ประชาไท Prachatai.com

เครือข่ายนักวิชาการฯ ออกแถลงการณ์ระบุ การวิพากษ์วิจารณ์ศาล คือตรวจสอบการทำงานของสถาบันตุลาการ หวังศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของสิทธิเสรีภาพของประชาชน


=================

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2560 ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ได้จัดงานเสวนาเชิงวิชาการในหัวข้อ คำพิพากศาล โดยระหว่างเวทีการเสวนา อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อ่านแถลงการณ์ของ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง โดยมีรายละเอียดดังนี้

==================

แถลงการณ์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง


เรื่อง ความเห็นและข้อเรียกร้องเกี่ยวกับบทบาทของศาลยุติธรรม และสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานและคำพิพากษาของศาล

ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาหลายปีได้ฉุดดึงภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมไทยเข้าสู่วังวนของขัดแย้งอย่างถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ศาลยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากบทบาทของศาลในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ศาลยุติธรรมมีบทบาทอย่างสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะในคดีที่ผู้ต้องหาที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับผู้ถืออำนาจรัฐ ดังการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีความผิดเนื่องจากการฝ่าฝืนคำสั่งที่เกิดจากการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 หรือบทบาทและจุดยืนของศาลยุติธรรมในการดำเนินคดีพลเรือนต่อศาลทหาร เป็นต้น หลายครั้งหลายหนที่สังคมและผู้รักความเป็นธรรมเห็นว่า ศาลได้ใช้อำนาจในทางที่ขัดต่อหลักกฎหมาย ฝ่าฝืนหลักนิติรัฐ และเพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง เห็นว่า ศาลเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน จึงมีความรับผิดชอบอย่างสำคัญในการเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการถูกล่วงละเมิดโดยอำนาจรัฐ ความรับผิดชอบดังกล่าวแสดงออกด้วยการที่ศาลใช้และตีความกฎหมายอย่างสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรม อันได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวในคดีอาญา สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผยและมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม เป็นกลาง ปราศจากอคติภายในหรือการแทรกแซงใด ๆ จากภายนอก เป็นต้น แต่ที่ผ่านมาเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองเห็นว่าศาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพดังกล่าวอย่างเพียงพอ ยิ่งกว่านั้นในหลายกรณีศาลยังปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอย่างปราศจากเหตุผลและหลักการทางกฎหมายรองรับ เช่น การไม่ให้สิทธิประกันตัวไผ่ ดาวดิน และผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีตามมาตรา 112 รายอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม บทบาทที่เห็นได้เด่นชัดของศาลยุติธรรมคือการเป็นกลไกธำรงรักษาความศักดิ์สิทธิของอำนาจรัฐอย่างเข้มข้น แม้ว่าผู้ใช้อำนาจนั้นจะปราศจากฐานความชอบธรรมใด ๆ ตามระบอบประชาธิปไตยเลยก็ตาม ดังจะเห็นได้จากการรับฟ้องและดำเนินคดีอาญาแก่ประชาชนผู้รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผู้ที่ต่อต้านการใช้อำนาจตามมาตรา 44 เป็นต้น

นอกจากนี้ ภายใต้หลักนิติรัฐ องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทุกองค์กรต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ ไม่เว้นแม้แต่องค์กรตุลาการซึ่งแม้การตรวจสอบศาลโดยองค์กรอื่นจะกระทำได้อย่างจำกัดเพื่อธำรงหลักความเป็นอิสระของสถาบันตุลาการไว้ หากก็มิได้หมายความว่าศาลจะปลอดพ้นไปจากความรับผิดชอบต่อประชาชน ในแง่นี้ การวิพากษ์วิจารณ์และแสดงออกของประชาชนทั้งในทางที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับศาลย่อมเป็นการเตือนให้ศาลได้ตระหนักในการใช้อำนาจอย่างมีเหตุผลและสอดคล้องต่อหลักกฎหมายอันเป็นการตรวจสอบการทำงานของศาลในทางหนึ่ง การนำบทบัญญัติเรื่องละเมิดอำนาจศาลมาใช้จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและใช้ภายในขอบเขตที่จำกัดเฉพาะต่อการกระทำที่เป็นการขัดขวางการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาลเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาปรากฏการนำมาใช้เพื่อปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์หรือการแสดงออกในเชิงลบต่อศาลในหลายกรณี รวมทั้งล่าสุดในกรณีกลุ่มเยาวชนดาวดินที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวไผ่ ดาวดิน เป็นต้น

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองเห็นว่าความศักดิ์สิทธิ์ของการใช้อำนาจตุลาการนั้นขึ้นอยู่กับการให้เหตุผลที่หนักแน่นรับฟังได้และยึดมั่นในหลักการทางกฎหมาย ซึ่งสามารถถูกตรวจสอบได้โดยการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน มิใช่การกลบเสียงของประชาชนที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของศาล การที่ศาลได้ใช้บทบัญญัติเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นเครื่องมือปราบปรามผู้ที่เห็นต่างย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจโดยที่ศาลเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงเสียเอง อันเป็นการนำองค์กรตุลาการมาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้หากศาลเห็นว่าการกระทำใดเป็นเกินเลยขอบเขตของกฎหมายก็ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาในข้อหาดูหมิ่นศาลได้อยู่แล้ว ทั้งยังมีกลไกที่ประกันความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ดียิ่งกว่าการใช้อำนาจฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง จึงขอเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมได้พิจารณาทบทวนบทบาทของศาลในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และขอให้ศาลใช้และตีความกฎหมายเพื่อตอบสนองต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเฉกเช่นที่พึงเป็นในสังคมที่เป็นนิติรัฐทั้งหลาย เพื่อให้ศาลมีบทบาทเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ พึงตระหนักว่านี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสังคมไทย ซึ่งจะตราไว้ในอนาคตว่าศาลได้ทำหน้าที่สถาบันที่ยืนอยู่เคียงข้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน มิเช่นนั้นก็จะเป็นในทางตรงกันข้าม คือการเป็นสถาบันที่ใช้อาญาสิทธิ์เพื่อกดข่มประชาชนให้สยบยอมอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการเพียงอย่างเดียว.

ด้วยความเชื่อมัานในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายยักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส)

19 มีนาคม 2560

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.