ภาพการรับรางวัลที่มีแต่ผู้ชายล้วน (ที่มา: Dubai Media Office)

Posted: 29 Jan 2019 05:58 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 20:58


สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพิ่งจะมีการประกาศรางวัลให้แก่ผู้มีส่วนในการสร้างความเท่าเทียมกันทางเพศ แต่ทว่าผู้ได้รับรางวัลทั้งหมดกลับเป็นผู้ชายล้วน ทำให้มีการล้อเลียนการให้รางวัลในครั้งนี้โดยชาวเน็ตในโซเชียลมีเดียทวิตเตอร์

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัลมัคตูม รองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเจ้าผู้ครองนครดูไบ เป็นผู้ให้รางวัลเหรียญตราและประกาศนียบัตรต่อ "ผู้ชนะการริเริ่มออกแบบเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน" อย่างไรก็ตามภาพของการให้รางวัลนี้ถูกนำมาล้อเลียนทางทวิตเตอร์เนื่องจากผู้ที่ได้รับรางวัลนี้เป็นผู้ชายทั้งสิ้น

ผู้ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวได้แก่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ผู้บริหารหน่วยงานความสามารถการแข่งขันของรัฐบาลกลางและสถิติ และรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายขึ้นรับรางวัลทั้งสิ้น แม้กระนั้น อัลมัคตูมก็กล่าวว่า "ความสมดุลระหว่างเพศได้กลายเป็นเสาหลักของสถาบันรัฐบาลของพวกเราไปแล้ว" และบอกอีกว่าผู้หญิง UAE และบทบาทของพวกเธอ "เป็นใจกลางในการก่อร่างอนาคตของประเทศ"

นอกจากเป็นผู้ชายหมดแล้ว พวกเขาทั้งหมดยังเป็นคนที่มาจากองค์กรรัฐบาล เช่น ชีค ซาอีฟ บิน ซาเยด อัลนาห์ยัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน ได้รับรางวัล "บุคคลยอดเยี่ยมผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ" จากการที่เขาอนุมัติให้มีการลาคลอดสำหรับคนทำงานกองทัพ UAE ผู้ได้รับรางวัลคนอื่นๆ ก็มาจากหน่วยงานรัฐบาล UAE ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด

นั่นทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากในทวิตเตอร์พากันล้อเลียนเสียดสีการประกาศรางวัลในครั้งนี้พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็น เช่น หนึ่งในผู้ใช้งานชื่อ Rianne Meijer ระบุว่า "ฉันเสียใจที่จะต้องบอกกับคุณ แต่คุณลืมเชิญผู้หญิงมาหรือเปล่า"

นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้งานรายอื่นๆ ที่ระบุในเชิงเสียดสีต่อกรณีนี้รวมถึงนักวิเคราะห์สถานการณ์ตะวันออกกลาง ไฮเดอร์ อัลโคอี และบล็อกเกอร์ชาวเลบานอน โจอี ไอยูบ ที่ระบุว่า "ผมสัญญากับคุณเลยว่า นี่ไม่ใช่การเสียดสี" อดีตนักข่าวหญิงประจำตะวันออกกลางก็แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ระบุว่า "คุณไม่สามารถกุเรื่องนี้ขึ้นมาเองได้ ดูสิ ผู้ชนะรางวัลความเท่าเทียมทางเพศของ UAE มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น"

เมื่อปี 2561 สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนใน UAE ว่ามีสถานการณ์น่าเป็นห่วงเพราะมีเรื่องการทารุณกรรมผู้ต้องขัง ความอยุติธรรมต่อคนทำงานจากต่างประเทศ และการกีดกันเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง ทั้งนี้ในรายงานยังระบุอีกว่าผู้ชายใน UAE ยังคงสามารถห้ามไม่ให้ภรรยาของตัวเองทำงานและจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเธอได้

เรียบเรียงจาก

Twitter users mock UAE after gender awards won by men, Aljazeera, Jan.29, 2019

ที่มาของภาพประกอบ: torbakhopper/Flickr

Posted: 29 Jan 2019 06:09 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 21:09


คนดังนิกายมอร์มอนผู้อ้างตัวว่าเป็น "ผู้บำบัดให้คนเลิกเป็นเกย์" ได้ออกมาเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์และขอโทษในสิ่งที่เขาทำลงไปซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น รวมถึงบอกว่ามันเกิดมาจากความเกลียดกลัวการรักเพศเดียวกันที่เป็นอคติฝังหัวแบบเหยียดตัวเองของเขา

โดยที่การอ้าง "การบำบัด" เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากสมาคมการแพทย์และสมาคมจิตวิทยาใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก เพราะการรักเพศเดียวกันเป็นเพศวิถีไม่ใช่ความเจ็บป่วย

เดวิด แมเธอสัน คนดังผู้สนับสนุน "การบำบัดเลิกให้คนเป็นเกย์" และอ้างตัวว่าเป็น "นักบำบัด" คนหนึ่งเปิดเผยตัวเองในที่สุดว่าตัวเขาก็เป็นคนรักเพศเดียวกัน หลังจากที่เขาใช้เวลานับหลายสิบปีฝังตัวอยู่กับความเกลียดกลัวอย่างไม่มีเหตุผลต่อการรักเพศเดียวกัน

เดอะการ์เดียนระบุว่า แมเธอสันเป็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ "บำบัดให้คนเลิกเป็นเกย์" ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจผิดๆ เพราะความเป็นเกย์นั้นนับเป็นเพศวิถีและไม่ใช่ความป่วยไข้ จึงไม่ใช่สิ่งที่จะมา "บำบัดรักษาให้หาย" ได้ ทั้งนี้องค์กรการแพทย์ใหญ่ๆ หลายองค์กรไม่ให้การยอมรับแนวคิดของแมเธอสัน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมการแพทย์อเมริกัน สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน และองค์กรบริการสาธารณสุขอังกฤษ

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา แมเธอสันก็ประกาศตัวผ่านเฟสบุ๊คว่าตัวเองเป็นเกย์ และการที่เขาพยายามอ้างตัวว่าเป็น "ผู้บำบัด" ในเรื่องเกย์นั้นมาจากความเกลียดกลัวการรักเพศเดียวกัน (homophobia) และความคิดคับแคบในตัวเขาเอง และเขาก็ยอมรับว่าเสียใจในสิ่งที่ทำในแง่ที่มันกลายเป็นการทำร้ายคนอื่น รวมถึงขอโทษที่สร้างความสับสนและความเจ็บปวดให้กับคนอื่นด้วย

แมเธอสันเป็นชาวคริสต์นิกายมอร์มอน เขาเปิดเผยถึงเพศวิถีของตัวเองหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กลุ่มทรูธวินส์เอาท์ซึ่งเป็นกลุ่มมต่อต้านแนวคิดวาทกรรมกีดกันเกย์เปิดเผยบทสนทนาระหว่างแมเธอสันกับผู้สนับสนุน "การบำบัดให้คนเลิกเป็นเกย์" อีกคนหนึ่งคือ ริช ไวเลอร์ ที่สื่อถึงความสัมพันธ์แบบคนรักเพศเดียวกัน

ตัวแมเธอสันเองระบุในโพสต์เปิดตัวเพศวิธีของตัวเองว่าเขารู้ตัวเรื่องที่เป็นเกย์เมื่อราวปีที่แล้วและขอหย่ากับภรรยาของตัวเองที่อยู่กินกันมา 34 ปี ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่สามารถทนหักห้ามใจในเรื่องความรักต่อเพศเดียวกันได้อีกต่อไปแล้ว

"ผมมีความสุขและรู้สึกเติมเต็มจากการแต่งงานกับภรรยาของตัวเองมาเป็นเวลาหลายปีมาก โดยรวมแล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่งดงามและการเป็นคนรักเพศตรงข้ามกลายมาเป็นแก่นหลักของตัวตนของผม"

"แต่ทว่าผมก็มีประสบการณ์ดึงดูดเข้าหาเพศชายด้วย และโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะถูกเอาไว้เบื้องหลัง แต่บางครั้งมันก็เป็นความรู้สึกที่เข้มข้นมากจนนำไปสู่ความเจ็บปวดและการอดทนต่อการแต่งงานของผม" แมเธอสันระบุผ่านเฟสบุ๊ค

แมเธอสันระบุอีกว่าความปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับผู้ชายกลายเป็นความต้องการที่ไม่อาจต่อรองได้ แต่เขาก็ยอมรับว่ายังคงมีความเกลียดกลัวการรักเพศเดียวกันอยู่ในตัวเองมากเกินไป

เวย์น เบเซน ผู้ก่อตั้งองค์กรทรูธวินส์เอาท์กล่าวว่า เมื่อคนที่ทำตัวเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" เปิดเผยตัวเองและเดทกับเพศเดียวกันแล้ว มันก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็น "การบำบัด" นั้นถือเป็นสิ่งที่ทำอันตรายต่อผู้คนและไม่ได้ผลอะไร

แมเธอสันเล่าอีกว่าเขาได้รับรู้เรื่อง "การบำบัด" ที่ว่าครั้งแรกช่วงวัยหนุ่มที่โบสถ์นิกายมอร์มอนโดยมีคนอ้างว่าได้บำบัดจากการรักเพศเดียวกันของเขาที่นั่นและเขาก็รู้สึกว่ามันจะทำให้เปลี่ยนเพศวิธีของคนอื่นได้ด้วยจึงพยายามนำวิธี "การบำบัด" แบบนั้นมาใช้กับคนอื่น โดยที่วิธีของแมเธอสันนั้นมีแต่วิธีการพูดคุยโน้มน้าวกับคนที่เข้ารับ "การบำบัด" เท่านั้นไม่ได้ใช้วิธีช็อตด้วยไฟฟ้าหรือให้ยาแต่อย่างใด

เรียบเรียงจาก

Man who worked as top 'conversion therapist' comes out as gay, The Guardian, 25-01-2019

Prominent US ‘gay conversion therapist’ David Matheson divorces wife and comes out as gay, Sky News, 26-01-2019

[full-post]


Posted: 29 Jan 2019 06:15 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 21:15


ศรายุทธ ฤทธิพิณ สำนักข่าวปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงาน

ศาลฎีกาพิพากษา ให้ นิด ต่อทุน พร้อมพวกรวม 31 คน ชาวชุมชนบ่อแก้ว จ.ชัยภูมิ ในฐานะจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน ข้อหาบุกรุกเขตป่าสงวนฯ ด้านชาวชุมชนยันอยู่และทำกินในพื้นที่เดิม และจะต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินให้คงอยู่ต่อไป ระบุไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถือครองทำประโยชน์ รวมถึงทั้งการถูกฟ้องดำเนินคดี

29 ม.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เดินทางไปศาลจังหวัดภูเขียว จ.ชัยภูมิ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาตามหมายนัด ในคดีที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ฟ้องขับไล่ นิด ต่อทุน จำเลยที่ 1 พร้อมพวกรวม 31 คน ข้อหาว่าจำเลยและบริวารได้กระทำการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม

ต่อมาเวลาประมาณ 11.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกาสั่งให้จำเลย และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ผลอาสิน ออกจากพื้นที่ ภายใน 30 วัน นับจากมีคำสั่งศาลฎีกา

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จำเลยและชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ยืนยันจะอยู่และทำกินในพื้นที่เดิม และจะต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินให้คงอยู่ต่อไปเพื่อลูกหลาน เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถือครองทำประโยชน์ รวมถึงทั้งการถูกฟ้องดำเนินคดี
ลำดับเหตุการณ์ที่มาของกรณีนี้ :


สำหรับกรณีนี้ ภายหลังจากที่ดินทำกินถูกประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 จึงเป็นที่มาของพื้นที่พิพาทระหว่างที่ดินชาวบ้านกับสวนป่าคอนสาร(สวนป่ายูคาฯ) สืบเนื่องมานับแต่ปี พ.ศ. 2521 หลังจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)ได้ดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ตามเงื่อนไขการสัมปทานทำไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม เนื้อที่ทั้งสิ้น 4,401 ไร่

อย่างไรก็ตาม การปลูกสร้างสวนป่าไม่ได้ดำเนินการในพื้นที่เป้าหมาย คือบริเวณป่าเหล่าไฮ่ แต่ อ.อ.ป.ได้นำไม้ยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกทับที่ดินทำกินชาวบ้าน จนนำมาสู่ปัญหาส่งผลกระทบให้หลายครอบครัวถูกอพยพออกจากที่ทำกิน ชาวบ้านผู้ดือดร้อนกว่า 300 คน จึงได้ออกมาเคลื่อนไหว กลายเป็นข้อพิพาทและมีการบังคับ ข่มขู่ คุกคาม ระหว่าง อ.อ.ป.กับชาวบ้าน เรื่อยมา

ทว่าผลการต่อสู้เรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมในสิทธิที่ดิน กลับกลายมาถูกฟ้องดำเนินคดี โดยที่มาของการถูกคดี หลังจากเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2552 ผู้เดือดร้อนได้ปฏิบัติการเข้ายึดที่ดินทำกินเดิมกลับคืนมาได้ประมาณ 98 ไร่ และจัดตั้งชื่อว่าชุมชนบ่อแก้ว

เหตุแห่งการเข้ายึดที่ดินทำกินด้วยเพราะการดำเนินการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานรัฐเป็นไปอย่างล่าช้า ตามที่ชาวบ้านมีข้อเรียกร้อง และมีมติที่ประชุมร่วมกัน คือ ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด,ให้จัดสรรที่ดินให้ผู้เดือดร้อนในรูปแบบโฉนดชุมชน และในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำประโยชน์ในพื้นที่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 ส.ค.52 อ.อ.ป.กลับเป็นโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่นายนิด ต่อทุน และพวกรวม 31 คน ข้อกล่าวหาจำเลยได้กระทำการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติฯ จึงขอให้ศาลได้มีคำสั่งขับไล่ออกจากพื้นที่ พร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และไม้ผลไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้

และในวันที่ 28 เม.ย.53 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ที่ได้นำไปปลูกในพื้นที่พิพาทออกให้หมดภายใน 30 วัน

ต่อมาจำเลยได้อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว ในขณะเดียวกันโจทก์ยื่นคำให้การแก้อุทธรณ์และคัดค้านคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีชั่วคราว

และในวันที่ 13 ธ.ค. 2553 ศาลได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้มีการบังคับคดีชั่วคราวตามที่จำเลยยื่นคำร้อง และโจทก์ได้วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อติดหมายบังคับคดีในพื้นที่พิพาท ในวันเดียวกัน ทำให้ชาวบ้ายผู้เดือดร้อนต้องเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการเดินเท้าจาก อ.คอนสาร ถึงกรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ 4 ก.พ. – 16 มี.ค. 54 ทำให้ชาวบ้านได้เคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งการให้ อ.อ.ป.ถอนการบังคับคดี และเร่งประกาศพื้นที่โฉนดชุมชนในพื้นที่พิพาทสวนป่าคอนสาร ตามที่ได้ผลักดันให้รัฐบาลสมัยนั้นมีมาตรการทางนโยบายเพื่อคุ้มครองสิทธิที่ดิน

โดยมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 2 มี.ค.54 ผลการเจรจาระหว่างผู้แทนชาวบ้านกับ อ.อ.ป.นำมาสู่ข้อตกลง 3 ข้อคือ 1. อ.อ.ป.จะไม่เร่งรัดบังคับคดี 2. การนำพื้นที่จำนวนประมาณ 1,500 ไร่ ไปดำเนินการโฉนดชุมชน ให้ผู้แทน อ.อ.ป. สำนักนายกรัฐมนตรี และชาวบ้านผู้เดือดร้อน ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน และ 3.การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว ให้นำข้อกำหนดของ อ.อ.ป.มาปรับปรุงให้เกิดการยอมรับร่วมกัน แต่การปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่โฉนดชุมชนให้แต่อย่างใด นอกจากจำนวนพื้นที่เดิม (ประมาณ 96 ไร่) ที่ชาวบ้านร่วมกันยึดเข้ามาได้ในวันที่ 17 ก.ค.52

จนกระทั่งในวันที่ 21 ธ.ค.54 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน ต่อมาชาวบ้านผู้เดือดร้อนที่ตกเป็นจำเลยได้ฎีกา

แนวทางนโยบายที่ควรจะเป็นคุณและประโยชน์ต่อชาวบ้านที่เดือดร้อน แต่รัฐกลับเมินเฉย เหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าของภาครัฐ ไม่มีความจริงใจที่นำมาสู่การแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านด้วยความเป็นธรรมและถูกต้อง

รวมทั้งกรณีที่หัวหน้าคณะ คสช.มีนโยบายทวงคืนผืนป่า ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.57 เจ้าหน้าที่ทหาร ป่าไม้ เข้ามาปิดประกาศคำสั่ง คสช.ที่ 64/57 ให้ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว รื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน ส่งผลให้ชาวบ้านต้องเดินทางเข้ายื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่าในพื้นที่พิพาทอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกันมาหลายรัฐบาล และเรียกร้องให้ยุติคำสั่งไล่รื้อ และนำเสนอแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยชุมชน โดยชาวบ้านในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(พีมูฟ)ได้ร่วมกันผลักดันมาตั้งแต่ปี 2558

รวมทั้งช่วงระหว่างวันที่ 2 - 22 พ.ค.61 พีมูฟได้ร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหา กระทั่งได้มีการทำบันทึกข้อตกลง(MOU)ในการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างพีมูฟกับหน่วยงานภาครัฐ

ทว่าในทางปฎิบัติของรัฐบาล ยังไม่ดำเนินการใดๆที่เป็นจริงในการที่จะสามารถนำนโยบายมติ ที่ประชุมที่จะสามารถนำมาแถลงต่อศาล เพื่อพิจารณาในทางที่เป็นธรรมต่อชาวบ้านได้

เหล่านี้ชี้ให้เห็นได้ว่าเป็นความล่าช้า เมินเฉย ภาครัฐหาได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาตามที่ได้มีแนวทางและข้อตกลงร่วมกันอย่างเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งชาวบ้านผู้เดือดร้อนจะผลักดัน ทวงถาม ติดตาม เพี่อต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินทางนโยบายกับภาครัฐต่อไป
ข่าว
สังคม
สิทธิมนุษยชน
คุณภาพชีวิต
สิ่งแวดล้อม
สิทธิที่ดินทำกิน
ชุมชนบ่อแก้ว
บุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม
นิด ต่อทุน[full-post]


Posted: 29 Jan 2019 07:15 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 22:15


ใบตองแห้ง

กสทช.ประกาศิต วิทยุทีวีต้องเป็นกลางในการเลือกตั้ง อย่าชี้นำทางความคิด ก่อความขัดแย้งทางสังคม โดยอ้าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ไปจนกฎหมายความมั่นคง

ถามจริง เป็นกลางคืออะไร เพราะคงไม่มีทีวีช่องไหนโจ๋งครึ่ม “เลือกพรรคนี้นะครับ” ถามหน่อย ทำไมบังคับเฉพาะวิทยุทีวี แล้วหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ ไลฟ์สด ต้องเป็นกลางไหม

คำว่า “สื่อเป็นกลาง” เป็นมายาคติสังคมไทย ซึ่งรัฐฉวยมาใช้ควบคุมสื่อ ทั้งที่จริง สื่อไม่สามารถเป็นกลาง เพราะต้องมีความเห็นไปทางใดทางหนึ่งอยู่ดี มีแต่สื่อดัดจริต ที่อ้างตนเป็นกลางทั้งที่บางเรื่อง ความเป็นกลางไม่มี เช่นความเป็นกลางระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ

จรรยาบรรณสื่อจึงไม่ใช่ “เป็นกลาง” แต่ต้องเสนอความจริง รอบด้าน ครบประเด็นสำคัญ ไม่บิดเบือน ขณะเดียวกันก็มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งทำได้เต็มที่ ถ้าไม่ใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท หรือ hate speech ปลุกความเกลียดชัง

การบังคับ “สื่อต้องเป็นกลาง” ในการเลือกตั้ง จึงขีดวงเฉพาะสื่อรัฐ ซึ่งต้องเป็นกลางเช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย ที่รับงบประมาณจากภาษีประชาชน แต่สื่อเอกชนตั้งแต่ทีวีดิจิทัล ที่ซื้อใบอนุญาตจาก กสทช.ไปลงทุนเอง รับผิดชอบตัวเอง ไปจนกระทั่งหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ หรือแฟนเพจเฟซบุ๊ก เอาหลักการอะไรไปบังคับว่าต้อง “เป็นกลาง”

เบิ่งตาดูโลกบ้าง อย่ามัวแต่เคี้ยวเอื้อง ทีวีอเมริกัน หนังสือพิมพ์อังกฤษ เขาเลือกข้างเชียร์พรรคหนึ่งพรรคใดกันสุด ๆ ซึ่งดีด้วยซ้ำ คนดูคนอ่านจะได้รู้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่อีแอบว่าเป็นกลางแล้วหลอกคน

ในมุมหนึ่งมันเป็นทัศนคติตกยุค ตั้งแต่สมัยทีวีมีสี่ช่อง 3, 5, 7, 9 คิดว่าสื่อมีอิทธิพลชี้นำชาวบ้าน ลืมไปว่าปัจจุบันเรามีทีวี 24 ช่อง แข่งขันกันตาย มียูทูบ เฟซบุ๊กไลฟ์มากมาย ที่คนดูมากกว่าทีวีบางช่องด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นทัศนะรัฐขุนนาง มุ่งควบคุมสื่อ ควบคุมการเลือกตั้ง จำกัดเสรีภาพในการหาเสียง โดยอ้างค่าใช้จ่าย อ้างความเท่าเทียม เช่นที่ กกต.กำหนดว่า ผู้สมัครต้องมีผู้ช่วยแค่ 20 คน ประชาชนที่นิยมต้องยืนดูเฉย ๆ จะตั้งวอร์รูมคุมเฟซบุ๊กยูทูบที่เชียร์ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ทั้งที่ใครอยากเชียร์ใครถือเป็นเสรีภาพ ห้ามใช้สื่อใช้นักแสดงหาเสียง อ้าวถ้าเขารักชอบกันไม่ได้รับจ้าง ก็ไม่มีสิทธิแสดงความนิยมเลยหรือไร

ตลกร้ายคือ กกต.ไม่ห้ามสื่อหรือสถาบันการศึกษาจัดดีเบต แต่ต้องยึดหลักความเท่าเทียม ทีวีจะเชิญพรรคการเมืองไปออกอากาศก็ได้ แต่ต้องให้โอกาสทุกพรรคเท่าเทียม ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เพราะพรรคการเมืองมี 70-80 พรรค แต่ที่จะมีบทบาทสำคัญ ที่ประชาชนสนใจแค่สิบกว่าพรรค หากบังคับให้เท่าเทียมก็ไม่ต้องจัดดีเบต ไม่ต้องออกอากาศ ยิ่งถ้าบังคับให้เสนอข่าวทุกพรรคเท่าเทียม ก็ไม่ต้องเสนอข่าวเลือกตั้งเลย ขายข่าวดาราดราม่ากันไป

การเลือกตั้งแบบนี้จะต่างอะไรกับลงประชามติ ที่จับลิงมัด ปลดป้ายกาแฟกาโน หรือการเลือก ส.ว. “เงียบที่สุดในโลก” ห้ามสื่อเสนอข่าวเพราะห้ามหาเสียง ทั้งที่จะมาเป็นผู้แทนปวงชน แต่ประชาชนไม่มีส่วนรับรู้เลย

รัฐและเจ้าหน้าที่รัฐต่างหากที่ต้องเป็นกลาง กลับมาบังคับสื่อและประชาชนให้เป็นกลาง จำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น กลัวทำอะไรก็ผิด ต้องนั่งพับเพียบดูการหาเสียง รอเข้าแถวไปลงคะแนนอย่างเป็นระเบียบ ตามที่รัฐต้องการ

ในขณะที่รัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ สื่อรัฐ หรือ กกต.เอง เป็นกลางจริงหรือเปล่า ก็รู้กัน



เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/275175


'ใบตองแห้ง' ออนไลน์
การเมือง
สิทธิมนุษยชน
ใบตองแห้ง
เลือกตั้ง 62

[full-post]


Posted: 29 Jan 2019 07:47 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 22:47


29 ม.ค. 2562 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีหนังสือลงวันที่ 25 ม.ค. ถึงอุตตม สาวนายนหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐขอให้ชี้แจงและยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมกรณีเอกสาร หลักฐานแจ้งการระดมทุนเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 ที่ทางพรรคพลังประชารัฐได้ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมาไม่ครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด


พรรคพลังประชารัฐเปิด 24 รายชื่อนายทุนโต๊ะจีน รวม 90 ล้านบาท

ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวของนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 7 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่กำหนดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้คำชี้แจงหรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งในกรณีนี้ ได้ให้พรรคพลังประชารัฐชี้แจงใน 3 ประเด็น คือ รายละเอียด วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมระดมทุน เอกสารใบเสร็จรับเงินตามแบบพ.ก. 9 ที่ออกให้กับผู้สนับสนุน และรายละเอียดของเงินจำนวน 532,350,000บาท ที่พรรคแจ้งว่า ผู้แสดงเจตนาสนับสนุนกิจกรรม 151 คนยังไม่ส่งมอบให้กับพรรค โดยเงินดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ได้จากการระดมทุนซึ่งต้องแจ้งตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถนำไปแจ้งเป็นรายการประเภทเงินบริจาคได้ โดยให้ชี้แจงและส่งเอกสารหลักฐานกลับมาภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือ ซึ่งมาตรา 102 ของกฎหมายเดียวกัน ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ใดไม่มาให้คำชี้แจงหรือไม่ส่งเอกสารหรือหลักฐานแก่นายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา 7 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เมื่อวันที่18ม.ค. พรรคพลังประชารัฐได้แจ้งรายละเอียดต่อกกต.ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา64 โดยเป็นประกาศรายชื่อผู้สนับสนุนเงินและรายจ่ายในกิจกรรมระดมทุนว่ามีผู้สนับสนุนที่มอบเงินให้จำนวน 24 รายการ รวมเป็นเงิน90ล้านบาท

มีรายจ่ายการจัดกิจกรรมจำนวน 10,897,950 บาท และมีผู้แสดงเจตนาสนับสนุนกิจกรรมของพรรค แต่ไม่สามารถส่งมอบเงินให้แก่พรรคในวันระดมทุนได้อีกจำนวน 151 คน รวมเป็นเงิน 532,350,000 บาท โดยเมื่อพรรคได้รับเงินจำนวนนี้แล้ว จะดำเนินการรวบรวมเป็นเงินบริจาคตามระเบียบกฎหมายและรายงานต่อ กกต. ให้ทราบต่อไป
ข่าว
การเมือง
จรุงวิทย์ ภุมมา
กกต.
พรรคพลังประชารัฐ
โต๊ะจีนพลังประชารัฐ

[full-post]

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ

Posted: 29 Jan 2019 08:12 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 23:12


ในเวทีเสวนา “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญกับการเมืองไทย” ศรันย์ สมันตรัฐ กณิษฐ์ วิเศษสิงห์ และสรัญญา แก้วประเสริฐ ชวนพิจารณาสถาปัตยกรรมคณะราษฎรและความเป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย และความสัมพันธ์เชิงอำนาจและการทำลายความทรงจำทางประวัติศาสตร์ กรณีการหายไปของอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญที่หลักสี่

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2562 กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย จัดงานเสวนาประวัติศาสตร์ “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญกับการเมืองไทย” ณ บริเวณข้างเจดีย์ขาว วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน วิทยากรประกอบด้วย ผศ. ดร. ศรันย์ สมันตรัฐ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกณิษฐ์ วิเศษสิงห์ นิสิตภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ดร.สรัญญา แก้วประเสริฐ เป็นผู้ดำเนินรายการ
สถาปัตยกรรมแบบคณะราษฎรและความเป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย

สรัญญา แก้วประเสริฐ ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตว่าสถาปัตยกรรมแบบคณะราษฎรนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว คือเน้นความเป็นสามัญชน ความเรียบง่าย มักใช้เส้นตรงและเส้นโค้งเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นอาคารบนถนนราชดำเนิน โดยอาคารเหล่านี้ส่วนมากออกแบบโดยจิตรเสน อภัยวงศ์ ส่วนอนุสาวรีย์ปราบกบฏ หรืออนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้ออกแบบโดยจิตรเสน ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

ขณะที่ศรันย์ สมันตรัฐ เริ่มต้นนำเสนอว่า "ส่วนตัวผมสนใจเรื่องการอ่านภูมิทัศน์...ก็คือสนใจคำว่า concept นั่นแหละ เพียงแต่ว่ามองคอนเซ็ปต์ในฐานะที่ว่ามองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่มนุษย์เราสร้างขึ้น มันจะมีความคิดอัดอยู่ แฝงอยู่เสมอ”

ศรันย์กล่าวต่อว่า โดยการอ่านภูมิทัศน์นั้นเกี่ยวโยงกับสามสิ่ง คือมนุษย์ สถานที่ และเงื่อนไขที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์และสถานที่ เช่นในกรณีของสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ถ้าหากมองในภาพรวมแล้วอาจจะมองได้ว่าเงื่อนไขนั้นคือการแย่งชิงความหมายกันระหว่างสองฝ่าย

สำหรับอนุสาวรีย์ปราบกบฏ หรืออนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญนั้น ศรันย์มองว่ารูปแบบของตัวสถาปัตยกรรมเกิดขึ้นจากชัยชนะในการต่อสู้กันทางอำนาจ โดยหลังจากเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช ได้มีการสร้างเมรุขึ้นที่ท้องสนามหลวงสำหรับทำพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตทั้ง 17 คน ซึ่งถือเป็นการจัดพิธีศพสามัญชนบนท้องสนามหลวงเป็นครั้งแรก โดยศรันย์กล่าวว่า รองศาสตราจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่ารูปแบบของอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญอาจจะขยายมาจากเสาเทินพานรัฐธรรมนูญที่ใจกลางเมรุที่ท้องสนามหลวงในครั้งนั้น ซึ่งศรันย์กล่าวว่าเป็น “เมรุอันแรกของประชาชน”

ในส่วนของวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน หรือชื่อเดิมว่าวัดประชาธิปไตยนั้น ศรันย์กล่าวว่าตัวเจดีย์นั้นมีปล้องไฉนทั้งหมดหกปล้อง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ามาจากหลัก 6 ประการของคณะราษฎรคือ เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา โดยส่วนใหญ่ปล้องไฉนของเจดีย์จะมีจำนวนเป็นเลขคี่ แต่ที่นี่มีหก ซึ่งศรันย์กล่าวว่า “เป็นลักษณะของการถ่ายทอดทางสัญลักษณ์” นอกจากนี้ ศรันย์ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า หน้าบรรณของวัดพระศรีมหาธาตุทำเป็นรูปอรุณเทพบุตร ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในภูมิภาคนี้ นอกจากที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งอาจสื่อถึงรุ่งอรุณของประชาธิปไตย อันเป็นความหวังของประเทศ

กณิษฐ์ วิเศษสิงห์ กล่าวว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คติในการออกแบบสถาปัตยกรรมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มมีการนำความเป็นสมัยใหม่เข้ามา แต่ก็ยังคงความเป็นจารีตไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งกนิษฐ์ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหลักการปกครองของคณะราษฎร ซึ่งเน้นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยกนิษฐ์กล่าวว่า “อำนาจต้องมีการคานกัน ดังนั้นความเป็นสมัยใหม่กับความเป็นจารีตก็ต้องอยู่คู่กัน” อนุสาวรีย์ต่าง ๆ จึงเริ่มมีความเป็นสมัยใหม่กับความเป็นจารีตรวมกัน
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและการทำลายความทรงจำทางประวัติศาสตร์

ศรันย์กล่าวว่า “การวาดลงไป กับการใช้ยางลบออกมา มันเป็นเงื่อนไขที่ทางฝ่ายจารีตนิยมทำกับสถานที่ต่างๆ” โดยยกตัวอย่างของอาคารศาลฎีกาเดิม ซึ่งถึงแม้ว่าผังเมืองจะกำหนดให้ย้ายหน่วยงานราชการออกจากเกาะรัตนโกสินทร์ แต่อาคารของหน่วยงานอื่นๆถูกนำไปใช้งานในจุดประสงค์อื่น เช่นอาคารกระทรวงพาณิชย์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งการทำลายอาคารศาลฎีกานั้น ศรันย์กล่าวว่าเป็นความตั้งใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงสัญญะ โดยเปลี่ยนแปลงรหัสที่ฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม

ในส่วนของหมุดคณะราษฎรและอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญซึ่งหายไปนั้น กณิษฐ์กล่าวว่า การลบประวัติศาสตร์นั้นมีมาอย่างยาวนาน ความทรงจำถึงวีรกรรมของคณะราษฎรก็ถูกลบเช่นเดียวกัน ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม โดยยกตัวอย่างโรงเรียนเตรียมอุดม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะนโยบายการศึกษาของคณะราษฎร แต่ประวัติของโรงเรียนกลับมักพูดถึงแต่หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในฐานะผู้ก่อตั้ง ซึ่งกณิษฐ์มองว่าเป็นการตั้งใจลบประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหลังจากคณะราษฏรหมดอำนาจ ความพยายามในการลบอำนาจคณะราษฎรมีเพิ่มขึ้น เช่นในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็มีความพยายามจะทำลายหมุดคณะราษฏรเช่นกัน กณิษฐ์กล่าวว่า ในฐานะนักประวัติศาสตร์ การลบประวัติศาสตร์ถือเป็นเรื่องที่ผิดมาก การที่อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหายไปนั้นถือเป็นการทำลายประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องจากอนุสาวรีย์นี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเหตุใดพื้นที่บริเวณนั้นจึงชื่อแขวงอนุสาวรีย์ วัดพระศรีมหาธาตุตั้งมาได้อย่างไร และกบฏบวรเดชและคณะราษฏรสู้กันได้อย่างไร ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์จะจบไปแล้ว แต่เราก็ยังเรียนรู้จากมัน นอกจากนี้กณิษฐ์ยังได้เสนอว่าอย่างน้อยถ้าจะย้าย ก็ขอให้ย้ายมาที่วัดพระศรีมหาธาตุ

สรัญญาได้กล่าวเสริมว่า เคยมีการจะทุบทำลายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนินมาแล้วในสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร แต่ก็ถูกคัดค้าน โดยสรัญญามองว่า สิ่งที่คณะราษฎรสร้างไว้เป็นสิ่งที่แตกกระจายได้ง่ายมาก และถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหวสำหรับผู้ที่ต้องการลบประวัติศาสตร์หน้านี้ออกไป

ส่วนในมุมมองของย์ศรันย์ ชีวิต สถานที่ เวลาและเงื่อนไขทางสังคมเป็นหน่วยเดียวกัน ดังนั้น การพรากสถานที่จึงเป็นการพรากชีวิต และการพรากชีวิตจึงเป็นการพรากเงื่อนไขความทรงจำ เขากล่าวด้วยว่า “ผมคิดว่าการพรากแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต เวลา สถานที่หรือความทรงจำที่ปัจจุบันนี้มันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการแสดงออกของการใช้อำนาจนิยม แต่ในความรุนแรงที่ผมคิดว่าเลวร้ายที่สุดเลยคือมันพรากเอาญาณวิทยา...คือการให้เหตุผล คือ basic ของมนุษย์ที่จะเข้าถึงหลักหกประการได้ คุณต้องมีการให้เหตุผล อันนี้คือคุณจะมาขโมยการให้เหตุผลของเยาวชน คุณกำลังขโมยการให้เหตุผลของผู้คน...ในความคิดผม ผมคิดว่ามันรุนแรงมาก”
ข่าว
การเมือง
อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
หลักสี่
ประวัติศาสตร์
คณะราษฎร
เสวนา
กณิษฐ์ วิเศษสิงห์
สรัญญา แก้วประเสริฐ
ศรันย์ สมันตรัฐ
อนุสาวรีย์หลักสี่
อนุสาวรีย์ปราบกบฏ
สถาปัตยกรรม

[full-post]


Posted: 29 Jan 2019 08:27 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 23:27

เลขา ป.ป.ช. ระบุองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติจัดให้ดัชนีการรับรู้การทุจริตไทยปี 61 'แย่ลง' เหตุสังคมโลกมองไทยยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพบางประการทำให้การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมยังไม่ชัดเจน

29 ม.ค.2562 จากกรณีองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2018 โดยไทยได้ 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อยู่ลำดับที่ 99 จาก 180 ประเทศ จากปี 2017 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 96 ได้ 37 คะแนน โดยมีภาพรวมของการประเมินนี้ 2 ใน 3 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 43 คะแนน ซึ่ง ประเทศที่ได้อันดับความโปร่งใสสูงสุดคือเดนมาร์ก ได้ 88 คะแนน (เท่ากับปี 2017)

ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า การให้ค่าคะแนน CPI ปี 2018 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติให้คะแนนและจัดอันดับประเทศไทย โดยพิจารณาข้อมูลจาก 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งไทยได้คะแนนเท่าเดิม 6 แหล่ง คะแนนลดลง 3 แหล่ง 1.ด้านพัฒนาการจัดการสถาบันระหว่างประเทศ 2.ด้านการให้คำปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ 3.ด้านความหลากหลายของโครงการประชาธิปไตย ซึ่งพิจารณาจากการถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้งนี้ที่คะแนนลดลง น่าจะเป็นเพราะปีที่ผ่านมาสังคมโลกมองว่าไทยยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพบางประการเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ทำให้การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมยังไม่ชัดเจน

แจงป.ป.ช. 'คุณธรรมความโปร่งใส' เกือบท้ายตาราง เหตุจำเป็นต้องรักษาข้อมูลทางคดี
ประธาน ป.ป.ช. แจงปมแหวนมารดา-นาฬิกายืมเพื่อน ยังไม่ชัดเข้าข่ายรับของเกิน 3 พันบาท
แจงแค่ 'องค์กรเอกชน' ถอนตัวจากองค์กรโปร่งใสนานาชาติ ยันไทยยังถูกจัดอันดับทุจริตโลกอยู่

วรวิทย์ กล่าวว่า เพื่อเพิ่มค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตและการลดปัญหาการทุจริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนในสังคม ต้องรวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต โดยรัฐบาลต้องมีเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ภาครัฐต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนต้องไม่ให้ความร่วมมือในการให้สินบนทุกรูปแบบและมีการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ ภาคประชาสังคมต้องมีความตื่นตัว ไม่ยอม ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริตทุกรูปแบบ สร้างค่านิยมสุจริต ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต

สำหรับในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมีคดีเกิดขึ้นจะมีการศึกษาเพื่อวางมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก หรือวางมาตรการเพื่อส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มาตรการป้องกันการทุจริตกรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐจากโครงการจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบจีทูจี, มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ, มาตรการเพื่อวางเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ตลอดจนการป้องกันการทุจริต โดยใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่จะเริ่มการเรียนการสอนในปีการศึกษาแรกของปี 2562

ชี้ขาดประชาธิปไตย-โยกย้ายไม่เป็นธรรม-ใต้โต๊ะ ทำไทยดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันต่ำลง
ปปช., กลไกรับผิดรับชอบ, และปัญหาโลกแตกของนักรัฐศาสตร์
ข่าว
การเมือง
ป.ป.ช.
ความโปร่งใส
การเลือกตั้ง
การถ่วงดุล
การจำกัดสิทธิเสรีภาพ
Transparency International
CPI
การทุจริต


[full-post]



ป้ายราชประสงค์กลับมาแล้วนะ รู้ยัง?


30 มกราคม หลังจากได้มีการนำเสนอข่าวไปว่าได้มีการรื้อถอนป้ายราชประสงค์ออกและนำกระถางต้นไม้มาวางตามที่ ทนายอานนท์ นำภา ได้โพสต์ภาพไปนั้น ปรากฎว่าเวลาประมาณบ่ายสองโมงแฟนเพจได้ส่งข้อความมาบอกว่าได้นำกลับมาติดตั้งเหมือนเดิมแล้ว ขอบคุณแฟนเพจมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

"ถึงแอดมินครับ​ ตอนบ่ายสองโมงครึ่ง​ ป้ายสี่แยก​ราชประสงค์​ได้นำกลับ​มาติดตั้ง​เหมือน​เดิมแล้ว​ แต่ว่ากระถางต้นไม้​นั้นยังมีการวางเพิ่มอีก​ โดยมองจากมุมสูงจากรถไฟฟ้า​บีทีเอส"



30 ม.ค. 62 เมื่อเวลา 09.30 น. รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล ได้กล่าวที่โรงแรมพูลแมน คิง พาวเวอร์ รางน้ำ โดยเสนอว่าเมื่อผลการเลือกตั้งประกาศ ให้พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 เชิญ พปชร. ให้มาร่วมรัฐบาล ชี้ จะเป็นการแบ่งปันอำนาจอย่างแท้จริง.

ต่อมาในเพจเฟจบุ๊คของ นพ.เหวง โตจิราการ ได้โพสต์ข้อความดังนี้

ผมขอตอบอ.โคทมเลยครับว่า


1.ในฐานะสมาชิกทษช.
พรรคทษช.มีนโยบาย ปฏิเสธการสืบทอดอำนาจของคสช.หรือพวกคณะรัฐประหาร
จึงไม่มีนโยบาย ร่วมงานกับ พรรคพปชร.ซึ่งเป็นพรรคที่ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะสืบทอดอำนาจของคสช.และ พปชร.กำลังทาบทามพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นหมายเลขหนึ่งนายกฯของพรรค
การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยลงไป และการบริหารราชการแผ่นดินมานานเกือบห้าปีของคสช. ทำให้เกิดความเสียหายอย่างยับเยินกับประเทศชาติบ้านเมือง

2.ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง
ประเทศไทยเสียหายอย่างยับเยินตลอดเวลา86ปีนับจาก2475ที่ผ่านมาเนื่องจากการยึดอำนาจรัฐประหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
13ปีที่ผ่านมา(49-62) ประเทศไทยยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดจากการยึดอำนาจรัฐประหารเป็นสำคัญ เพราะหากให้มีการเลือกตั้ง 15ตุลาคม49 หรือให้การเลือกตั้ง กุมภาพันธ์57 ดำเนินต่อไปได้ ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้อย่างสง่างามเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยะประเทศทั่วโลกประชาชนเงยหน้าอ้าปากได้อย่างทั่วหน้า
ดังนั้นภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของประชาชนทุกคนในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ
ต้องหยุดและปิดประตูการยึดอำนาจรัฐประหารให้เด็ดขาดถาวรให้ได้
ให้ประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงได้ประดิษฐานอย่างเสถียรสถาพรยั่งยืนในสังคมไทยสืบต่อไปอย่างยาวนาน

[full-post]


“จตุพร”เมิน 4 รมต.ลาออกลุยเลือกตั้ง เย้ยการเมืองบีบให้ต้องเป็นเช่นนั้น ใครๆย่อมรู้ดี ชี้ รปห.มากอำนาจคุม ลต. แต่ “ประยุทธ์” กลับลังเล ไร้ทางออก ต้องขอเวลาตัดสินใจลงบัญชีนายกฯพรรค เชื่อกลัว พปชร. แพ้พ่าย ปชต. หมดรูป ระบุนายกฯยื้อได้ไม่เกิน 8 ก.พ.นี้ต้องชัดเจนอนาคต

เมื่อ 29 ม.ค. 2562 พรรคเพื่อชาติลงพื้นที่พบประชาชน จ.กาญจนบุรี โดยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค นำคณะผู้บริหารและมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา กองเชียร์ช่วยให้ความรู้พัฒนาสถาบันการเมืองของพรรค พร้อมเปิดตัวนายสามารถ คงอาจหาญ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ เขต 4 จังหวัดกาญจนบุรี

นายจตุพร กล่าวว่า บรรยากาศการเลือกตั้ง เริ่มคึกคักกันไปทุกขณะ 4 รัฐมนตรีผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ได้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่นายกรัฐมนตรีซึ่งตนคิดว่าไม่เกินวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ต้องแสดงตัวจะอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

รวมทั้งย้ำว่า เมื่อ 4 รัฐมนตรียังต้องลาออก นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น เหตุผลคือการเขียนรัฐธรรมนูญในคราวนี้ ปกติถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทันทีที่พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งมีการประกาศ อำนาจของรัฐบาลจะหายไปเกินครึ่ง เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ทั้งในเรื่องการใช้งบประมาณ การโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งที่สำคัญ ต้องขออนุมัติความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน

นายจตุพร กล่าวว่า นี่คือรัฐบาลตามปกติ แต่รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจได้มีการเขียนรัฐธรรมนูญไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานภาพของรัฐบาลรักษาการณ์ สามารถใช้งบประมาณรวมถึงโยกย้ายข้าราชการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจาก กกต. อีกทั้งยังให้อำนาจหัวหน้า คสช.สามารถใช้มาตรา 44 จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่

“พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสถานการณ์ที่ลังเลที่สุด เพราะรู้เช่นเดียวกันว่า หากไปอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี ก็ไม่แน่ใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ 150 เสียงตามที่ได้มีการประกาศไว้หรือไม่ นี่คือสถานการณ์ที่มันเป็นจริง”

ประธาน นปช. กล่าวว่า วันนี้กว่าจะถึงวันเลือกตั้งนั้น ก็เหมือนกับว่า ต้องเดินทางด้วยความอดทนและเดินกันอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรสรุปกันได้ ว่าการเริ่มต้นแบบไหนจะจบลงอย่างไร แต่การเลือกตั้งจะช่วยอธิบายความกันว่า เราจะเดินอย่างไร ปรับวิธีการกันอย่างไร พรรคการเมืองบางพรรคหากประกาศตั้งพรรค 1 เดือนแล้วเลือกตั้งเลย อาจจะชนะ แต่เมื่อลากยาว กระแสก็ลากไม่รอดเหมือนกัน การเมืองสอนหลายสิ่งหลายอย่างครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

ส่วนนายสงคราม กล่าวว่า ไทยลำบากมา 4 ปีกว่าแล้ว จนพอแล้ว ถ้าไม่อยากจนต่ออีก 4 ปีต้องเลือกพรรคเพื่อชาติ เราจะไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง นโยบายที่เราคิดมาเราต้องรู้ว่าจะเอาเงินจากไหน เงินงบประมาณเท่าเดิม

“แต่เราต้องใช้เงินให้ถูกทาง อาทิ นโยบายเงินสวัสดิการผู้สูงวัยเดือนละ 2,000 บาทของเรา จะทำให้ผู้สูงอายุ อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและไม่เดือดร้อน เราจะไม่ยอมให้พี่น้องจนอีกต่อไป” นายสงครามยืนยัน

นายสงคราม กล่าวว่า ชีวิตตนก่อนหน้านี้ ลำบากมามากแล้ว ตนตั้งใจว่า บั้นปลายชีวิตนี้ จะมารับใช้ประชาชน จะมาทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น จะมาทำให้พี่น้องอยู่ดีกินดี ไม่ลำบากเหมือนในปัจจุบัน ขออย่าลืมเลือกพรรคเพื่อชาติด้วย

PEACE NEWS

ติดตามPEACE NEWS ผ่านช่องทาง SOCIAL MEDIA ได้ที่

[full-post]


ภรรยา 'ฮาคีม อัล-อาไรบี' เขียนจดหมายถึง 'ประยุทธ์' ขอปล่อยตัวสามีกลับประเทศ ระบุ คุมตัวผู้ลี้ภัยการเมืองขัดหลักการ 'ไม่ส่งกลับ' ที่ผู้นำไทยให้คำมั่นกับสหประชาชาติเมื่อปี 2559 พร้อมยกกรณี 'ราฮาฟ' ย้ำคำรัฐบาลไทยที่ว่าจะไม่ส่งใครกลับไปเสี่ยงตาย
ณัฐาสิริ เบิร์กแมน จากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และเอเว่น โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายช่วยเหลือผู้ลี้ภัยแห่งเอเชียแปซิฟิก (APRRN) เป็นตัวแทน 'ฮาคีม อัล-อาไรบี' อดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาห์เรนที่ถูกทางการไทยจับกุมและคุมขังตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 2561 เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการส่งกลับ และจดหมายที่ภรรยาของฮาคีมเขียนถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล วันนี้ (30 ม.ค. 2562) โดยเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณาส่งตัวฮาคีมกลับไปยังออสเตรเลีย ซึ่งเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองและมีสิทธิพำนักอาศัยถาวรแล้ว

ข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของภรรยาฮาคีม ระบุว่า "พวกเราเพิ่งแต่งงานกัน สามีของฉันจึงอยากจะมีช่วงเวลาที่พิเศษร่วมกัน เราเดินทางมายังประเทศไทย เพราะเราคิดว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ฮันนีมูนที่สมบูรณ์แบบ พวกเราเดินทางด้วยความตื่นเต้นและมาถึงประเทศไทย เพียงเพื่อจะต้องเผชิญกับการถูกจองจำและภัยคุกคามที่สามีของฉันอาจจะถูกส่งกลับไปบาห์เรน ซึ่งเขาชีวิตของเขาอาจตกอยู่ในอันตราย"

"ฉันอยู่กับสามีของฉันในช่วง 10 วันแรกที่เขาถูกควบคุมตัว คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเราต้องเผชิญกับความรวดร้าว หวาดกลัว และกดดันมากเพียงใดในขณะที่เราถูกคุมขัง เราไม่รู้ภาษาที่จะใช้เจรจากับเจ้าหน้าที่ของไทย เราไม่มีทนาย และเราพยายามทำความเข้าใจในฝันร้ายที่กำลังเผชิญ ท้ายที่สุด ฉันต้องเดินทางกลับออสเตรเลียเพียงลำพัง ฉันไม่มีใครในครอบครัวอยู่ที่นี่ มีเพียงแค่ความหวังอันริบหรี่ว่าสามีของฉันจะได้กลับบ้าน"

ณัฐาสิริ เบิร์กแมน.jpg
ตัวแทนฮาคีม อัล-อาไรบี ยื่นจดหมายที่ภรรยาของเขาเขียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
"ฉันได้เห็นบทบาทที่น่ายกย่องก่อนหน้านี้ของทางการไทย ในกรณีของราฮาฟ (อัลกุนุน) หญิงสาวที่ต้องการลี้ภัยจากการถูกคุกคามในซาอุดีอาระเบียโดยผ่านมายังประเทศไทย ซึ่งกรณีนี้มีความคล้ายคลึงกับสามีของฉัน ในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ของไทยยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวใครให้ต้องกลับไปตาย ทางการไทยช่วยเหลือและสนับสนุนราฮาฟ ทั้งยังอนุญาตให้เธอเดินทางไปยังแคนาดา ฉันจึงได้แต่หวังว่า สามีของฉันจะได้รับอนุญาตให้กลับคืนมายังออสเตรเลียเช่นกัน"

ทั้งนี้ ในวันที่ 8 ก.พ.ที่จะถึง อัยการมีกำหนดยื่นให้ศาลไทยพิจารณาว่าจะส่งตัวฮาคีมในฐานะ 'ผู้ร้ายข้ามแดน' กลับไปยังบาห์เรนตามคำร้องขอที่รัฐบาลบาห์เรนมีต่อทางการไทยหรือไม่ แต่ที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวฮาคีมมาโดยตลอด

สก็อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย รวมถึงมารีส เพย์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ต่างคัดค้านการคุมขังฮาคีม พร้อมทั้งคัดค้านที่ทางการไทยอาจจะพิจารณาส่งตัวฮาคีมกลับบาห์เรน ขณะที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า และวงการฟุตบอลออสเตรเลีย นำโดย 'เครก ฟอสเตอร์' อดีตกััปตันฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย ต่างเรียกร้องกับไทยว่าฮาคีมได้รับสถานะผู้ลี้ภัยแล้ว จึงไม่ควรต้องถูกส่งกลับไปยังบาห์เรน พร้อมย้ำให้ปล่อยตัวเขาอย่างเร่งด่วน

ก่อนหน้านี้ในปี 2559 ผู้แทนรัฐบาลไทยให้คำรับรองกับที่ประชุมสหประชาชาติว่าไทยจะผลักดันให้มีกฎหมายเพื่อนำหลักการไม่ส่งใครกลับไปสู่อันตราย (Non-refoulement) มาบังคับใช้ และแสดงความพร้อมในการร่วมมือกับไทยจัดทำระบบคัดกรองผู้โยกย้ายถิ่นฐานด้วย

[right-side]


ยอดขายแอปเปิลโดยรวมตก 5% โดยยอดขายในจีนตกถึง 15% ในขณะที่หุ้นของบริษัทตกลง 30%

เมื่อวันอังคาร (29 มกราคม) ที่ผ่านมา แอปเปิลเปิดเผยตัวเลขรายรับของบริษัท โดยกล่าวว่า ยอดขายในช่วงวันหยุดยาวที่สำคัญเเตะ 8.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.65 ล้านล้านบาท แม้ว่าตัวเลขนี้จะไม่แย่เท่าตัวเลขคาดการณ์ที่แอปเปิลออกมาเตือนนักลงทุนก่อนหน้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยอดขายของแอปเปิลตกลงราวร้อยละ 5 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ทิม คุก ประธานบริหารของบริษัทแอปเปิล อ้างว่าสาเหตุหลักของยอดขายที่ลดลงมาจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง โดยยอดขายไอโฟนในไตรมาสนี้ตกลงที่ร้อยละ 15 มาอยู่ที่ 5.198 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.63 ล้านล้านบาท

สำหรับตัวเลขยอดขายในประเทศจีนตกลงอย่างมีนัยสำคัญ รายรับสุทธิอยู่ที่ 1.317 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.14 แสนล้านบาท ตกลงจาก 1.795 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 5.64 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ในขณะที่หุ้นของแอปเปิลตกลงมาอยู่อันดับที่สี่ในอันดับบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก จากที่รั้งตำแหน่งแชมป์มาหลายสมัย

หุ้นของบริษัทแอปเปิลตกลงราวร้อยละ 30 หลังจากมีการประกาศยอดรายรับของบริษัทในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนต่างพากันกังวลถึงอนาคตของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิศทางการพัฒนา 'ไอโฟน' ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท

อ้างอิง; CNN

[full-post]


Posted: 28 Jan 2019 08:26 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2019-01-28 23:26


ใบตองแห้ง

ทันทีที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง นักการเมืองต้องปิดการสื่อสารทางเฟสบุ๊ค ทวีตเตอร์ เพราะเกรงจะผิดระเบียบ กกต. ที่สั่งให้ต้องขออนุญาตก่อน

ช่างย้อนแย้งน่าสังเวชเสียกระไร เพราะก่อนหน้านี้ ทุกคนทุกพรรครณรงค์หาเสียง แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ แต่พอมีพระราชกฤษฎีกา ว่าจะมีการเลือกตั้งไปสู่ประชาธิปไตย กลับถูกระเบียบ กกต.จำกัดสิทธิเสรีภาพ ใช้โซเชี่ยลไม่ได้ กลัวทำอะไรก็ผิด

นี่เป็นวิธีคิดอะไร วิธีคิดเจ้าขุนมูลนาย ครูใหญ่ ครูผู้ปกครอง มองประชาชนเป็นเด็กอมมือ มองนักการเมืองเป็นผู้ร้าย ต้องเข้มงวดกวดขัน วางกฎหยุมหยิม ตรวจเสื้อผ้าหน้าผม คุมความประพฤติ จนกระดิกไม่ได้

ทั้งที่การเลือกตั้งคือการแข่งขันเสรี ซึ่งถ้าว่าถึงการหาเสียงออนไลน์ กกต.ก็มีหน้าที่แค่ดูค่าใช้จ่าย ถ้ามีใครให้ร้ายป้ายสี เดี๋ยวก็มีพรรคคู่แข่งมาฟ้องเอง

แต่นี่อะไร ประธาน กกต.ต้องยกโขยงเจ้าหน้าที่ไปตั้งวอร์รูม คอยสอดส่องการแสดงความคิดเห็น ไม่เว้นแม้กองเชียร์แต่ละฝ่าย ทั้งที่เป็นปกติในโลกโซเชี่ยล ที่ต้องมีประชดประเทียดเสียดสีล้อเลียน พาดพิงกันทั่วไป แต่ท่านจะให้ทุกคนพับเพียบ? นักการเมืองมากดไลก์กดแชร์ก็ผิด อาจโดนใบแดงได้

ข้อกำหนดให้นักการเมืองต้องยืนยันตัวตน ก็พอเข้าใจ ท่านบอกว่าเกรงจะมีคนแอบอ้าง อวตาร สวมรอย แต่พอไปวางระเบียบ กลับจุกจิกหยุมหยิม ต้องรอสมัครรับเลือกตั้งแล้วไปขอใบอนุญาตยังกะทำใบขับขี่ ทั้งที่มีและใช้เฟสบุ๊คมาแต่ไหนแต่ไร

เราอยู่ในโลกยุค 4.0 แต่มี กกต. 0.4 ที่ไม่เข้าใจเสรีภาพในการสื่อสาร จะเข้ามาคุมทุกอย่าง กระทั่งวางโบรชัวร์ไว้ในที่สาธารณะก็ไม่ได้ (ผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาดมั้ง แต่ทำไมห้างแจกใบปลิวได้)

กกต.ไม่ให้หาเสียงทางวิทยุโทรทัศน์ กกต.จัดให้พรรคละ 10 นาที สถาบันการศึกษา องค์กรวิชาชีพ จัดดีเบตได้ แต่ต้องยึดหลักความเท่าเทียม นี่ กกต.จะบังคับให้ทุกคน “เป็นกลาง” โดยไม่คำนึงถึงเสรีภาพ จัดดีเบตใครจะจัด 70-80 พรรค เขาก็ต้องเลือกพรรคตัวเก็งที่ประชาชนสนใจ คุณกำหนดอย่างนี้ในทางปฏิบัติก็จะไม่มีใครจัดเลย

กกต.ยังห้ามเจ้าของกิจการวิทยุโทรทัศน์ นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร สื่อมวลชน ใช้ความสามารถหรือวิชาชีพ เอื้อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ถามหน่อยสิครับ คนเหล่านี้ไม่มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น เหตุผลที่จะเชียร์จะนิยมพรรคหนึ่งพรรคใดเลยหรือ ทำไมเขาต้องเป็นกลาง คุณไปเอาหลักการมาจากไหนว่าสื่อต้องเป็นกลาง การเลือกตั้งในระบอบเสรีประชาธิปไตยทั่วโลก สื่อเลือกข้างได้ทั้งนั้น เว้นแต่สื่อรัฐ ที่ใช้งบประมาณจากภาษีประชาชน

กกต.ไม่ลืมตาดูเลยหรือว่าทีวีดิจิตอลทุกวันนี้เป็นเอกชน ซื้อใบอนุญาตจาก กสทช. ทุกช่องมีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น ขอเพียงอย่าบิดเบือน ทุกช่องมีเสรีภาพที่จะรับโฆษณาพรรคการเมือง ขอเพียงแจ้งค่าใช้จ่ายกับ กกต.

การตั้งกฎกติกาหยุมหยิมนี้ไม่ใช่แค่ความไม่เข้าใจ แต่สะท้อนทัศนะ “ขุนนาง” เจ้าขุนมูลนายผู้มาดูแลการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนผู้โง่เขลา ซึ่งผิดเพี้ยนมาตั้งแต่มี กกต.ในรัฐธรรมนูญ 2540 ใหม่ๆ เราตั้ง กกต.เป็นองค์กรอิสระมาดูแลเลือกตั้งแทนมหาดไทย แต่ไปๆ มาๆ ก็ถูกครอบงำด้วยความคิดจารีต เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมี “มหาเทพ” มาตัดสินการแสดงเจตจำนงของประชาชน มิใช่ด้วยกระบวนการยุติธรรม แต่ด้วยความเชื่อ มหาเทพ 5 ตน 7 ตน “เชื่อได้ว่าทุจริต” ก็แจกใบแดงให้คนที่ประชาชนเลือกมาเป็นแสนคะแนน หนำซ้ำต่อมายังยุบพรรคได้ ตามหลักเหมาเข่ง ผิดคนเดียวประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร

กกต.ไทยที่เอาต้นแบบมาจากอินเดีย มี 2 คน เจ้าหน้าที่ร้อยกว่าคน จึงกลายเป็นองค์กรใหญ่โต มีข้าราชการเป็นพันๆ ใช้งบประจำปีละ 2 พันล้าน มีเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งค่ารับรองสองแสนกว่า ใหญ่โตที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือ กกต.ชาติใดในโลก แล้วก็ต้องหางานให้ตัวเองทำ ตามทัศนะของรัฐราชการและคนชั้นกลางระดับบน ที่เชื่อว่า “ยิ่งบ้าจี้ยิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไม่ต่างอะไรกับครูจับผิดเสื้อผ้า จับเด็กตัดผม ยิ่งแก่กล้าศีลธรรม

ปัญหาก็คือ กกต.ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม เพราะทีนายก อบจ.ได้ ม.44 คืนตำแหน่ง ไปชูป้ายให้ผู้สมัครพรรคสี่รัฐมนตรี กกต.มีปัญญาสอบสวนผู้ใช้ ม.44 หรือเปล่า ว่าไม่เป็นกลางทางการเมือง

กกต.จะให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นมหาเทพได้อย่างไร เพราะท่านไม่ได้ผุดมาจากดอกบัวที่ไหน ท่านได้เป็น กกต.ด้วยมติ สนช.ที่คณะรัฐประหารตั้ง ไม่ต่างอะไรกับ ป.ป.ช.ที่ถูกครหาว่าเป็นเพียง “เด็กหน้าห้อง” ของ “กระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ” นั่นเอง



เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ https://www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2135809

[full-post]


Posted: 28 Jan 2019 08:44 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2019-01-28 23:44


28 ม.ค.2562 เวลา 10.30 น. ที่ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ ตัวแทนสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน(คปอ.) จำนวนกว่า 40 คน เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ สนช.ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ รวมทั้งเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหากรณีอุทยานแห่งชาติไทรทองประกาศทับที่ทำกินชาวบ้านจนเป็นเหตุให้ชาวบ้านถูกดำเนินคดีจำนวน 14 รายภายใต้นโยบายทวงคืนผืนป่าของ คสช.

นางสาวนิตยา ม่วงกลาง ชาวบ้านซับหวาย ต.ห้วนแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยภูมิเป็นผู้รับหนังสือ โดยในรายละเอียดมีข้อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติออกไปก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปรับแก้เนื้อหาให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุทยานแห่งชาติ พ.ศ..... อยู่ในชั้นกรรมาธิการฯ ที่มีนายสนิท อักษรแก้ว สนช. เป็นประธานกรรมาธิการฯ ก่อนหน้านี้คณะทำงานประชาชนเพื่อการอนุรักษ์และสิทธิมนุษยชน (คอส.) นำโดย นายบุญ แซ่จุง ก็เคยยื่นหนังสือขอให้ชะลอการพิจารณาไปก่อนเนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน โดย คอส.เคยเสนอร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ต่อ สนช. ซึ่งเป็นฉบับของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ในขั้นตอนการพิจารณาต้องส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพิจารณาเพื่ออนุมัติ เนื่องจากเนื้อหาร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน แต่เรื่องกลับไม่มีความคืบหน้าจนปัจจุบัน ขณะที่ร่างกฎหมายฉบับของคณะรัฐมนตรีกลับถูกส่งให้ สนช.พิจารณารับหลักการแล้วดังกล่าว

นอกจากข้อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณาร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติดังกล่าว นิตยาระบุด้วยว่า ตัวแทนชาวบ้านได้เข้าร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิและตัวแทนศูนย์ดำรงธรรมเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหากรณีอุทยานแห่งชาติไทรทองประกาศทับที่ทำกินชาวบ้าน ตามที่มีมติในที่ประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2561 เห็นชอบในหลักการของแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วม โดยให้อุทยานฯ ไทรทองเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานงานผู้แทนฝ่ายเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. จังหวัด, อำเภอ, ท้องถิ่น รวมทั้งภาคประชาชนในการเข้ามาร่วมพัฒนาแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยชุมชน แต่ทางผู้ว่าฯ แจ้งว่ายังไม่ได้รับหนังสือมติที่ประชุมดังกล่าวจากทางอุทยานแห่งชาติไทรทองแต่อย่างใด

ทั้งนี้คณะทำงานจังหวัดชัยภูมิได้มีมติรับรองผู้เดือดร้อนจำนวน 187 ราย โดยจำแนกชาวบ้านที่อาศัยทำกินอยู่ก่อนปี 2545 จำนวน 145 รายและที่อาศัยทำกินระหว่างปี 2545 - 2557 อีกจำนวน 42 ราย รวมที่ดิน 47 แปลง ให้ กอ.รมน.จังหวัดชัยภูมิเป็นผู้ประสานคณะทำงาน 4 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ รวมทั้งชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อดำเนินการคัดกรองตามคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557

"หากแนวทางแก้ไขในส่วนของภาครัฐยังไม่มีความคืบหน้า และ พ.ร.บ.อุทยานฯ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบนี้ คาดว่าปัญหาผลกระทบจะตามมาอีกมากมาย คนอยู่กับป่าไม่ได้อย่างยั่งยืน เพราะจะติดข้อกฎหมายมากมายที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เป็นเหตุให้คนต้องหลุดออกจากป่า กลายเป็นคนไร้ที่ทำกิน และจะถูกจับกุมดำเนินคดี" นิตยากล่าว



รายงานโดน ศรายุทธ ฤทธิพิณ


ความเห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชแห่งชาติ (23 ม.ค.2562)

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่า ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... และ ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงได้มีความเห็นเพิ่มเติมต่อร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวไปยัง สนช. สรุปได้ดังนี้

1. ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ประเด็นที่ (1) การมีส่วนร่วมของประชาชนหรือชุมชนในท้องถิ่น เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีการปรับปรุงหลักการให้ดีขึ้นกว่าพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เนื่องจากการกำหนดเขต ขยายเขต หรือการเพิกถอนเขตพื้นที่อุทยานและพื้นที่อนุรักษ์ตามร่างมาตรา 28 ต่างก็ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและชุมชนที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี เห็นว่า ควรมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนด้วย นอกจากนี้ ร่างมาตรา 18 เกี่ยวกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งยังคงเป็นอำนาจของหน่วยงานของรัฐและอธิบดี จึงเห็นควรให้กำหนดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของบุคคลหรือชุมชนท้องถิ่น และกำหนดแผนที่เหมาะสมในการร่วมกันบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติระหว่างรัฐและประชาชนด้วย

ประเด็นที่ (2) ความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น เห็นว่า ชุมชนเป็นหน่วยทางสังคมที่เข้มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการจัดการและพัฒนาสิ่งแวดล้อม ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... จึงควรกำหนดบทนิยามเกี่ยวกับชุมชนด้วย โดยควรที่จะให้บุคคลหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43

นอกจากนี้ ในส่วนของการคุ้มครอง บำรุง ดูแล และรักษาอุทยานแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะชุมชนที่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยพื้นที่ชายฝั่งและทะเลในการดำรงชีพ การมีบทบัญญัติห้ามเข้าไปกระทำการบางอย่างในเขตที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ก็ควรกำหนดบทยกเว้นไว้สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นการเฉพาะ และควรกำหนดครอบคลุมไปถึงกรณีของบุคคลหรือชุมชนที่อยู่อาศัยหรือพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติในเขตพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติหรือต่อมามีการขยายพื้นที่อุทยานแห่งชาติมาถึงด้วย

ประเด็นที่ (3) การสร้างความชัดเจนในเรื่องของการทำกินของบุคคลและชุมชนท้องถิ่นที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติ มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มาตรา 63 วรรคสอง ที่กำหนดให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือจากปัญหาไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า ความช่วยเหลือที่บุคคลหรือชุมชนที่อยู่อาศัยและดำรงชีวิตในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติจะได้รับนั้น เป็นสิทธิหรือประโยชน์ประเภทใด และจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร

นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มาตรา 63 ที่กำหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาตินั้น ปรากฏว่า เงื่อนไขที่กำหนดกรอบในการตราพระราชกฤษฎีกายังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการประกันสิทธิของบุคคลหรือชุมชนที่เป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตในพื้นที่ป่า

หากเป็นเพียงเกณฑ์การช่วยเหลือในเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกินซึ่งอยู่ในกรอบทางเศรษฐกิจ ขาดการคำนึงถึงหลักการส่งเสริมให้ชุมชนดั้งเดิมช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมอันเป็นมิติทางวัฒนธรรม จึงควรนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดกรอบพระราชกฤษฎีกาด้วย

2. ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... ประเด็นที่ (1) ร่างมาตรา 31 ถึงมาตรา 41 การจัดตั้งป่าชุมชน บัญญัติให้ชุมชนที่ประสงค์นำพื้นที่ป่ามาขอจัดตั้งป่าชุมชน ต้องยื่นแผนจัดการป่าชุมชนต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุญาตก่อนนั้น มีข้อกังวลว่า ชุมชน เช่น กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ชาวมันนิ อาจไม่มีโอกาสรับรู้ถึงวิธีการจัดทำแผนจัดการป่าชุมชนเสนอต่อรัฐก่อนใช้ประโยชน์ และอาจเป็นภาระมากเกินกว่าที่ชุมชนเหล่านั้นจะดำเนินการได้เอง

ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... จึงจำเป็นต้องมีวิธีการอำนวยความสะดวกให้แก่ชุมชนเหล่านั้น เช่น บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกรมป่าไม้ร่วมช่วยเหลือในการเขียนแผนโครงการของชุมชนในพื้นที่ ประเด็นที่ (2) ร่างมาตรา 44 หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน เห็นควรเพิ่มหน้าที่ในการติดตามและประเมินผลการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนในป่าชุมชนด้วย

ประเด็นที่ (3) ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... บัญญัติให้มีการตราอนุบัญญัติหลายมาตราที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการควบคุมต่าง ๆ ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น การออกข้อห้ามมิให้กระทำการในป่าชุมชน รวมถึงการกำหนดกฎระเบียบเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ โดยผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย

ซึ่งมีสัดส่วนกรรมการจากหน่วยงานของรัฐมากกว่าชุมชน โดยไม่ได้กำหนดหลักประกันความเป็นธรรมของประชาชนในการจัดทำร่างอนุบัญญัติไว้ จึงเห็นว่า การออกกฎหมายลำดับรองควรเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น กสม.) เข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแสดงความคิดเห็นในการจัดทำร่างอนุบัญญัติเหล่านั้นด้วย

ประเด็นที่ (4) ร่างมาตรา 56 และมาตรา 57 การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทนหรือค่าบริการจากบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกและการรับเงินบริจาคจากบุคคลภายนอกของป่าชุมชน มีข้อสังเกตว่า เงินดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินและให้ตกเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชน จึงเห็นควรบัญญัติให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน รายรับ - รายจ่ายของป่าชุมชนต่อสาธารณะด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจใช้เป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย


Posted: 28 Jan 2019 08:52 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2019-01-28 23:52


นิธิ เอียวศรีวงศ์

ไม่นานมานี้ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญมากแก่การพัฒนาประเทศ ในยุคสมัยโลกาภิวัตน์ เราจะส่งเสริมแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ

ผมเห็นด้วยกับท่านศาสตราจารย์เป็นอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอแน่ แต่ต้องรวมทุกวิชา (หรือแม้แต่ที่ยังไม่ได้พัฒนาขึ้นเป็นวิชา) วาดเขียนหรือศิลปะ, การละคร, พลศึกษา, วรรณคดี, สุขศึกษา ฯลฯ ก็ล้วนมีความสำคัญไม่น้อยกว่าภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ทั้งนั้น

ครับ ดอกไม้ร้อยดอกควรบานพร้อมกัน

สมมุติให้คิดแต่เรื่องเงินนะครับ คนในโลกปัจจุบันต้องการ “ผลิตภัณฑ์” ทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้ (เช่น การเงิน, การนวด, การท่องเที่ยว, บรรยากาศของห้างสรรพสินค้า ฯลฯ) ซึ่งสามารถตอบสนองอะไรได้หลายอย่างมาก นับตั้งแต่ใช้ประโยชน์ได้, ส่อให้เห็นสถานภาพทางสังคมที่เขาอยากเอาตัวเองไปวางไว้ตรงนั้น, ควรตอบสนองต่อ “อุดมคติมวลชน” ด้วย เช่น ผลิตจากวัสดุหมุนเวียนทั้งหมด และยังควรสอดคล้องกับ “รสนิยมมวลชน” อีก คือไม่ใช่สวยงามถูกใจบางคน แต่ใครๆ เห็นก็ว่าสวยถูกใจทั้งนั้น

ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ไม่พอจะสร้าง “ผลิตภัณฑ์” ชนิดนี้ได้หรอกครับ แม้ไม่ได้คิด “ผลิตภัณฑ์” นั้นขึ้นมาเอง เพียงแต่รับจ้างเขาผลิต ผู้อยู่ในกระบวนการผลิตทุกคน นับตั้งแต่คนงานขึ้นมาถึงผู้จัดการใหญ่ ล้วนต้องเข้าใจคุณลักษณะสำคัญทั้งหมดเหล่านี้ใน “ผลิตภัณฑ์” ที่ตัวกำลังประกอบขึ้น

เป็นเอเย่นต์ขายบริการให้คนอื่น ก็ต้องมีความเข้าใจอย่างเดียวกัน

ความเข้าใจอย่างนี้เกิดขึ้นได้จากการใช้จินตนาการข้ามความรู้เฉพาะด้านเฉพาะส่วนของตนเอง ไปมองเห็นผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จรูปแล้วทั้งอัน รวมถึงการใช้สอยครอบครองผลิตภัณฑ์นั้นของผู้คนด้วยว่าจะไปกระทบต่อชีวิตของแต่ละคนอย่างไร หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มีให้เห็นในขณะนั้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ ทั้งคนและประเทศจะทำมาหากินในโลกปัจจุบัน โดยขาดความสามารถสำคัญอย่างหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ “จินตนาการ”

โดยคำนี้ ผมหมายถึงความสามารถที่จะมองเห็นวิธีการ, มาตรฐาน, คำตอบ, คำถาม, “ความจริง”, ความศักดิ์สิทธิ์, อุดมคติ, ศีลธรรม, ปฏิกิริยาทางอารมณ์ความรู้สึก ฯลฯ ที่แตกต่างจากที่ตนเองคุ้นเคย ซึ่งที่จริงก็คือสิ่งที่สังคมสถาปนาเอาไว้นั่นเอง ทั้งหมดนี้ผมขอใช้คำเดียวเรียกคลุมทั้งหมดเลย คือ “มาตรฐาน”

ภาษาของคนปัจจุบันมักเรียกว่า “นอกกรอบ” แต่ผมไม่อยากให้จำกัดแต่เพียงการ “คิด” นอกกรอบ แต่ควร “รู้สึก” นอกกรอบ และ “ฝัน” นอกกรอบด้วย

จะนอกกรอบได้ก็ต้องมีจินตนาการครับ

อันที่จริง “กรอบ” ก็คือสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นครอบงำบุคคล ซ้ำครอบคลุมอย่างแน่นหนาเสียด้วย เราจึงเคยชินที่ทุกครั้งเมื่อเกิดปัญหา เราจะมองย้อนกลับไปดูว่า ปัญหาอย่างนี้เขาแก้กัน “ในกรอบ” อย่างไร เรื่องอื่นก็เหมือนกัน ภาพเขียนนี้ “งาม” หรือไม่ เราก็อาศัยมาตรฐานของความงามที่เคยรู้ๆ มาตัดสินภาพเขียนนั้น ความงามที่เราคุ้นเคยจึงอยู่ใน “กรอบ” เหมือนกัน

“กรอบ” จึงเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรายิ่งกว่าแขนขาที่ห้อยอยู่รอบตัวเสียอีก เพราะแม้แต่ตัดส่วนที่ห้อยๆ เหล่านี้ออกไปให้หมด เราก็ยังอยู่ใน “กรอบ” นั่นเอง

ในแง่นี้ “กรอบ” ก็มีประโยชน์นะครับ ไม่มีเสียเลยก็คงมีชีวิตอยู่ได้ยาก ไฟไหม้บ้านแล้วมัวคิดว่าจะดับ “นอกกรอบ” อย่างไร ถึงจะคิดได้ในที่สุด ก็คงสูญเสียบ้านไปหลายหลังทีเดียว จนชีวิตไม่เหลืออะไรอื่น นอกจากเก็บเงินสร้างบ้านอย่างเดียว

แต่ในขณะเดียวกัน “กรอบ” ก็บีบบังคับให้เราไม่มีวันพบอะไรใหม่อีกเลย หากบรรพบุรุษสมัยหินของเราใช้ชีวิตใน “กรอบ” อย่างเดียว ป่านนี้เรายังอยู่ถ้ำและต้องเที่ยวหาอาหารกินจากป่าอยู่เลย

ยิ่งโลกอยู่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นปัจจุบัน “นอกกรอบ” จึงยิ่งมีความสำคัญแก่ทุกคน

ถ้า “กรอบ” คือตัวเรา วิชาที่ทำให้เราหลุดจากตัวเราได้อย่างชัดเจนที่สุด ในทัศนะของผมคือวิชาวรรณคดีครับ

เริ่มตั้งแต่คิดว่าผู้เขียน ซึ่งบางครั้งมีชีวิตอยู่คนละยุคสมัยหรือสังคมกับผู้อ่าน ต้องการความหมายอย่างไรกันแน่ ไปจนถึงตัวละครแต่ละตัว ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ซึ่งบางครั้งผู้อ่านเองก็ไม่เคยประสบ จะรู้สึกนึกคิดอย่างไรภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น และภายใต้บุคลิกภาพและประสบการณ์เดิมของตัวละครนั้น

ความสามารถในการถอนตัวเองออกจากตัวเองเช่นนี้ไม่ได้มีมาตามธรรมชาติเสียทีเดียว อย่างน้อยถึงมีมาเองก็ค่อนข้างจำกัด ต้องอาศัยการฝึกปรือจินตนาการให้สามารถทำได้ฉับไวและจำลองตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่นได้อย่างคล่องแคล่ว จนกลายเป็นธรรมชาติของบุคคล (sympathy อาจเป็นธรรมชาติมนุษย์ แต่ empathy ต้องฝึก)

ผมไม่ได้หมายถึงความเห็นใจพร้อมช่วยเหลือคนอื่นอย่างเดียว ที่เกิดขึ้นได้เมื่อเราสามารถจำลองตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่น แต่ผมหมายถึงการปฏิบัติงานของตนเองให้เป็นที่น่าพอใจด้วย เราต่างมีประสบการณ์อยู่บ่อยๆ กับพนักงานที่มีหน้าที่ให้บริการด้านต่างๆ นับตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อไปจนถึงโรงพยาบาล หน่วยราชการ และห้างร้านเอกชน หลายคนในบรรดาคนเหล่านี้เจตนาจะให้บริการแก่ “ลูกค้า” อย่างจริงใจ แต่เพราะไม่สามารถจำลองตนเองเข้าไปในสถานการณ์ของ “ลูกค้า” ได้ จึงไม่เข้าใจคำขอหรือไม่เปิดให้บริการมีความยืดหยุ่นแก่คนในสถานการณ์ที่หลากหลาย

ที่พูดกันว่าคนไทยเก่งด้านบริการ เพราะเราอ่อนหวานเอาอกเอาใจเก่ง ไม่จริงนักหรอกครับ หัวใจของการบริการในโลกปัจจุบันคือคิดในสถานการณ์ของคนอื่นต่างหาก อย่างเดียวกับการผลิตสินค้า คือคิดแทนคนอื่นซึ่งมีชีวิต, รสนิยม, สถานภาพ ฯลฯ ที่แตกต่างจากผู้ผลิตเป็น (ยุคสมัยของเฮนรี่ ฟอร์ด ที่โฆษณาขายรถฟอร์ดรุ่น T แก่ลูกค้าว่า “คุณจะเลือกสีอะไรก็ได้ เว้นแต่ต้องเป็นสีดำเท่านั้น” ได้จบไปนานแล้ว)

ผมอยากจะพูดว่า เพราะเราสอนวรรณคดีกันอย่างชนิดที่ไม่ปลุกเร้าให้ผู้เรียนใช้จินตนาการ คิดและรู้สึกอะไรออกไปนอกตัวบทให้มาก จึงทำให้คนไทยไม่ได้ถนัดงานบริการอย่างที่เข้าใจกัน แต่พอพูดแล้วจึงได้นึกออกว่า ที่จริงแล้วทุกวิชาในโลกนี้ล้วนควรสอนให้มีความสามารถด้านจินตนาการให้กว้างไกลไปกว่าพื้นฐานของวิชาทั้งนั้น

ฟิสิกส์ที่จะใช้ประโยชน์ได้จริง คือฟิสิกส์ที่ต้องคำนึงถึง “ตัวแปร” ซึ่งอยู่นอกสูตรคำนวณต่างๆ (และมักคิดขึ้นในสภาพที่เกือบเหมือนสุญญากาศ แรงต่างๆ กระทำต่อกันโดยไม่มี “ตัวแปร” อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง) ผมคิดว่าเศรษฐศาสตร์ก็เหมือนกัน เพราะเอาเข้าจริง ความเป็นมนุษย์ที่เป็นสมมุติฐานเบื้องต้นของเศรษฐศาสตร์นั้น เป็นเพียงมิติเดียวของความเป็นมนุษย์ วันๆ เราทำอะไรที่อเศรษฐศาสตร์อยู่ตลอดเวลา เช่น แต่งงานหรือมีลูก

เอาเข้าจริง ไม่มีวิชาอะไรสักอย่างในโลกนี้ ที่ไม่ต้องการจินตนาการ ยิ่งคณิตศาสตร์ยิ่งต้องการจินตนาการสูงมาก เพราะนักคณิตศาสตร์คิดอะไรกับสิ่งสมมุติทั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง นับตั้งแต่จำนวนเป็นต้นไป ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า เราสอนคณิตศาสตร์กันอย่างเป็นเทคนิควิธี หรือสอนให้มีจินตนาการ ซึ่งจะนำไปสู่การคิดหรือถอดสมการแบบที่ไม่เคยมีคนคิดหรือทำมาก่อน

ผมพูดถึงจินตนาการในการศึกษาว่าจะทำเงินได้อย่างไร ก็พูดตามที่นักการศึกษาไทยชอบพูดเสมอ ประหนึ่งว่าคุณค่าของการศึกษาคือทำเงินหรือไม่ และมากน้อยเท่าไร และผมคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดทั้งหมดของการศึกษาไทย คือจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ของสิ่งอื่น ไม่ใช่ผู้เรียน

เมื่อเริ่มการศึกษามวลชน เราคิดจะใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างกลไกรัฐและข้าราษฎรที่ยอมอยู่ในบังคับควบคุมของรัฐ ต่อมาเมื่อเริ่มนโยบายพัฒนา ก็จะใช้การศึกษาสร้างเงิน ไม่ว่าสร้างให้แก่ชาติหรือแก่บุคคลผู้รับการศึกษา ผลก็คือในที่สุดก็มีเจ้าสัวจำนวนน้อยที่ทำกำไรล้นเหลือจากกำลังคนที่การศึกษาผลิตขึ้นมาป้อนกิจการของเขา แต่คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่พอกับมาตรฐานการครองชีพที่ขยับสูงขึ้น จึงไม่มีโอกาสพัฒนาตนเอง เพราะต้องมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหาเงินกันอย่างเคร่งเครียด

การศึกษาไทยจึงสร้างคนที่พร้อมจะรับคำสั่งอย่างเซื่องๆ จากรัฐหรือจากเจ้าสัว มีความสามารถทำตามคำสั่งได้เพราะผู้สั่งเองก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าอำนาจและเงิน ในสถานการณ์อย่างนี้จินตนาการไม่มีที่ของมัน และไม่ใช่ส่วนสำคัญในการศึกษา

เมื่อไรก็ตามที่การวางแผนการศึกษาใช้เงินเป็นตัวตั้ง คนก็ถูกลดระดับลงเหลืออะไรอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรในโรงงานบ้าง เป็นผู้เสียภาษีและเสียสละให้แก่รัฐบ้าง แต่ที่จริงแล้วคนเป็นลูก, เป็นแม่-พ่อ, เป็นพี่-น้อง, เป็นเพื่อน, เป็นคนรักและคนที่ได้รับความรัก, เป็นคนชอบร้องเพลง, เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ฯลฯ คือเป็นตัวเขานั่นแหละครับ และเป็นตัวเขาก่อนจะเป็นอย่างอื่น

และส่วนที่เป็นตัวเขานี่แหละที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากการศึกษาไทย

ตราบเท่าที่เราไม่วางเป้าหมายการศึกษาไว้ที่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เต็มที่ แต่ไปวางไว้ที่อะไรอื่นห่างไกลตัวผู้เรียน นอกจากการศึกษาไม่อาจบรรลุจุดประสงค์ที่ห่างไกลตัวผู้เรียนได้แล้ว การศึกษายังกลายเป็นเครื่องประดับมากกว่าความเปลี่ยนแปลง

ผมไม่กล้ายืนยันว่าจินตนาการจะทำให้ใครหรือประเทศใดรวยขึ้นมาได้ เพราะนั่นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ อีกมาก แต่ผมอาจยืนยันได้ว่า ด้วยความสามารถด้านจินตนาการ คนไทยจะมีชีวิตด้านจิตใจและปัญญาที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมมากขึ้น คนเช่นนี้อาจไม่รวยอู้ฟู่ แต่ไม่จนหรอกครับ

ปฏิรูปการศึกษาต้องเริ่มต้นที่เลิกใช้เงินเป็นตัวตั้งในการจัดการศึกษาเสียที



เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนสุดสัปดาห์ www.matichonweekly.com/column/article_164808[full-post]



Posted: 28 Jan 2019 08:59 AM PST
Submitted on Mon, 2019-01-28 23:59

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

ถ้าตัดเรื่องการเลือกตั้งที่มีความสำคัญมากต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดอนาคตบ้านเมืองออกไป เหตุเพราะมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งประกาศออกมาแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 แล้ว ปัญหาเร่งด่วนอันดับแรกคือปัญหาเรื่องมลภาวะในอากาศที่เผชิญกับฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานอยู่ในขณะนี้

จนถึงวันนี้ค่าฝุ่น PM 2.5 ยังพุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานกระจายไปทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่หยุด ขนาดเกิดวิกฤติถึงขั้นที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ถึง 2-3 เท่า และมีค่าเกินมาตรฐานต่อเนื่องตลอดเดือนมกราคม อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ยังไม่เสนอให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรา 9 ของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อประกาศให้กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตควบคุมมลพิษเพราะ “คำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศ”

คงกลัวความเสียหายเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวจนอาจส่งผลกระทบทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ตก

ขณะที่หลายหน่วยงานขององค์กรภาครัฐและเอกชนต้องปรับเวลาทำงานใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการออกมาเผชิญผลกระทบจากภาวะมลพิษในอากาศช่วงเช้ากันแล้ว และมีลูกจ้างจำนวนไม่น้อยต้องลาป่วยไม่สามารถออกไปทำงานได้จากโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ แต่อธิบดี คพ. ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะยังไม่ประกาศให้กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตควบคุมมลพิษเพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ

นี่แหละสมองของระบบราชการในองคาพยพรัฐเผด็จการ ที่หน่วยงานหนึ่งคือ คพ. ไม่กล้าใช้มาตรการเด็ดขาดเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรา 9 เพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ให้เห็นผลมากกว่านี้ เช่น การประกาศใช้มาตรการปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 ให้ใกล้เคียงกับของ WHO ที่ตั้งค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 ค่าเฉลี่ย 1 ปีไว้ที่ 10 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ขณะที่ค่าเฉลี่ย 1 ปีของไทยอยู่ที่ 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไว้ที่ 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ขณะที่ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของไทยอยู่ที่ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) เป็นต้น อีกหน่วยงานหนึ่งคือกระทรวงอุตสาหกรรมยิ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงหนักข้อขึ้นไปอีกด้วยการออกมาให้ข่าวว่าจากการตรวจโรงงานพื้นที่เสี่ยงกว่า 470 แห่ง ไม่พบฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่จำนวน 59 โรงงาน 142 ปล่อง พบว่ามีปริมาณฝุ่นค่าเฉลี่ยที่ 0.8 – 50 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐานฝุ่นจากปล่องระบายของโรงงานทั่วไป คือ 240 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก็ในเมื่อมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากปลายปล่องระบายของโรงงานทั่วไปตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่ได้กำหนดให้วัดค่าฝุ่น PM 2.5 เสียหน่อย มันจะไปตรวจพบฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างไรเล่า

ประชาชนอย่างเราจึงได้เห็นวิธีแก้ปัญหาแบบการใช้อำนาจที่โง่เขลา คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องกำลังชั่งใจดูว่าจะเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรา 9 ดีไหม ขณะที่อีกคนมีตำแหน่งใหญ่กว่าบอกว่าอย่านะอย่าใช้มาตรา 9 เด็ดขาด ขอเลี้ยงข้าวเหนียวมะม่วงนักท่องเที่ยวจีนก่อน เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เคยพลั้งปากกล่าวหานักท่องเที่ยวจีนว่าฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามกฎระเบียบจนเป็นต้นเหตุทำให้นักท่องเที่ยวชาติเดียวกันเสียชีวิต 41 ราย จากเหตุเรือล่มใกล้กับเกาะภูเก็ตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 และถือโอกาสกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยไม่สนใจว่ากรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเมืองที่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจและเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนหรือเปล่า

ก็เลยหมดเงินไปประมาณ 7.5 ล้านบาท ถ้าเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 ให้ประชาชนจะได้ไม่ต่ำกว่า 250,000 ชิ้นทีเดียว

นี่แหละวิสัยทัศน์ของรัฐบาลผู้เขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฎิรูปประเทศด้านต่างๆ

ในประเทศจีนมีกรณีแบบเดียวกันกับไทย แต่รุนแรงกว่ามาก ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมามีการปกปิดและบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 มาหลายปี จากการที่สถานทูตอเมริกาในกรุงปักกิ่งติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศบนหลังคาสถานทูต และแจ้งข่าวผ่านทวิตเตอร์ให้กับพนักงานในสถานทูตว่าวันไหนอากาศแย่ก็ไม่ควรอยู่นอกอาคาร จนทำให้พลเมืองตื่นตัวในจีนรับรู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ มีข้อหนึ่งที่ติดใจชาวจีนตรงที่ข่าวของรัฐบาลจีนมักบอกว่าอเมริกาและจีนมีมาตรฐานในเรื่องการวัดมลภาวะไม่เหมือนกัน มาตรฐานของอเมริกาอาจจะสูงไปก็ได้ ในขณะที่สถานทูตอเมริกาบอกว่าสภาพอากาศจากฝุ่น PM 2.5 สูงและอันตรายมากสำหรับมาตรฐานของอเมริกา แต่รัฐบาลจีนบอกว่าสภาพมลภาวะของจีนอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยดี จนทำให้ชาวจีนถามว่า “คนอเมริกันมีคุณภาพของความเป็นคนมากกว่าคนจีนหรือ”

เรื่องนี้ไม่ต่างจากไทยตรงที่ปัจจุบันบ้านเรากำหนดมาตรฐานการปล่อยฝุ่น PM 2.5 สูงเกินกว่ามาตรฐานของ WHO

คนไทยจึงไม่แพ้ชาติใดในโลก ตรงที่ร่างกายและจิตใจแกร่งกว่าคนประเทศอื่นเพราะได้สิทธิพิเศษในการรับมลพิษทางอากาศสูงกว่าคนประเทศอื่น จึงทำให้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ถูกลดทอนลงจากความสามารถในการรับมลพิษทางอากาศสูงกว่าคนประเทศอื่น

ในเรื่องของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corrodor (EEC) ก็เช่นกัน โจทย์ที่ควรตั้งก็คือ นับตั้งแต่การพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 เรื่อยมา ศักยภาพของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกต้องเผชิญกับสภาวะแบกรับมลภาวะเกินขีดจำกัดมากเกินควรแล้ว ซึ่งมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องทำการประเมินส่ิงแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ทั่วทั้งพื้นที่ภาคตะวันออกได้แล้วว่าถ้าจะต้องเพิ่มการพัฒนาอุตสาหกรรมบนพื้นที่นี้ต่อไปภายใต้นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC จะเป็นการเพ่ิมขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกหรือไม่ อย่างไร ดังจะเห็นได้จากบทเรียนสำคัญที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2552 กรณีศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชุมชนในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอบ้านฉางและใกล้เคียง จังหวัดระยอง โดยให้ระงับโครงการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมไว้เป็นการชั่วคราว 76 โครงการ มูลค่า 400,000 ล้านบาท จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นนั้น เป็นกรณีศึกษาได้ดีที่การพิจารณาคดีด้านสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญหรือตระหนักถึงในประเด็นของ “ขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะ”

ในประเด็นเรื่องขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ที่จะเพิ่มสูงเกินค่ามาตรฐานยิ่งขึ้นไปอีกจากนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC นั่นคือการแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชน

สิ่งแรกที่คณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารการพัฒนา EEC จะต้องทำก็คือจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินในภาพรวม ซึ่งจะบรรลุเจตนารมณ์ให้เกิดรูปธรรมในการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้นั้น กฎหมาย EEC หรือพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 จึงบัญญัติให้สามารถเวนคืนที่ดินส่วนบุคคล ยึดที่ดินราชพัสดุและ ส.ป.ก. ได้โดยให้อำนาจทั้งปวงที่เคยเป็นของกรมธนารักษ์ในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุและคณะกรรมการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในการบริหารจัดการที่ดิน ส.ป.ก. ในพื้นที่ EEC ตกเป็นอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการนโยบาย EEC แทน เพื่อที่จะให้มีความเด็ดขาดในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนเป็นหลักด้วยการ

(1) กำหนดสิทธิประโยชน์ให้มากที่สุดแก่ผู้ลงทุน เช่น การยกเว้นภาษีต่างๆ

(2) ให้ผู้ลงทุนเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีตามที่เคยปรากฎเป็นข่าวได้

(3) ยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองและยกเลิกผังเมืองรวมอย่างน้อยสามจังหวัดที่ไม่สอดคล้องกับแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง และจังหวัดอื่นท่ี่อยู่ใกล้เคียง

(4) ให้มีคณะกรรมการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (คชก.) เพื่อพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EIA/EHIA แล้วแต่กรณีของโครงการหรือกิจการในพื้นที่ EEC เป็นการเฉพาะ โดยว่าจ้างจากผู้ชำนาญการต่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติไทยก็ได้ และให้มีค่าตอบแทนพิเศษแก่ คชก. เฉพาะพื้นที่ EEC ด้วย

(5) ห้ามนำบทบัญญัติว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตและคุณสมบัติของผู้ได้รับใบอนุญาตจัดทำรายงาน EIA/EHIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาใช้บังคับแก่บริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงาน EIA/EHIA ที่ไม่มีสัญชาติไทย

(6) จากข้อ (4) และ (5) มีความเป็นไปได้สูงที่ “การจัดทำ” และ “การพิจารณา” รายงาน EIA/EHIA อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือมีลักษณะชงเองกินเอง เพราะแยกบทบาทหน้าที่ไม่ชัดระหว่างบริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงานกับ คชก. ที่พิจารณารายงาน เนื่องจากกฎหมายเปิดช่องโหว่ไว้จนอาจทำให้หลายโครงการในพื้นที่ EEC สามารถมี คชก. และบุคคลากรในบริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงาน EIA/EHIA เป็นคนคนเดียวกันได้

(7) เร่งรัดให้การพิจารณา EIA/EHIA สำหรับโครงการหรือกิจการในพื้นที่่ EEC แล้วเสร็จให้ได้ภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน เพื่อเอาใจนักลงทุน ซึ่งถ้าเป็นโครงการปรกตินอกพื้นที่ EEC อาจจะใช้เวลาในการพิจารณา EIA/EHIA เป็นปีหรือไม่มีกำหนดก็ได้

(8) นำที่ดินส่วนบุคคลที่ได้มาจากเวนคืน ที่ราชพัสดุและ ส.ป.ก. ที่ยึดมาไปให้เอกชนสัมปทานได้

นี่คืออำนาจเด็ดขาดของสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย, คณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารการพัฒนา EEC ที่ คสช. เขียนกฎหมายแบบให้อำนาจล้นเกินเหตุ เช่นเรื่องการยึดที่ดิน ส.ป.ก. ที่กฎหมาย EEC มีผลไปล้มล้าง “หัวใจ” หรือ “หลักการสำคัญ” ของกฎหมาย ส.ป.ก. (พระราชบัญญัติการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518) ซึ่งทั้งสองเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติมีศักดิ์ในระดับเดียวกัน

หัวใจหรือหลักการสำคัญของกฎหมาย ส.ป.ก. ก็คือการคุ้มครองการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแก่เกษตรกรรายย่อยและคนยากคนจนทั้งหลาย และไม่สามารถนำที่ดิน ส.ป.ก. ไปใช้ประโยชน์อื่นที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรมได้ แม้แต่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. เองเมื่อต้องการเพิกถอนสภาพเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) ก็ยังต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ในกฎหมาย EEC คสช. กลับเขียนให้คณะกรรมการนโยบาย EEC มีอำนาจเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อนำไปประกอบกิจการอื่นใดนอกเหนือจากการเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) แต่อย่างใดได้เลย

ในเมื่อหัวใจหรือหลักการสำคัญนี้สูญหายไปแล้วโดยกฎหมาย EEC ก็เสมือนว่ากฎหมาย ส.ป.ก. มีสถานะว่างเปล่าในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายฉบับหนึ่งไปหักล้างหลักการสำคัญของกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่มีศักดิ์เท่าเทียมกันเกินกว่าเหตุ จากข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561[ ] ได้สรุปผลการดำเนินงานจัดที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัดของ EEC ไว้ดังนี้ (1) จังหวัดฉะเชิงเทรา 448,074 ไร่ (2) จังหวัดชลบุรี 622,748 ไร่ และ (3) จังหวัดระยอง 80,068 ไร่ รวมทั้งหมด 1,150,890 ไร่ เป็นทั้งหมดของที่ดิน ส.ป.ก. ที่คณะกรรมการนโยบาย EEC สามารถหยิบเอาตรงบริเวณใดและขนาดใดก็ได้ที่สอดคล้องกับแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินในภาพรวมตามแผนพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC มอบเป็นสัมปทานแก่เอกชนเพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้เลยโดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) ให้ยุ่งยากแต่อย่างใด

นี่คือทั้งหมดของเรื่องราวการแย่งยึดที่ดินแปลงใหญ่ที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. เขียนกฎหมายเหยียบหัวประชาชน และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มีพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ในการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ให้กระจายไปอย่างกว้างขวางและมากขึ้นกว่าเดิม.

[full-post]


Posted: 28 Jan 2019 09:32 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 00:32


เลขาธิการ สปสช.รับยื่นข้อเสนอแกนนำ “เครือข่ายป้องกันตั้งท้องในวัยรุ่น” ดูแลเยาวชนเข้าถึงถุงยางอนามัย/ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ลดปัญหาท้องไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ระบุ สปสช.มีนโยบายสนับสนุนภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประสาน รพ./รพ.สต.รับฟังปัญหาติดขัดบริการ พร้อมเสนอตัวแทนเยาวชนร่วมนำข้อเสนอในเวทีรับฟังความเห็นบัตรทอง แก้ปัญหาระยะยาว

28 ม.ค.2562 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รับข้อเสนอจากแกนนำเยาวชนเครือข่ายการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นทั่วประเทศกว่าร้อยคน เพื่อนำเสนอข้อเสนอขอให้ สปสช.ในฐานะหน่วยงานบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดบริการถุงยางอนามัย และยาคุมฉุกเฉินให้เยาวชนเข้าถึงได้สะดวก โดยมี นพ.รัฐพล เตรียมวิชานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. พร้อมด้วย ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิ สปสช.ร่วมรับฟัง

กิตติธัช ลักษมีวิภาส ประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดพิษณุโลก ในฐานะตัวแทนเยาวชนฯ กล่าวว่า จากข้อมูลกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่คลอดบุตรเฉลี่ยวันละกว่า 100 ราย โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 10รายต่อวัน ที่กลายเป็นคุณแม่วัยใส นอกนั้นยังมีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 กำหนดให้วัยรุ่นมีสิทธิได้รับบริการ แต่ในสิทธิประโยชน์ภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ช่วงกลุ่มเด็กโตและวัยรุ่นได้ระบุให้เด็กและเยาวชนจะได้รับบริการถุงยางอนามัย/ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน และคำแนะนำการใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และตั้งครรภ์ แต่ความเป็นจริงหน่วยบริการจำนวนมากไม่ได้ให้บริการดังกล่าว

“ในวันนี้จึงเรียกร้องเปิดช่องทางให้วัยรุนไทยเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมฉุกเฉินได้สะดวก โดยขอให้ สปสช.พิจารณาแนวทางทางดำเนินงาน ให้หน่วยบริการจัดถุงยางและยาคุมฉุกเฉินให้บริการฟรีแก่เยาวชน และขอให้เพิ่มช่องทางในการกระจายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าถึงง่าย อาทิ ร้านขายยา ศูนย์เยาวชน หอพักเด็ก สถานศึกษา เป็นต้น เช่นเดียวกับที่หลายประเด็นดำเนินการแล้ว ซึ่งจากรายงานประเทศไทยมีวัยรุ่นตั้งครรภ์สูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแล้ว” กิตติธัช กล่าว

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ชื่นชมกลุ่มเยาวชนที่สนใจปัญหาประเทศและมีข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีนโยบายชัดเจนและการสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น รวมถึงถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในกลุ่มวัยรุ่น เพียงแต่การเข้าถึงอาจยังมีปัญหาอยู่บ้าง และเท่าที่รับฟังข้อเสนอตัวแทนเยาวชนวันนี้ ในส่วนการเข้าถึงถุงยางอนามัยที่หน่วยบริการ สปสช.จะเร่งประสานไปยังโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อรับฟังปัญหาติดขัดในการบริการเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ส่วนระยะยาวเพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการที่จำเป็นของกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น ในทุกปี สปสช.มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นที่นำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่นเป็นหนึ่งกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นในปีนี้ขอให้มีตัวแทนกลุ่มเยาวชนฯ เพื่อเสนอสิทธิประโยชน์สุขภาพในกลุ่มเยาวชน (Adolescent health) ที่นำไปสู่การดำเนินการในระยะยาว

นอกจากนี้เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงในการเข้าถึงบริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปัจจุบันเรามีศูนย์หลักประกันสุขภาพประชาชนและศูนย์องค์รวม ซึ่งอาจใช้ช่องทางนี้โดยให้มีตัวแทนเยาวชนและวัยรุ่นร่วมประสานงานในส่วนนี้ เพื่อให้เกิดการดูแลและเข้าถึงบริการให้กับกลุ่มเยาวชนได้ อาจทำเป็นโครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุน อย่างไรก็ตามการดำเนินการเหล่านี้ต้องควบคู่กับการสร้างความรู้ความเข้าใจในเพศวิถีให้กับเยาวชน โดยอาจใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเพื่อให้เยาวชนเกิดความตระหนักและเข้าใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครือข่ายระดับประเทศได้

“ขอเสนอของกลุ่มเยาวชนในวันนี้ สปสช.ได้ให้ความสำคัญ แต่ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่กำหนดให้กองทุนฯ สนับสนุนการจัดบริการเฉพาะที่หน่วยบริการ ดังนั้นข้อเสนอการบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนอกหน่วยบริการ อาทิ สถาบันการศึกษา ร้านยา ศูนย์เยาวชน เป็นต้น อาจต้องมีการดำเนินการในภาพรวมร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินมาตรการต่างๆ ที่ต้องทำควบคู่เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการดูแลสุขภาพเยาวชน” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ข่าว
สังคม
คุณภาพชีวิต
คุณแม่วัยใส
ถุงยางอนามัย
เครือข่ายป้องกันตั้งท้องในวัยรุ่น
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ท้องไม่พร้อม
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
สปสช.

[full-post]

ภาพจากผู้ใช้ทวิตเตอร์ @aorwiki

Posted: 28 Jan 2019 10:09 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 01:09


บริเวณด้านหน้ากระทรวง​เกษตร​และสหกรณ์ กลุ่มชาวบ้านจากเครือข่ายปกป้อง ดิน น้ำ ป่า จ.นครศรีธรรมราช-พัทลุงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของกรมชลประทาน ปักหลักชุมนุมนอนค้างเป็นวันที่ 4 แล้วนับตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.2562 เพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการทั้งสิ้น 4 โครงการคือ 1.เขื่อนวังหีบ 2.อ่างเก็บน้ำคลอง​สังข์ 3.​โครงการผันน้ำบรรเทาอุทกภัย จังหวัด​นครศรี​ธรรมราช​และ​ 4.โครงการประตูกั้นน้ำปากประ จังหวัดพัทลุง

เว็บไซต์สยามรัฐ รายงานสถานการณ์ในวันนี้ (28 ม.ค.) ว่านายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ร่วมเจรจากับเครือข่ายชาวบ้าน ภายหลังการเจรจาอธิบดีกรมชลประทานระบุว่า แกนนำและชาวบ้านยังยืนยันให้ยกเลิกโครงการทั้งหมดดังกล่าว แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่โดยตั้งคณะทำงานร่วมกันในทุกโครงการ แต่ทางกรมยืนยันว่าหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนกฏหมายทุกประการ เปิดเวทีประชาพิจารณ์ในพื้นที่ทุกโครงการรวมแล้วกว่า55 ครั้ง ไม่ได้เป็นการเพิ่งมาคิดทำและเร่งรัดเสนอ ครม.อย่างที่มีการกล่าวหา อย่างไรก็ดี กรมชลประทานพร้อมทบทวนในรายละเอียดของแต่ละโครงการที่เห็นไม่ตรงกัน เพื่อเป็นการทำงานคู่ขนานกันไปกับการเดินหน้าโครงการที่ครม. อนุมัติไปแล้ว เช่น การขุดคลองสามารถปรับรูปแบบขนาดคลองเพื่อลดผลกระทบได้ หรือปรับตำแหน่งการสร้างของเขื่อนได้

“แต่จากผลการประชุมวันนี้ทางแกนนำยังไม่พอใจ โดยยังยื่นคำขาดให้ยกเลิกทุกโครงการ อย่างไรก็ตามในที่ประชุมยังมีเรื่องที่เห็นตรงกันคือ กรณีประตูน้ำกั้นน้ำปากประ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.พัทลุง ที่นายสมใจ ละคำ ผู้ใหญบ้านได้ยื่นถวายฎีกาเพื่อขอให้แก้ปํญหาน้ำเค็มรุกพื้นที่เกษตร ในการหารือวันนี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าในรอบ 50 ปีเกิด 1 ครั้งและไม่ต้องการโครงการนี้ จึงจะประสานให้นายสมใจทำหนังสือเพื่อขอถอนฏีกา ผู้ยื่นฎีกาก็ยินดีไปถอนเรื่อง”อธิบดีกรมชลประทานกล่าว

ส่วนกรณีโครงการเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เป็นโครงการที่เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 ครม.เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการแล้ว อธิบดีกรมชลประทานระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกแบบแต่อย่างใด กรมฯ เพียงต้องเข้าไปสำรวจพื้นที่เพื่อสำรวจออกแบบการก่อสร้าง และพร้อมที่จะหารือร่วมกันและนำความเห็นของชาวบ้านมาปรับขยับแนวก่อสร้างเขื่อนได้

สำหรับโครงการคลองผันน้ำเมืองนครศรีธรรมราช ครม.อนุมัติกรอบงบประมาณ 9,560 ล้านบาท (ปี61-63)อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องขุดขยายคลองเพื่อลดอุทกภัยตัวเมืองนครฯ เนื่องจากคลองเดิมมีปัญหาบุกรุกทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ โดยศักยภาพคลองเดิมระบายน้ำได้ 200 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ปัจจุบันปริมาณน้ำไหลเข้าเมืองเฉลี่ย700 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ตัวเมืองประสบอุทกภัยบ่อยขึ้น ในเรื่องนี้แม้ว่าจะดำเนินการโครงการไปแล้ว แต่ในบางรายละเอียดพร้อมคุยทุกฝ่าย เพื่อหาจุดที่ทุกคนรับได้เช่นหากเห็นว่าคลองกว้างไป จะปรับขุดแนวลึกแทน

สำหรับโครงการเขื่อนคลองสังข์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นเขื่อนขนาดกลาง งบไม่ถึง 1 พันล้านบาท ไม่ต้องเข้า ครม. ดำเนินการโดยกรมชลประทาน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นฝาย ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงต้องขยายโครงการให้รับน้ำได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อปี 2554 นายฉลอง เทพจินดา ถวายฏีกาขอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทุกโครงการแม้ว่าเปิดโครงการแล้วก็สามารถมาเจรจาปรับโครงการได้ กรมชลฯพร้อมรับข้อเสนอจากชาวบ้าน
'พีมูฟ' แถลงหนุนเครือข่าย จี้ให้รัฐบาลทหารยุติโครงการ

ผู้จัดการออนไลน์ รายงานวันเดียวกันนี้ว่าขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า

ตามที่เครือข่ายปกป้องดิน น้ำ ป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุง ได้ชุมนุมหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการสร้างเขื่อนและคลองผันน้ำนั้น ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) อันเกิดขึ้นจากการรวมตัวของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนา กฎหมาย และนโยบายของรัฐที่ผ่านมา อันประกอบด้วย เครือข่ายสลัมสี่ภาค, เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง, สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด, สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ขอแถลงท่าที และข้อเรียกร้องต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1.ขอสนับสนุนการชุมนุมและข้อเรียกร้องของเครือข่ายปกป้อง ดิน น้ำ ป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุง อันเป็นการใช้สิทธิของชุมชนในการปกป้องมาตุภูมิแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ ทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของคนทั้งประเทศ และอนาคตของลูกหลาน ให้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของคนในประเทศร่วมกันโดยเร็วที่สุด

2.ขอเรียกร้องต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ยุติโครงการทั้งหมด ตามข้อเสนอของเครือข่ายฯ อย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ การพัฒนาใดๆ จะต้องมาจากประชาชนเท่านั้น

3.ขอเรียกร้องต่อรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ยุติการดำเนินการใดๆ ที่ส่อว่าจะเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือสร้างความแตกแยกภายในชุมชน พร้อมต้องสร้างมาตรการคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ให้ได้รับการปกป้องตามเจตนารมณ์ และบทบัญญัติในกติกาสากล และรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา
เครือข่ายนักวิชาการออกแถลงการณ์หนุนชาวบ้าน

ล่าสุด เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ก็ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้องของเครือข่ายปกป้องดินน้ำป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุงเช่นกัน โดยระบุว่า

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนักวิชาการ นักวิจัย ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ของภาคใต้ ได้ติดตามยุทธศาสตร์ นโยบาย แผน และโครงการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เห็นว่าการดำเนินโครงการในข้างต้นเป็นไปอย่างรวบรัดและเร่งรีบ โดยใช้ฐานคิดในการจัดการทรัพยากรและการบริหารจัดการน้ำแบบเดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า คุณค่า และประโยชน์สูงสุดที่มีต่อประชาชน รวมถึงการปฏิเสธทางเลือกใหม่ ๆ ที่เป็นไปได้ในการบริหารและจัดการทรัพยากรน้ำที่มุ่งตอบความต้องการของประชาชน มีความมั่นคงทางสังคม สร้างความยั่งยืนทางนิเวศ นอกจากนี้การดำเนินโครงการยังได้กีดกันประชาชนออกจาก “กระบวนการตัดสินใจ” โดยการแอบอ้าง บิดเบือนข้อมูล ทำให้ประชาชนเกิดความไขว้เขวสับสนมาโดยตลอด

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ จึงขอสนับสนุนจุดยืนและข้อเรียกร้องเครือข่ายปกป้องดินน้ำป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุง และมีข้อเรียกร้องดังนี้
ให้ “ยุติการดำเนินโครงการ” ประตูกั้นน้ำคลองปากประ จ.พัทลุง โครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว จังหวัดพัทลุง โครงการเขื่อนคลองสังข์ อ.ทุ่งใหญ่ โครงการเขื่อนวังหีบ อ.ทุ่งสง และโครงการคลองผันน้ำเมืองนคร จ.นครศรีธรรมราช และให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้ประชาชนได้รับทราบ ได้แสดงความคิดเห็นและสามารถเสนอทางเลือกอันหลากหลายในการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรเชิงระบบ ที่ตั้งอยู่บนฐานความยั่งยืนทางนิเวศ ภูมิปัญญา ภูมินิเวศ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรในระยะยาว
ให้ “ทบทวนการดำเนินโยบายและโครงการพัฒนาในภาคใต้” ที่อาจก่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ละเมิดสิทธิมนุษยชน ความสุขและความมั่นคงของชุมชน และให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง
ข่าว
สังคม
สิทธิมนุษยชน
คุณภาพชีวิต
สิ่งแวดล้อม
เครือข่ายปกป้องดินน้ำป่า นครศรีธรรมราช-พัทลุง
แถลงการณ์
การชุมนุม


Posted: 28 Jan 2019 10:39 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-01-29 01:39


นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุว่าจะเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็น ต่ออัยการสูงสุดในวันที่ 30 ม.ค.2562 เวลา 11.00 น. กรณีนายวุฒิ บุญเลิศ ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจากการแชร์ข้อความให้มีการตรวจสอบไร่ชัยราชพฤกษ์

ทั้งนี้นายวุฒิ บุญเลิศ ปราชญ์ชาวบ้านที่ทำงานสิทธิมนุษยชนเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เนื่องจากถูกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร แจ้งความร้องทุกข์และต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.6264/2561 ทางมูลนิธิฯ ได้สอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าคดีที่นายวุฒิ บุญเลิศ ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจากการแชร์ข้อความว่า

“ไร่ชัยราชพฤกษ์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่ถือครองตามคติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 รวม 100 ไร่ การตรวจสอบร้องเรียนโดยกรมป่าไม้ตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2559 อธิบดีกรมป่าไม้ (นายชลธิศ สุรัสวดี) ได้มีหนังสือรายงานการ ไร่ชัยราชพฤกษ์ มีเนื้อที่ 100 ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ…และอยู่ในพื้นที่สำรวจการถือครองตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 มีนายไพโรจน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นผู้ถือครองเนื้อที่ประมาณ 73 ไร่ ซึ่งกรมป่าไม้ต้องทวงคืนพื้นที่ แต่อธิบดีกรมป่าไม้กลับเพิกเฉยไม่สั่งการใดๆ…”

ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของนายวุฒิ บุญเลิศ เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องปัญหาการครอบครอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ทั้งเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ จึงย่อมไม่เป็นความผิดตามที่ถูกฟ้องดำเนินคดี

ด้วยเหตุนี้ประธานมูลนิธิฯ จึงจะเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาทบทวนการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการที่มีความเห็นสั่งฟ้องและฟ้องคดีดังกล่าว เพื่อดำเนินการให้พนักงานอัยการถอนฟ้องนายวุฒิ บุญเลิศ ต่อไป

มูลนิธิฯ ระบุอีกว่า การดำเนินคดีกับนายวุฒิ บุญเลิศ นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแล้วยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่นายวุฒิซึ่งทำงานในเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้รับรางวัลองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2559 และการฟ้องคดีดังกล่าวเข้าข่ายเป็นลักษณะการใช้กฎหมายดำเนินคดีเพื่อสร้างความยุ่งยากให้แก่นักกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือนักสิทธิมนุษยชน ที่เรียกว่าคดีปิดปาก หรือ Strategic Lawsuit Against Public Participation (SLAAP) ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมที่รัฐยึดถือจนกระทั่งมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

สำหรับความคืบหน้าของคดีความนั้น ในวันนี้ (28 ม.ค.2562) ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีออกนั่งพิจารณานัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยาน โดยทนายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอบังคับจำเลยทั้งสอง(นายสมัคร ดอนนาปี และนายวุฒิ บุญเลิศ) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม (นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร) เป็นเงินจำนวน 2,000,000 บาท ด้านจำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลประสงค์จะทำคำให้การต่อสู้คดีในส่วนแพ่งเป็นหนังสือภายในกำหนดระยะเวลา 30 วัน และขอเวลานำพยานหลักฐานต่าง ๆ มายื่นศาลให้ครบถ้วนก่อน ด้วยเหตุนี้ศาลจึงมีคำสั่งเลื่อนนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานอีกครั้งในวันที่ 4 มี.ค.2562 เวลา 13.30 น.



รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านที่นี่
ข่าว
สังคม
สิทธิมนุษยชน
คดี SLAPP
การฟ้องปิดปาก
วุฒิ บุญเลิศ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ไร่ชัยราชพฤกษ์
ขับเคลื่อนโดย Blogger.