ตำรวจยืนยันให้ความเป็นธรรมในคดีหลานพลทหารวิเชียรถูกฟ้องหมิ่นประมาท ยืนยันการจับกุมเป็นจังหวะสะสางหมายค้าง ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือเบื้องหลัง
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมผู้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม ผู้เสียชีวิตในระหว่างการฝึกซ้อมทหาร จากที่เธอถูกจับกุมตัวในข้อหาหมิ่นประมาทเมื่อ 26 ก.ค.ที่ผ่านมากล่าวในเอกสารเผยแพร่ 27 ก.ค.ว่าก่อนถูกจับน.ส.นริศราวัลถ์ไม่เคยได้รับหมายเรียกแม้ว่าจะมีที่อยู่ที่แน่นอนรวมทั้งมีสถานที่ทำงานชัดเจน ในขณะที่อีกด้านให้ข้อมูลด้วยว่าคดีอาญาเพื่อเอาผิดผู้ซ้อมพลทหารวิเชียรยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจนแม้จะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม
อีกด้านก่อนหน้านั้นพ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์โฆษกกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าออกตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้มีการแจ้งความกันตั้งแต่ปลายปี แต่เพิ่งจะมาจับกุมเอาในวันเดียวกันกับที่สังคมกำลังสนใจคดีที่กองทัพฟ้องร้องนักสิทธิสามคนในข้อหาหมิ่นประมาทที่ปัตตานี ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าทหารฟ้องร้องมากมายหลายคดี และทำให้ภาพลักษณ์ทหารเสียหาย รวมทั้งตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีเบื้องหลังบางอย่างทำให้มีการจับกุมในวันเดียวกันดังกล่าว
แต่พล.ต.ต.พัฒนวุธ อังคะนาวิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรนราธิวาสเปิดเผยว่า กรณีการจับกุมตัว น.ส.นริศราวัลถ์ หลานของพลทหารวิเชียร เผือกสมที่เสียชีวิตในระหว่างร่วมฝึกซ้อมทหารใหม่เมื่อปี 2554 เป็นกรณีที่ตำรวจนราธิวาสรับเรื่องมาจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือปอท. อันเป็นที่ที่ร.อ.ภูริ เพิกโสภณ (ตามยศในขณะนั้น) เป็นผู้ที่รับผิดชอบหน่วยทหารดังกล่าวในสังกัดกรมทหารราบที่ 151 นราธิวาส ได้ไปแจ้งความเอาผิดน.ส.นริศราวัลถ์เอาไว้ในข้อหาหมิ่นประมาทตั้งแต่เมื่อเดือนธ.ค.2558 พร้อมชี้แจงว่าในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจในนราธิวาสได้ส่งหมายเรียกให้น.ส.นริศราวัลถ์ไปพบ แต่หมายนั้นไม่ถึงมือน.ส.นริศราวัลถ์เนื่องจากที่อยู่จริงไม่ตรงกับที่อยู่ในทะเบียนบ้าน เมื่อเวลาล่วงเลยจนท.จำต้องดำเนินการให้มีการออกหมายจับ
พล.ต.ต.พัฒนวุธกล่าวอีกว่า เหตุที่มีการจับกุมตัวน.ส.นริศราวัลถ์วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการสะสางหมายจับเก่าที่คั่งค้างจำนวนมาก ได้มีการรวบรวมคดีที่พบว่าผู้ถูกกล่าวหาอยู่นอกพื้นที่ 14 คดี และกำหนดเป้าหมายให้จนท.ไปจับกุมในระหว่าง 24-28 ก.ค.ทั้ง 14 คดี โดยในจำนวนนี้มีคดีของน.ส.นริศราวัลถ์รวมอยู่ด้วย โดยจนท.ตร.ได้ใช้รถตู้ไปจับกุมในวันเดียวได้ทั้งหมดรวม 11 คดีรวมไปถึงน.ส.นริศราวัลถ์ การดำเนินการของจนท.จึงไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ นอกจากนั้นหลังการจับกุม เมื่อจะนำตัวไปนราธิวาสทางรถ น.ส.นริศราวัลถ์ร้องขอที่จะเดินทางทางเครื่องบินเนื่องจากมีภาระกิจด่วนในวันถัดไป โดยประสงค์จะออกเงินเองและให้มีจนท.ตร.ไปด้วย จนท.ก็ยินยอม แต่ขณะนี้ได้แจ้งเจ้าตัวไปแล้วว่า ตำรวจพร้อมจะออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้
อย่างไรก็ตาม ทนายความของน.ส.นริศราวัลถ์คือนายสัญญา เอียดจงดีเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการแล้วโดยเสนอให้สั่งฟ้อง ดังนั้นทางทนายความจะรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้กับอัยการ ร้องขอความเป็นธรรมให้รับฟังข้อมูลจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาต่อไป เพราะขณะนี้คดีขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของอัยการว่าจะสั่งฟ้องศาลหรือไม่
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.พัฒนวุธชี้แจงว่า การทำสำนวนส่งอัยการเมื่อมี.ค. 2559 นั้นสืบเนื่องมาจากขั้นตอนการทำงานที่มีเวลากำกับ ต้องทำสำนวนชั้นต้นส่งอัยการ แต่ขณะนี้จนท.ยังสามารถรวบรวมสำนวนส่งให้อัยการเพิ่มเติมได้อีก และขณะนี้น.ส.นริศราวัลถ์ยังไม่ได้ให้ปากคำในรายละเอียด โดยมีนัดหมายกันอีกครั้งวันที่ 20 ส.ค.
ในส่วนของเรื่องความผิดนั้น ผู้บังคับการสภ.นราธิวาสระบุว่า ร.อ.ภูริได้ไปแจ้งความน.ส.นริศราวัลถ์ข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเชื่อมโยงไปสู่ความผิดตามพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ รวมแล้วทั้งหมด 3 ข้อหาด้วยกัน การฟ้องร้องดังกล่าวสืบเนื่องจากร.อ.ภูริเห็นว่า น.ส.นริศราวัลถ์นำข้อความส่วนตัวของตนไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ส่วนสำหรับน.ส.นริศราวัลถ์ เจ้าหน้าที่ให้ประกันตัวไปแล้วโดยใช้ตำแหน่งงานในฐานะนักสังคมสงเคราะห์สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน สังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ “เราจะให้ความเป็นธรรมกับคู่กรณี ไม่มีการเลือกปฏิบัติ” พล.ต.ต.พัฒนวุธยืนยัน
ด้านน.ส.นริศราวัลถ์ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวมีข้อความขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือให้ได้รับการประกันตัว ซึ่งคำขอบคุณนั้นรวมไปถึงต่อพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ติดตามหลังมีข่าวการจับกุมอย่างใกล้ชิด เธอยังขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมเธออย่างให้เกียรติและปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี แต่ก็ระบุว่า หากสู้คดีแล้วตนไม่ผิด พร้อมจะฟ้องกลับ
ด้านมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวถึงคดีที่จะมีการเอาผิดทางอาญากับทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซ้อมพลทหารวิเชียรจนเสียชีวิตว่า ตามข้อมูลล่าสุดนั้น คดีนี้ถูกโอนจากตำรวจไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือป.ป.ท. มีการทำสำนวนคดีส่งให้กับอัยการจังหวัดนราธิวาสไปแล้วและมีจนท.ที่มีชื่อเกี่ยวข้องถูกสอบสวนรวมแล้ว 10 คน ขณะนี้ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องการสอบสวนคืออัยการนราธิวาสและป.ป.ท. พร้อมกับชี้ว่าขณะนี้ผ่านไป 5 ปีแล้วแต่ครอบครัวยังคงรอความเป็นธรรมอยู่

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.