ใครที่คิดว่าข่าวจับเด็กจับผู้หญิงอาทิตย์ที่แล้วเป็นจุดต่ำสุดของประเทศไทย วันนี้มีจุดต่ำกว่าเดิมเกิดขึ้นได้อีก ภาพซ้ายเป็นภาพของคุณนริศราวัลถ์ นักสังคมสงเคราะห์ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน คนถ่ายภาพนี้คือคุณฐาปนีย์ เอียดศรีไชย ส่วนภาพที่สองเป็นภาพศพของสิบโทกิตติกร สุธีพันธุ์ คนถ่ายภาพคือทนายความ คราศรี ลอยทอง
คุณนริศราวัลถ์ในภาพชูสองมือซึ่งเปื้อนหมึกหลังถูกตำรวจมักกะสันบุกไปจับจากที่ทำงานที่กระทรวงพัฒนาสังคมที่กรุงเทพ จากนั้นตำรวจมักกะสันส่งเธอไปที่สถานีตำรวจนราธิวาสเพื่อดำเนินคดี
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเด็กผู้หญิงเพิ่งเรียนจบคนนี้เป็นฆาตกรหรือค้ายาเสพติดจนตำรวจมักกะสันขันต้องจัดทีมจับคุณนริศราวัลย์และเร่งส่งตัวไปชายแดนใต้ เพราะคุณนริศราวัลถ์ไม่ได้ทำอะไร นอกจากในช่วงต้นปีโพสท์เฟซบุ๊คเรื่องน้าของเธอถูกซ้อมและทรมานจนตายในค่ายทหาร
ใครจำชื่อ "พลทหารวิเชียร เผือกสม" คงจำได้ว่าหลานที่เป็นแค่เด็กปริญญาตรีในตอนนั้นพูดถึงสภาพศพน้าเธอว่าถูกทำร้ายในค่ายจนเสียขีวิตอย่างน่าสะเทือนใจ
กระบวนการยุติธรรมหลังจากนั้นยืนยันว่าคุณนริศราวัลถ์พูดถูก คณะกรรมการของกระทรวงยุติธรรมสรุปว่าร้อยโทและทหารอีก ๑๐ ราย มีความผิดตามกฎหมายอาญา นอกจากนั้นศาลแพ่งก็สั่งให้กองทัพบกจ่ายค่าเยียวยาแม่พลทหาร ผลทางแพ่งและอาญาจึงเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่หลานคนนี้ทำเพื่อน้ามีมูล
ถ้าท่านจำไม่ได้ว่าพลทหารวิเชียร์คือใคร หากพอจำได้ว่าเคยมีพระจบปริญญาโทแล้วไปบวชเป็นทหาร จากนั้นท่านถูกซ้อมตาย นั่นล่ะคือพลทหารวิเชียร
วันนี้คุณนริศราวัลถ์ซึ่งทำหน้าที่หลานในการปกป้องน้าและเรียกร้องความเป็นธรรมแทนสังคมถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทไปแล้วในยุคนี้ - พูดอีกอย่างคือหลานที่บอกโลกว่าน้าถูกเจ้าหน้าที่รัฐฆ่าถือว่ามีความผิดจนต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทย
ภาพขวาเป็นภาพที่หลายคนอาจลืมไป นั่นคือภาพของสิบโทกิตติกร สุธีรพันธ์ ที่ทนายความผู้โพสท์ระบุว่าถูกซ้อมจนตายในเรือนจำค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559 และทหารบอกแม่ของสิบโทว่าลูกของเธอตายเพราะหนาวตาย สวนทางกับสภาพศพที่ทนายพบว่ามีรอยฟกช้ำ ส่วนเสื้อที่สิบโทใส่ก่อนตายก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวอื่นของคนอื่นมาสวมทับแทน
วันนั้นทนายความเล่าว่าฝ่ายค่ายทหารต้องการให้ชันสูตรศพในค่ายทหาร แต่แม่และทนายยืนยันว่าต้องเอาไปชันสูตรที่โรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ จากนั้นทนายมีการพูดถึงขั้นทหารโทรไปข่มขู่หมอผู้ชันสูตรศพจนหมอต้องหลบไปหลายวัน ต่อมาตัวทนายก็ถูกขู่เอง
เมื่อวานนี้ศาลจังหวัดสุรินทร์วินิจฉัยแล้วว่าสิบโทกิตติกรไม่ได้นอนหนาวตาย เขาตายในสภาพกระเพาะอาหารแตก ศรีษะมีร่องรอยถูกทำร้ายรุนแรง และพลทหารในค่ายทหารสุรินทร์เป็นคนทำร้ายจนตาย
สองปีที่ผ่านมาเราเห็นภาพและได้ยินเรื่องที่ลูกหลานชาวบ้านธรรมดาๆ ซึ่งเป็นแค่พลทหารหรือนายสิบถูกคนในเครื่องแบบด้วยกันทำร้ายจนตายคาค่ายทหารอย่างต่อเนื่อง แต่ที่น่าขยะแขยงกว่านั้นคือการดำเนินการเอาผิดกับคนฆ่ากลับถูกหน่วยงานต้นสังกัดเน้นแต่ปกป้องพวกตัวเอง
ทนายความหลายรายพูดตรงกันเรื่องถูกข่มขู่ และวันนี้ผู้มีอำนาจบ้านเราก็มาถึงจุดที่ปล่อยให้เด็กผู้หญิงที่ปกป้องน้าถูกบุกจับแล้วลากไปดำเนินคดี
เมื่อวานมีหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งโทรมาสัมภาษณ์ผมว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร หากร่างรัฐธรรมนูญมีชัยผ่าน ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่วันนี้ผมมีคำตอบแล้วว่าถ้าร่างแบบนี้ผ่าน กลไกรัฐและกลุ่มอิทธิพลที่ทำให้ประเทศเราเป็นแบบนี้คงมีอำนาจต่อไป มองไม่เห็นทางให้ระบบปกป้องพวกเดียวกันหยุด
ความป่าเถื่อนระดับย่อยๆ แบบนี้เป็นภาพสะท้อนของอำนาจระดับใหญ่ นายคนที่ขู่ทนาย ขู่ญาติ หรือป้องคนฆ่า เป็นพี่เป็นน้องกับ "นาย" คนที่ใหญ่กว่าซึ่งมีอำนาจในประเทศนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ชีวิตลูกหลานคนจนๆ ที่เสียไปก็คงเสียไปเปล่าๆ และลูกหลานคนจนคงต้องตายแบบนี้อีก เช่นเดียวกับการคุกคามทนายกับญาติพี่น้องของคนที่ถูกฆ่าในปัจจุบัน
เรื่องของพลทหารวิเชียรและสิบโทกิตติกรบอกเราว่าประเทศไทยไม่่ควรเป็นแบบนี้อีกแม้แต่วันเดียว ลูกหลานคนจนไม่ใช่ขยะแผ่นดินให้นายช่วยลูกน้องที่ซ้อมที่กระทืบตามอำเภอใจ เลือดไพร่ต้องไม่ไร้ค่า เพราะออกนอกกรมกอง เขาก็คือคนเท่ากับพ่อแม่พี่น้องของพวกคุณ
อะไรที่เปิดช่องให้ระบบอัปยศแบบนี้อยู่ต่อได้ ผมไม่เอา ไม่รับ และไม่สนับสนุนทั้งนั้นครับ ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็จะพูดแบบนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง
อ่านเรื่องจับหลานพลทหารวิเชียรได้ในhttp://www.thairath.co.th/content/673565 และอ่านเรื่องสิบโทกิตติกรได้ในhttp://prachatai.org/journal/2016/07/67093 , http://news.mthai.com/hot-news/social-news/480992.html

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.