Posted: 24 Jan 2019 09:19 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Fri, 2019-01-25 12:19


ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล

หมายเหตุผู้เขียน: เรื่องราวที่เขียนนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะที่เป็น “ผู้หนีภัย” ชุดแรกๆ ภายหลังการยึดอำนาจ ในปี 2557 ที่ได้หลบหนีออกจากประเทศบ้านเกิดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ติดกัน โดยเรื่องเล่าอาจมีทัศนคติความเห็นบางส่วนที่เป็นแง่บวกบ้าง ลบบ้าง ตามประสาปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีสถานะทางการต่อสู้ใดๆร่วมกับคนเสื้อแดงและไม่ใช่นักกิจกรรมทางการเมือง เป็นแค่เพียงประชาชนคนหนึ่งที่โดนมรสุมทางการเมือง แล้วต้องเข้าไปอยู่ในคุก 3 ปี 3 เดือน 15 วัน ในข้อหา ม.112

“ภายหลังการยึดอำนาจของรัฐบาล คสช. ในเดือนพฤษภา 2557” ผม และพวกจำนวนหนึ่ง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในฝ่ายคนเสื้อแดง ได้ตัดสินใจกันว่า เราจะต้องหนีออกจากประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยในชีวิต เราทุกคนเวลานั้น ต่างมีเป้าหมายที่จะไปประเทศที่ 3 กันตั้งแต่เริ่มต้น เพียงแต่ การไปประเทศที่ 3 ของเรานั้น จำเป็นต้องไปประเทศที่ 2 ก่อน แล้วจึงค่อยคิดกันว่า จะไปสู่ประเทศที่ 3 กันต่อไปได้อย่างไร..

เมื่อก้าวพ้นประเทศบ้านเกิดของตัวเองมาได้ สู่ดินแดนแห่งใหม่ (ประเทศ 2.0) มันก็เหมือนเราได้ยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เพราะหลายสัปดาห์ ที่พวกเรา ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากความกลัว ที่จะถูกจับ ถูกตามล่า จนทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทันทีที่ข้ามพ้นดินแดนไทยมาได้ เราจึงหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น..

เวลานั้น ข่าวเรื่องการข้ามมาของเรา ก็กระจายไปในหมู่ของคนที่ตกอยู่ในชะตากรรมแบบเดียวกับเรา ดังนั้น การรวมตัวกันของผู้หนีตาย ในประเทศ 2.0 จึงเกิดขึ้น..


กลุ่มผม มีเพื่อนที่มาด้วยกัน จำนวนหนึ่ง และได้มาเจอกับพวกอีกจำนวนหนึ่ง (หนึ่งในนั้น คือ “ดีเจซุนโฮ”อิทธิพล สุขแป้น ที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว) เราตัดสินใจ เช่าที่พักอยู่ที่เดียวกัน และเริ่มปรึกษาหารือกัน ตั้งแต่ตอนนั้น โดยไม่มีความคิดใดๆ เลย ที่จะปักหลักกันอยู่ที่ประเทศ 2.0 แห่งนี้ เพราะเราต่างรู้ดีกันอยู่ เรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิต.. เพราะมันใกล้กันเกินไปจริงๆ
เวลานั้น สรุปกันได้ประมาณว่า จุดหมายปลายทางของพวกเรา แต่ละคนนั้น แตกต่างกันออกไป

“น้อง อั้ม เนโกะ” มีเป้าหมายที่จะไปฝรั่งเศส

ดีเจซุนโฮ เท่าที่รู้ มีแม่อยู่ญี่ปุ่น แต่มีเป้าหมายจะลีัภัยไปอเมริกา ซุนโฮ น่าจะมีความพร้อมมากกว่าใครๆ เพราะมีแม่ที่อยู่ต่างประเทศ และมีญาติที่อยู่อเมริกา เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ส่วนตัวผม เวลานั้น มองไว้ 2 ที่ คือแคนาดา หรือไม่ก็ออสเตรเลีย เพราะไม่กังวลเรื่องภาษาอังกฤษ ที่พอมีความรู้พอเอาตัวรอดได้บ้าง

พวกส่วนที่เหลือ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ “ไม่กล้าคิด” ที่จะลี้ภัยไปไหน แค่หลุดพ้นจากประเทศไทยแค่นั้น เขาก็ยินดีมากๆ แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธ หากพวกเขาได้รับการสนับสนุน ให้ไปประเทศที่ 3 ได้ เขาก็พร้อมจะไปกับเราเช่นกัน เรียกได้ว่าไปไหนไปกัน..
ชีวิตในแต่ละวันของพวกเราเวลานั้น ส่วนใหญ่ จะหมดไปกับการเดินเข้าออก ร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อติดต่อ กับครอบครัว เพื่อนฝูง และผู้ใหญ่ ที่อาจจะช่วยอำนวยความสะดวก ให้พวกเรา ได้ไปสู่ประเทศที่ 3 ได้อย่างรวดเร็ว โดยเราจะไปไหนด้วยกันเป็นกลุ่ม ก่อนนอน ก็จะมานั่งปรึกษาหารือกัน เกี่ยวกับความคืบหน้า ของแต่ละคน ในแต่ละวัน..

ในจำนวนพวกเราทั้งหมด “น้องอั้ม” ที่มีเป้าหมายจะไปฝรั่งเศสนั้น มีทีท่าว่า จะมีโอกาสได้ไปก่อนใครเพื่อน..
“น้องอั้ม” เล่าให้ฟังว่า ได้ติดต่อประสานงานกับคนทางประเทศเพื่อนบ้านอีกแห่ง (ประเทศ 2.1) และ “น้องอั้ม” ก็ได้รับไฟเขียวให้ไปที่นั่นก่อนใคร เมื่อ “น้องอั้ม” ได้รับการยืนยัน ให้เดินทางเข้าไปยังประเทศ 2.1 ทุกคนต่างดีใจ เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น เป็นไปอย่างที่เราได้คิดกันไว้ เราทุกคนต่างก็ยินดีกับ “น้องอั้ม” และเฝ้ารอความสำเร็จของนาง ที่จะได้เดินทางไปยังประเทศที่ 3 เป็นคนแรก..

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องการลี้ภัย ว่าถ้าเราจะทำเรื่องขอลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ได้นั้น เราจะต้องไปประเทศ 2.1 ก่อน เพราะประเทศนี้ มี “สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ - UNHCR” ตั้งอยู่ และหลายคนก็ใช้วิธีนี้ จริงๆ แล้วเราพยายามหาช่องทางอื่นหลายทาง แต่สุดท้าย มันก็ต้องจบลงตรงนี้..

สรุปว่า การจะไปประเทศที่ 3 ของพวกเรา ช่องทางเดียวที่จะไปได้ นั่นก็คือ ไปทำเรื่องขอลี้ภัย กับ UNHCR ที่ประเทศ 2.1 เท่านั้น !!

ภายหลังที่ “น้องอั้ม” ได้เดินทางไปถึงประเทศ 2.1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเรา ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตา รอความหวังต่อไป แต่เพราะการรอคอยเรื่องดังกล่าว มันจำเป็นต้องใช้เวลา และเรามีภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการพักอาศัย เพราะเราเช่าโรงแรมอยู่เป็นรายวัน เงินทองก็เริ่มร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงตัดสินใจ รวบรวมเงินกัน เพื่อหาบ้านเช่าสักหลัง อาศัยอยู่ในช่วงที่รอคอย..

และเราก็ได้บ้านพักหลังแรก บ้านหลังนี้ อยู่ได้เป็นสิบๆ คน เราประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปมาก และพอเราได้บ้านหลังนี้แล้ว ก็เริ่มมีคนทยอยเพิ่มเข้ามาอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “น้องนักศึกษาที่แสดงละคร”, น้อง “นักศึกษา ม. อีสานแห่งหนึ่ง” ที่มาร่วมชายคาเดียวกับเราเพื่อเป็นที่พักพิง ในระหว่างการรอคอยแบบเดียวกับเราเช่นกัน..

หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเรื่อง คน 3 คน “น้องอั้ม”, อาจารย์ผมขาวคนนั้น และอาจารย์ จ. อดีต กรรมการสิทธิ ได้สถานะ การลี้ภัยไปฝรั่งเศส ข่าวนี้ ทำให้พวกเรารู้สึกดีใจกันมาก เพราะมันใช้เวลารอนานหลายเดือนเหลือเกิน เกือบจะหมดความหวังกันแล้วเวลานั้น..

พอมีข่าวนี้มา คนที่ขยับรายแรกๆ คือกลุ่มของ ซุนโฮ, ตีดโต้ และน้องนักแสดงละคร ที่ได้ทุ่มเทเวลา ไปกับการยื่นเอกสารต่างๆ ในช่องทางที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นไปได้..

แต่ “ตีโต้” เป็นคนตัดสินใจคนแรก ที่จะเดินทางออกจากประเทศที่ 2 มุ่งไปยังประเทศที่ 3 แต่สุดท้าย ก็ไปไม่รอด เพราะ “ตีโต้” ซื้อตัวเครื่องบินเที่ยวไป เที่ยวเดียว และถูกไล่กลับในขณะต่อเครื่องบินในประเทศที่ 2.2 (ขณะเตรียมรอขึ้นเครื่องบินไปประเทศที่ 3) สุดท้าย ก็ต้องเดินทางกลับมายังประเทศที่ 2.0 เพราะหมดค่าใช้จ่ายไปมากมาย.. (เรื่อง ตีโต้. ผมได้แต่เป็นผู้ประสานงานบางส่วน เรื่องราวของเขาอาจผิดพลาดบ้าง แต่ก็ไม่หนีไปจากนี้มากเท่าไหร่ หากผิดพลาดต้องขออภัย)

รายต่อมา คือซุนโฮ ที่ภายหลังได้ยุติบทบาทนักจัดรายการวิทยุใต้ดินแล้ว ก็หันมาใช้ชีวิตตามแนวทางที่ผมเดินก่อนหน้าเขา คือการเป็นพ่อค้า ทำมาค้าขายอย่างสุจริต ผมเองเวลานั้น ดีใจมาก เพราะเรามีโอกาสกลับมาคุยกันเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความปรารถนาดีให้กัน ในสถานะใหม่ ที่เป็นพ่อค้า นักธุรกิจน้อยๆ เหมือนกัน และเวลานั้น ซุนโฮ เลือกทำธุรกิจ เป็นพ่อค้าขายปลาร้ากระปุก ซึ่งเขาทำสินค้าเอง บรรจุกล่องเอง และวิ่งขายเอง ตามหมู่บ้าน ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ..

ซุนโฮเคยได้มีโอกาส เดินทางไปยังประเทศ 2.1 เพื่อทำเรื่องขอลี้ภัย (เขามีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่ง ที่น่าจะไฟเขียวให้เขา สามารถเดินทางไปยังที่นั่นได้อย่างสะดวก) แต่สุดท้าย ไม่ทราบสาเหตุ อยู่ดีๆ ซุนโฮ ก็จึงกลับมายังประเทศ 2.0 อีกครั้ง (น่าจะเป็นเพราะการรอสถานะผู้ลี้ภัย ในประเทศ 2.1 ต้องใช้เวลานาน เขาจึงตัดสินใจกลับมาก่อน เพื่อเรื่องดำเนินการผ่านแล้ว เขาค่อยกลับไปอีกครั้ง อันนี้ผมคิดเองนะ)

แต่ใครจะไปรู้ว่า การกลับมาของซุนโฮ ในครั้งนี้ จะเป็นการกลับมา แล้วไม่ได้กลับไปอีกเลย เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวซุนโฮถูกอุ้มหายตัวไป และเขา ก็ได้หายไป จากหน้าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเรา เป็นรายแรก..

หายไป.. โดยไม่ได้กลับมาอีกเลย !!

ข่าวการหายตัวไปของ ซุนโฮ ทำเอาเราหลายคน ขวัญหนีดีฝ่อ โดยเฉพาะพวกที่ยังเคลื่อนไหวใต้ดินอยู่ เวลานั้น เราที่เคยอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนในบ้านเดียวกันในบ้านหลังแรก ได้แยกย้ายกันไปอยู่คนละทิศละทาง เรียกสถานการณ์ตอนนั้นว่า “บ้านแตก”
อย่างที่เพื่อนๆ รู้กัน ผมเลือกที่จะยุติบทบาท การเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อลงหลักปักฐาน ทำมาหากิน และเพื่อให้ครอบครัวสบายใจ ส่วนพวกที่ยังคิดจะเคลื่อนไหว เราก็ไปบังคับอะไรพวกเขาไม่ได้
..
แต่เมื่อยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ สุดท้าย มันก็เดือดร้อนพวกเราส่วนใหญ่อยู่ดี เพราะผู้ใหญ่จะสั่งห้ามเราเคลื่อนไหวทุกครั้ง ที่มีข่าวการเดินทางเข้ามาของภาครัฐไทย มายังประเทศที่เราอยู่กัน..

ซึ่งเวลานั้นใครทำธุรกิจอะไรอยู่ มีหน้าร้าน หรือไม่มี ก็จะถูกผู้ใหญ่ สั่งให้ปิด และเก็บตัว เป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่ง ผู้ใหญ่คิดว่าปลอดภัยแล้ว จึงค่อยอนุญาตให้เรากลับมาเปิดทำการค้าใหม่อีกครั้ง..

เมื่อโดนสั่งปิดร้านบ่อยๆ ผม กับเพื่อนอีกคน (ที่มีภรรยามาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย และมีร้านเป็นของตัวเอง) จึงได้ตัดสินใจ ที่จะขอทำเรื่องลี้ภัย เพราะแบกรับสภาพธุรกิจ ที่จะต้องปิดๆ เปิดๆ อยู่บ่อยครั้งไม่ไหว..

และตอนนี้แหละ ที่ถึงคิวของผมเองบ้าง ผมได้ร้องขอไปยังผู้ใหญ่ เพื่อเข้าไปทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศ 2.1 แต่คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่มีที่พักเพียงพอ” และมีเงินช่วยเหลือในระหว่างรอทำเรื่องลี้ภัย เท่าๆ กับการอยู่ในประเทศ 2.0 ซึ่งน้อยมาก จนเราคิดว่า หากเราไปได้จริง ก็คงอยู่ไม่ได้อยู่ดี เพราะจะเอาอะไรที่ไหนกิน ใช้ในระหว่างรอเรื่องอนุมัติ..

การเดินทางจากประเทศที่เราอยู่ ไป 2.1 นั้น จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงหลายหมื่นบาท เพราะต้องจ้างรถ จ้างคนขับ จ้างคนคุ้มครอง และเสียค่าใช้จ่ายจิปาถะ และใช้เวลาในการเดินทางเป็นสิบชั่วโมง นี่เฉพาะการเดินทางไปยังด่าน ที่จะข้ามไป 2.1 ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะต้องใช้เดินทางต่อ ภายในประเทศ 2.1 ซึ่งยังต้องใช้อีกเท่าไหร่ไม่รู้ และเมื่อไปถึงแล้ว จะอยู่กันอย่างไร กับใคร จะมีใครรับผิดชอบพวกเรา ช่วยเหลือพวกเราไหม มันไม่มีความชัดเจนอะไรเลย !!

คือถ้าเส้นไม่ใหญ่จริงๆ อย่าคิด อย่าฝัน ที่จะได้ไปเลย !!

หลังจากที่ผม และเพื่อน ได้รับคำตอบ จากผู้ใหญ่ในประเทศ 2.1 ปฏิเสธเรื่องการรับรองที่พักให้พวกเราแล้ว ก็รู้สึกสิ้นหนทาง ที่จะดิ้นรนต่อไป เพราะที่เราพยายามกันอยู่ คือหนทางเดียว ที่จะช่วยให้เราไปสู่ประเทศที่ 3 ได้ ผมเองไม่เท่าไหร่ เพราะเวลานั้น พอจะมีแนวทางทำมาหากินอยู่บ้าง (จริงๆ แล้ว ผมไม่คิดอยากไปไหน เพราะอยากอยู่ใกล้ลูก และเฝ้ารอโอกาส ที่ลูกกับครอบครัวจะมาเยี่ยมได้บ้าง) แต่เพื่อนผมนี่ เป็นคนขี้กังวลมากๆ สุดท้าย เราก็ทำใจกันได้ ตัดใจที่จะดิ้นรนไปประเทศที่ 2.1 ตั้งใจทำมาหากิน บนความเชื่อที่ว่า “หากเราไม่เคลื่อนไหวอะไร ก็จะปลอดภัยในระดับหนึ่ง”

และนี่เป็นความคิด และแนวทางของพวกเราหลายคนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งทุกคน ก็ยังอยู่กันได้อย่างปรกติสุข จนกระทั่งทุกวันนี้..

จากก้าวแรก.. ที่เราข้ามพ้นประเทศบ้านเกิดมา จนกระทั่งทุกวันนี้ อีก ไม่กี่เดือน ก็จะครบ 5 ปีแห่งการพลัดพลาดแผ่นดินถิ่นเกิด เราหลายสิบชีวิต ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านทุกข์สุขกันมากมาย เราหลายคนผิดใจกัน ทะเลาะกัน เกลียดกัน ไม่ไปมาหาสู่ ไม่ช่วยเหลือกัน ก็มีหลายคน.. หลายกลุ่ม..

แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครหรอก ที่จะมีความสุข หรือมีความยินดี กับการสูญเสียเพื่อน ที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา !!”
การจากไปของเพื่อนร่วมชะตากรรม นับตั้งแต่รายแรก จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องสะเทือนใจเราทุกคน แต่สำหรับความคิดผมแล้ว มันคือ “ความประมาทล้วนๆ” ซึ่งขอไม่เล่าในรายละเอียด เนื่องด้วยความเคารพผู้ที่จากไปทั้ง 5 ราย.. (คนทางนี้ ต่างรู้กันดีว่าผมหมายถึงอะไร)

ส่วนตัวผมคิดว่า เราสามารถเลือกแนวทาง ที่ดีที่สุด ให้กับตัวเราเองได้ (ที่ผมใช้คำว่า “อยู่เป็น”) อย่างผม ก็เลือกที่จะยุติการเคลื่อนไหว ประกอบอาชีพ ทำมาหากิน พวกที่เคลื่อนไหวเอง ก็ควรต้องหาทางเซฟตัวเองให้มากที่สุด บนความ “ไม่ประมาท” มันก็มีเท่านั้น..

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย สำหรับการต่อสู้กับเผด็จการ ที่มีอำนาจล้นฟ้า ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุด ที่จะปลอดภัยกว่าการอยู่ในประเทศที่ 2 สำหรับกลุ่มที่ต้องการการเคลื่อนไหวอยู่ นั่นก็คือ.. “การหนีภัย ไปสู่ประเทศที่ 3 ให้ได้” !!

เหตุการณ์ข้างต้น ผมได้เล่าสรุปเรื่องราวการขอลี้ภัย ไปประเทศที่ 3 ของเพื่อนๆ แต่ละคน เท่าที่ผมมีข้อมูลมา พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังต่อไปนี้

พวกเราไม่ได้รับการสนับสนุน ให้ลี้ภัยไปประเทศที่ 3 เพราะเราไม่ได้รับการสนับสนุนให้ไปประเทศที่ 2.1

พวกเราที่เหลืออยู่ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีผู้สนับสนุน ที่จะได้รับการพิจารณา แม้กระทั่ง ให้ไปอาศัยอยู่ในประเทศ 2.1 เพื่อทำเรื่องขอลี้ภัย ก็ยังไม่ได้รับโอกาสนั้น

พวกเราต่างเข้าประเทศที่ 2 มาอย่างไร้หลักฐาน ไร้เอกสารใดๆ ไร้ซึ่งสิทธิต่างๆ เรียกได้ว่าไร้ตัวตนบนแผ่นดินนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่นี่ อาศัยรายได้ จากเงินที่ผู้ใหญ่ช่วยเหลือ เป็นรายได้หลัก ซึ่งเป็นจำนวนน้อยมาก อย่าว่าแต่ค่าเดินทางไปที่อื่นเลย แค่ค่าเช่าบ้านแต่ละเดือน ค่ากินค่าอยู่ ก็ไม่มีทางพอแล้ว (แต่คนที่มีงานมีการทำ มีธุรกิจ ทำค้าขาย ทำเกษตร ก็เดือดร้อนน้อยหน่อย) ดังนั้น เรื่องการขยับ ขอลี้ภัย จึงอาจไม่ได้อยู่ในความคิดเลย ลำพังใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ก็ยากเกินพอแล้ว..
เรื่องราวต่างๆ ข้างต้น เป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่า ทำไมเราถึงไม่สามารถ ลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ได้ พวกเราพยายามกันแล้ว แต่มัน “ไม่มีเจ้าภาพ” ด้วยกำลังที่เรามีกัน มันไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าใครจะเป็น “เจ้าภาพ” ให้กับเราได้ เรื่องนี้ คงต้องฝากไปให้เป็นคำถามกลับไปยังผู้ใหญ่ และประชาชน ที่ติดตามข่าวสารของพวกเราอยู่ ว่าพอจะมีหนทาง ช่วยเหลือในเรื่องนี้ ได้ทางใดบ้าง..

โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ (6-7 ชีวิต) ที่เวลานี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเหล่านั้น ผมเชื่อจริงๆ ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถึงแม้กระทั่งพวกเขาอาจตัดสินใจ “ยุติการเคลื่อนไหวในเวลานี้” ก็ใช่ว่าพวกเขาจะปลอดภัย จากการตามล่าของฝ่ายตรงข้าม !!

นี่ต่างหาก.. เป็นเรื่องที่พวกท่าน ต้องช่วยกันผลักดัน ช่วยเหลือพวกเขาให้ได้

การแก้ปัญหา ไม่ใช่การหาบ้านให้พวกเขาใหม่, ย้ายพิกัดบ้านที่เขาเคยอยู่ ไปยังที่แห่งใหม่, ให้เงินสนับสนุนเขาให้มากขึ้น หรือกระทั่ง หาอาวุธ หาคนมาคุ้มกันพวกเขา

เพราะมันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สุดท้าย หากยังต้องอยู่ที่นี่.. โอกาสที่จะพลาด มันต้องเกิดขึ้นสักวันแน่นอน !!

เลิกเชียร์.. ให้พวกเขาสู้ได้แล้ว หากคุณรักพวกเขาจริง จงช่วยกันผลักดัน ให้พวกเขาไปประเทศที่ 3 ให้ได้ก่อนดีไหม ?



เกี่ยวกับผู้เขียน: ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล เป็นอดีตนักโทษการเมืองจากการถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังพ้นโทษ และหลังรัฐประหาร คสช.ได้มีคำสั่งเรียกให้ ธันย์ฐวุฒิ ไปรายงานตัว แต่เขาปฏิเสธและได้เดินทางลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศนับจากนั้น

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.