ปัญหาอำนาจพิจารณาคดีพลเรื อนของศาลทหารตามประกาศ คสช.
Posted: 02 Jul 2016 03:32 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
บทความชิ้นนี้เป็นการสรุ ปจากความเห็นที่เสนอต่อคณะอนุ กรรมการด้านสิทธิทางการเมือง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เมื่อ 29 มิถุนายน 2559
1. ข้อความเบื้องต้น
การพิจารณาคดีพลเรื อนในศาลทหารเป็นการพิจารณาคดี เฉพาะในสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งย่อมมีขึ้นได้ตามหลั กกฎหมายทั่วไปว่าด้วย “การกระทำโดยจำเป็น” โดยเฉพาะในภาวะที่ศาลไม่อยู่ ในฐานะที่จะดำเนินกระบวนพิ จารณาได้ตามปกติ เพราะมีเหตุภยันตรายอันมี มาโดยฉุกเฉิน ถึงขนาดเป็นเหตุให้ศาลไม่อาจเปิ ดทำการได้ เช่นในภาวะที่มีเหตุฉุกเฉินอั นเนื่องมาจากสภาวะสงคราม การสู้รบ หรือการจลาจล
ในสภาวะเช่นนี้ประมุขของรัฐ หรือหัวหน้ารัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสูงสุ ดในการรักษาความสงบย่อมมี ความชอบธรรมในการดำเนินการทุกวิ ถีทางตามที่จำเป็นเพื่อขจัดปั ดเป่าภยันตรายเช่นนั้นตามที่ จำเป็น ซึ่งมักทำด้วยการประกาศใช้กฎอั ยการศึก อันเป็นการประกาศรวบอำนาจรัฐ และใช้อำนาจนั้นทำการทั้งปวงเพื ่อขจัดปัดเป่าภยันตรายในภาวะฉุ กเฉิน
อำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึ กและรวบอำนาจรวมศูนย์ไว้กับผู้ ประกาศนี้ ถือกันว่าเป็นอำนาจตามความจำเป็ นที่มีขึ้นตามเหตุผลของเรื่อง จึงเป็นอำนาจที่เกิดขึ้ นตามความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริง ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีการประกาศใช้ กฎอัยการศึกอย่างเป็นทางการหรื อไม่ก็ตาม อย่างไรก็ดี เพื่อความชัดเจนแน่นอนว่า ได้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ถึงขั้นที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยต้ องใช้อำนาจทั้งปวงในการขจัดปั ดเป่าภยันตรายให้สิ้นไป และเพื่อให้ประชาชนเชื่อฟั งโดยดี จึงมีการยอมรับว่า จะต้องมีการประกาศใช้กฎอัยการศึ กอย่างเป็นทางการด้วย
ในทางทฤษฎียังคงมีการถกเถียงกั นว่า อำนาจพิจารณาตรวจสอบว่ามีเหตุ การณ์ฉุกเฉินถึงขนาดหรือไม่ เป็นอำนาจของใคร ฝ่ายหนึ่ง นำโดย A. Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution (N.Y.: 5th ed. 1923), pp.539-544 มีความเห็นว่า ฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอำนาจประกาศ แต่การตรวจสอบเป็นอำนาจของฝ่ ายตุลาการหรือศาลยุติ ธรรมตามปกติ เพื่อตัดสินว่ามีเหตุจำเป็นจริ งหรือไม่
แต่อีกฝ่ายหนึ่ง เช่นศาลสูงสหรัฐในคดี Luther v. Borden, 7 How. (48 U.S.) 1 (1849) 45 ก็อธิบายว่าอำนาจดังกล่าวเป็ นอำนาจเด็ดขาดโดยเฉพาะของผู้มี อำนาจหน้าที่สูงสุดในการบั ญชาการเพื่อขจัดปัดเป่าภยั นตรายนั้นๆ ที่ไม่อาจถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุ ลาการได้
แต่ทว่า ในคดี Ex parte Milligan, 4 Wall. (71 U.S.) 2 (1866) ศาลสูงสหรัฐก็ได้ตัดสินว่า การที่ประธานาธิบดี Lincoln ได้อ้างอำนาจประธานาธิบดีเหตุ สงครามกลางเมือง ยับยั้งหมายศาลที่เรียกให้ส่งตั วบุคคลที่อยู่ในความควบคุ มของเจ้าพนักงานมายังศาล (habeas corpus) เมื่อเดือนกันยายน 1863 โดยอ้างว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ ต้องหาที่อยู่ในระหว่างการควบคุ มตัวในการพิจารณาคดีของศาลทหาร ในคดีที่ผู้นั้นถูกกล่าวหาว่ าเป็นจารชน ผู้สนับสนุนฝ่ายข้าศึกนั้น เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะขณะนั้นประเทศไม่ได้ตกอยู่ ในภาวะไม่สงบถึงขนาดที่ศาลไม่ อาจทำการพิจารณาข้อพิพาทได้ ตามปกติ
ในคดีนี้ศาลสูงได้ยืนยันว่า แม้รัฐสภาจะทรงไว้ซึ่ งอำนาจตามรัฐธรรมนู ญในการประกาศสงคราม และชอบที่จะตรากฎหมายทั้งปวงเพื ่อให้ประสบชัยชนะในสงคราม และแม้ประธานาธิบดีจะมี อำนาจในการบังคับบัญชากองทัพ และบัญชาการรบทั้งปวง โดยไม่มีกฎหมายหรือรัฐธรรมนู ญวางข้อจำกัดอำนาจไว้โดยแจ้งชั ดก็ตาม แต่อำนาจเช่นนั้นของรั ฐสภาและประธานาธิบดีก็ย่อมมีได้ จำกัดตามเหตุผลของเรื่อง และตามหลักทั่วไปของรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ศาลสูงจึงไม่อาจรั บรองให้รัฐสภาประกาศและบังคั บใช้กฎอัยการศึกทั้ง ๆ ที่ไม่มีการประกาศสงคราม หรือสถานการณ์สงครามดำรงอยู่ ตามข้อเท็จจริง
ซึ่งอาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐสภาอาจกำหนดให้ศาลทหารมี อำนาจพิจารณาคดีแทนศาลยุติ ธรรมได้ แต่อำนาจเช่นนั้นย่อมมีจำกั ดเฉพาะในสถานการณ์สงคราม
2. ปัญหาขอบเขตอำนาจพิจารณาคดี ของศาลทหาร
หลักที่ว่า ศาลทหารอาจมีอำนาจพิจารณาคดี แทนศาลยุติธรรมได้ เฉพาะในสถานการณ์สงคราม หรือภาวะสู้รบหรือจลาจลที่กล่ าวแล้วนี้ ก็มีที่มาจากต้นกำเนิ ดของอำนาจศาลทหารนั่นเอง คือมาจาก “เหตุจำเป็น” และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ “เหตุจำเป็น” คือภาวะสู้รบ จลาจล หรือสถานการณ์สงครามได้สิ้นสุ ดลง อำนาจของศาลทหารก็ย่อมสิ้นสุ ดลงเพราะ “ไม่จำเป็น” อีกต่อไป
ในกรณี อำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะรั กษาความสงบแห่งชาตินั้น ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ก่อนการยึดอำนาจการปกครอง ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึ กตามประกาศกองทัพบก ฉบับที่ 1/2557 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ต่อมาในวันยึดอำนาจการปกครองก็ ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่ งชาติ ฉบับที่ 2/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และหลังจากยึดอำนาจได้ 3 วัน หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีประกาศฉบับที่ 37/2557 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2557 กำหนดให้ความผิดบางประเภทอยู่ ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร อันได้แก่
1. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
(1) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็ จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 112
(2) ความผิดต่อความมั่นคงของรั ฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึงมาตรา 118 ยกเว้นความผิดซึ่งการกระทำผิ ดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มี การประกาศใช้พระราชบัญญัติการรั กษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือพระราชกำหนดการบริ หารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ
2. ความผิดตามประกาศหรือคำสั่ งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ความผิดเหล่านั้นได้แก่
ความผิดเหล่านั้นได้แก่
– ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุ มนุมทางการเมือง (ป.7/2557 เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557)
– ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งให้ รายงานตัวเป็นความผิด (ป.41/2557 เมื่อ 30 พฤษภาคม 2557)
– ความผิดเกี่ยวกับการติ ดตามทวงหนี้ (ป.46/2557 เมื่อ 30 พฤษภาคม 2557) และ
– ความผิดฐานสนับสนุนการชุมนุ มทางการเมือง (ป.49/2557 เมื่อ 30 พฤษภาคม 2557)
หลังจากยึดอำนาจได้ 10 เดือน ก็ได้มีพระบรมราชโองการให้เลิ กกฎอัยการศึกทั้งสองฉบับข้างต้น โดยประกาศว่า “สถานการณ์หมดความจำเป็นที่จะต้ องใช้กฎอัยการศึก” แล้ว โดยให้เลิกกฎอัยการศึกนับตั้ งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุ เบกษา คือวันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
ในวันที่ได้มี พระบรมราชโองการให้เลิกกฎอั ยการศึกนั้นเอง ก็ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรั กษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้ อยและความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจั กรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกบังคับใช้ โดยกำหนดมาตรการรักษาความสงบเรี ยบร้อยและความมั่นคงของชาติด้ วยการให้อำนาจข้าราชการทหารปฏิ บัติหน้าที่เจ้าพนักงานรั กษาความสงบเรียบร้อยโดยให้มี อำนาจต่าง ๆ ตามกฎหมายเฉพาะอีกหลายประการ
ที่สำคัญในข้อ 12 ของประกาศดังกล่าว ได้แก้ไขเพิ่มเติมความผิดฐานมั่ วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้ งแต่ห้าคนขึ้นไปที่เคยกำหนดเป็ นความผิดไว้ตั้งแต่วันยึ ดอำนาจการปกครองเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดยให้มีโทษลดลงจากเดิมที่ เคยประกาศไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่ าคำสั่งที่ 3/2558 นี้ มุ่งหมายจะตราขึ้นเพื่อเป็ นมาตรการ และกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใช้ แทนกฎอัยการศึกที่หมดความจำเป็ นไปแล้วนั้น
การที่มีพระบรมราชโองการให้เลิ กใช้กฎอัยการศึก เพราะสถานการณ์หมดความจำเป็นที่ จะต้องใช้กฎอัยการศึก และการออกคำสั่งหัวหน้ารั กษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 ขึ้นบังคับใช้แทนการใช้กฏอั ยการศึกนี้ ทำให้เกิดปัญหาน่าคิดว่าว่า จะส่งผลกระทบต่อความมี ผลของประกาศคณะรักษาความสงบแห่ งชาติฉบับที่ 37/2557 ที่มุ่งใช้ในสถานการณ์ที่มี การประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยกำหนดให้ความผิดบางประเภทอยู ่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ของศาลทหารเพียงใด
หากพิจารณาตามหลักกฎหมายทั่วไป และตามความมุ่งหมายของกฎหมายให้ ใช้กฎอัยการศึก ประกอบกับธรรมนูญศาลทหารที่มุ่ งให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดี พลเรือนเฉพาะบางคดีที่ผู้มี อำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึ กกำหนดให้อยู่ในอำนาจศาลทหารได้ และมีได้เฉพาะในยามไม่ปกติแล้ว เมื่อมีพระบรมราชโองการให้เลิ กใช้กฎอัยการศึก อำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ของศาลทหารย่อมระงับสิ้นไปทันที ที่มีพระบรมราชโองการให้เลิกใช้ กฎอัยการศึกนั้นเอง
เพราะเมื่อสถานการณ์ หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎอั ยการศึกอันเป็นเหตุให้ศาลทหารมี อำนาจพิจารณาคดีเหนือพลเรือน กล่าวคือเมื่อไม่มีเหตุให้มี ศาลทหารในยามไม่ปกติเสียแล้ว ผลอันมีมาแต่เหตุ คืออำนาจพิจารณาของศาลทหารเหนื อพลเรือนในยามไม่ปกติ ในข้อกล่าวหาที่มีขึ้นหลังวันที ่มีพระบรมราชโองการให้เลิกใช้ กฎอัยการศึก ก็ย่อมสิ้นลงตามไปด้วย คงเหลือแต่อำนาจศาลทหารในการพิ จารณาคดีที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้ นไปเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรสรุปได้ว่า นับจากวันที่มี พระบรมราชโองการให้เลิกใช้กฎอั ยการศึก และการกำหนดมาตรการและการตรากฎเ กณฑ์เปลี่ยนแปลงอัตราโทษที่ เคยกำหนดไว้สำหรับการชุมนุ มทางการเมือง ตามคำสั่งหัวหน้ารั กษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 ย่อมมีผลเป็นการประกาศเปลี่ ยนแปลงประกาศคณะรักษาความสงบแห่ งชาติที่ 37/2557 ที่กำหนดให้คดีบางประเภทอยู่ ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลทหารให้ สิ้นผลไปโดยปริยาย
ที่มา: facebook.Kittisak Prokati
แสดงความคิดเห็น