาทีที่ 1.14.00 จะปรากฏภาพเขาเริ่มพูดถึงจุดเริ่มต้นความสนใจการเมืองของเขาและสถานการณ์ขาดไร้เสรีภาพในประเทศไทยภายใต้รัฐบาล คสช. กระทั่งในนาทีที่ 1.24.00 จะเห็นว่าเขาจบการพูดที่โพเดียมและเดินออกมายืนหน้าเวทีเพื่อเชิญชวนผู้ร่วมฟังในห้องประชุมนั้น “ชูสามนิ้ว” อันเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลทหารในประเทศไทย เพื่อกดดันให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว เขาบอกว่าสัญลักษณ์นี้เป็นที่น่าหวาดกลัวมากสำหรับรัฐบาล แต่เชื่อมมั่นว่าทุกคนที่นี่จะไม่โดนจับแน่นอน
เวทีแห่งนี้จัดมาเป็นครั้งที่ 10 แล้ว นับตั้งแต่ปี 2009 มีสโลแกนหลักว่า "ท้าทายอำนาจ" มันเป็นเวทีที่รวมบรรดาบุคคลผู้กล้าหาญทั่วโลก ทั้งในแวดวงนักกิจกรรม ผู้ประกอบการสร้างสรรค์, สื่อมวลชน, ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี, ผู้ผลิตนโยบายทั้งหลาย รวมถึงบรรดาศิลปิน มาร่วมกันแลกปลี่ยนประสบการณ์และหาหนทางในการขยายพื้นที่เสรีภาพและปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์
สำหรับเนื้อหาการพูดของเนติวิทย์นั้น Voice TV ได้จัดแปลไว้ครบถ้วน ดังนี้
"ผมคงไม่ได้มาที่นี่ถ้าผมถูกจับพร้อมเพื่อนที่ออกไปประท้วงในวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เพื่อทวงการเลือกตั้งจากรัฐบาลทหาร ผมอยากจะขอยกย่องความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณประชาธิปไตยของพวกเพื่อนๆ ผม ที่พยายามจะนำมา (ซึ่งประชาธิปไตย) ให้กับพวกเรา
ชีวิตผมไม่ได้ต่างจากเด็กไทยทั่วๆ ไป ผมโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางของสังคมไทย ผมเป็นเด็กที่เรียนได้ในระดับพอใช้ ผมไม่สนใจเรื่องการเมือง ผมยอมตัดผมเกรียนและสวมเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่ตั้งคำถาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ทำหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน และเขียนบทความตั้งคำถามว่าทำไมครูถึงต้องมายุ่งกับศีรษะนักเรียน ผมขอให้ครูที่ผมเชื่อใจช่วยอ่านบทความ และต่อจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงเรียกจากเครื่องกระจายเสียงของโรงเรียน ให้ผมเข้าไปพบที่ห้องพักครู ผมถูกกักบริเวณ 5 ชั่วโมง เพียงเพราะผมเขียนบทความ ถามคำถามง่ายๆ ว่าทำไมครูต้องมายุ่งกับศีรษะของนักเรียน ประสบการณ์นี้ทำให้ภาพของผมในสายตาของครูเปลี่ยนไป จากนักเรียนธรรมดา กลายเป็นนักเรียนที่เป็นภัยต่อโรงเรียน ซึ่งผมถือว่ามันเป็นคำชมที่เป็นเกียรติกับผมมาก
จนกระทั่งปี 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกองทัพคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล และส่งทหารไปควบคุมทั่วประเทศ เพราะมีการเคลื่อนไหวประท้วงการก่อรัฐประหาร และพวกเขาก็ตอบโต้ด้วยการจับกุมผู้ประท้วง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้มีอำนาจในประเทศไทยใช้กำลังปะทะกับผู้ชุมนุม เมื่อ 40 ปีก่อน นักศึกษาจำนวนมากก็ถูกสังหารหมู่ด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจในระดับที่ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน
เมื่อปี 2559 ในฐานะที่เป็นนิสิตคนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกมองว่าเป็นสถาบันของพวกอนุรักษนิยม เพื่อนร่วมชั้นของผม และตัวผมเอง ได้ตัดสินใจเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญด้วยการพยายามจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ผมเชิญโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยในฮ่องกงเพื่อเข้าร่วมเวทีพูดคุย เพื่อให้เขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนในไทย แต่ผมตกใจมากเมื่อผมไปรอเขาที่สนามบินอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง แต่เขาก็ไม่มา และตอนหลังผมเพิ่งรู้ว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ของทางการไทยควบคุมตัว และถูกส่งตัวกลับฮ่องกงในวันต่อมา นั่นเป็นครั้งแรก ภายใต้อรัฐบาลทหาร ที่ผมรู้สึกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเสรีภาพที่เราเคยมี และประเทศของผมตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีนเสียแล้ว
ปีถัดมา ผมได้รับเลือกเป็นประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมและเพื่อนร่วมสภาได้ตัดสินใจเดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนิสิตใหม่แรกเข้า ซึ่งนักศึกษาปี 1 ต้องหมอบกราบต่อหน้าพระรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผมเลือกที่จะยืนขึ้นแทน เพื่อรำลึกถึงพระดำริของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงประกาศเลิกทาส สิ่งที่ผมและเพื่อนทำลงไปกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงวิชาการ และอาจารย์จำนวนหนึ่งกล่าวหาว่าผมแสดงอาการก้าวร้าวแข็งข้อ และพยายามจัดฉาก และศิษย์เก่าหลายคนเรียกร้องให้ไล่ผมออก รวมถึงปลดผมออกจากการเป็นประธานสภานิสิต เช่นเดียวกับเพื่อนนิสิตคนอื่นๆ ที่เลือกจะยืน ถูกตัดคะแนนประพฤติทั้งหมด
พวกเราเจอลงโทษหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้พวกเราได้รับการสนับสนุนจากคนไทยจำนวนมาก รวมถึงนักวิชาการทั่วโลก ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 8 ราย และนักวิชาการอีกกว่า 100 ราย แสดงความกังวล และเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทบทวนการกระทำดังกล่าว เพราะพวกเราก็เป็นแค่นิสิตที่ต้องการแสดงความคิดเห็นของเราออกมา พวกเราไม่ได้มีอาวุธ แต่เรากลับถูกทำให้เงียบ
ล่าสุด ในประเทศไทย นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งเปิดโปงกระบวนการทุจริตครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการฉ้อโกงเงินช่วยเหลือคนยากจน แต่อิทธิพลของกองทัพกำลังเข้าครอบงำสถาบันการศึกษาไทย พวกเขาได้เพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือน ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นการสอนให้คุณเป็นนักเรียนที่ดีที่เชื่อฟัง และผู้ดูแลการตรวจสอบขบวนการทุจริตที่ผมว่าก็เป็นรองนายกรัฐมนตรีซึ่งมีนาฬิกาหรูอยู่ในครอบครอง 25 เรือน และยังไม่มีใครแตะต้อง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เปิดทางให้รัฐบาลทหารกลับมามีอำนาจได้ใหม่ในอนาคต วุฒิสมาชิกจำนวนเกือบครึ่งจะถูกแต่งตั้ง แทนที่จะถูกเลือกตั้งมาโดยประชาชน สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ที่เห็นต่าง เช่น เพื่อนของผมซึ่งเป็นนักกิจกรรมคนหนึ่งชื่อว่า ไผ่ ดาวดิน แชร์บทความของสำนักข่าวบีบีซีไทยในเฟซบุ๊ก และเขาเป็นคนเดียวที่ถูกจับ แต่คนอีกกว่า 2,600 คนที่แชร์บทความเดียวกัน กลับไม่ได้ถูกจับแต่อย่างใด
และในปีนี้ หลังจากที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ทำให้ผมได้รับเกียรติอีกครั้ง ด้วยการถูก (ตำรวจ) ตั้งข้อหา เป็นแกนนำ ยุยงปลุกปั่น และก่อให้เกิดความไม่สงบ ละเมิดคำสั่ง คสช. ซึ่งถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงก็อาจจะถูกลงโทษจำคุก 6-7 ปี และผมเพิ่งได้รับข่าวจากเพื่อนว่าผมอาจจะโดนเพิ่มอีกข้อหา แต่ผมก็ยังมีความหวังว่าไทยจะดีขึ้น ความหวังนั้นยังไม่หายไปไหน
เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เฟซบุ๊กเพจที่แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลทหาร ได้จัดทำโพลสอบถามความเห็นประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าพวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารอยู่หรือเปล่า น่าประหลาดใจมากที่ร้อยละ 97 ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 300,000 คน ตอบว่า 'ไม่' แม้ว่าจะมีการประท้วงและล้มเหลว บางครั้งเราถูกจับ และบางครั้งทหารก็ตามไปถึงบ้านคนที่ออกมาประท้วง แต่คนไทยไม่ยอมแพ้ และเวลานั้นจะมาถึง เวลาที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นถูกต้อง"
แสดงความคิดเห็น