Posted: 21 Jan 2019 12:01 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2019-01-21 15:01


อาชีพ 'พ่อค้า-แม่ค้า ตำรวจจราจร พนักงานกวาดถนน คนขับรถตุ๊กๆ วิน จยย.' เสี่ยงภัยฝุ่น PM2.5/รวบนายจ้างใช้งานลูกจ้างแรงงานข้ามชาติไม่ตรงตามที่ตกลงไว้-ทุบตีเยี่ยงทาส/เคาน์เตอร์เซอร์วิส จับมือ สำนักงานประกันสังคม เปิดลงทะเบียนสมัครประกันสังคมมาตรา 40 ฟรี/เตรียมนำผลงานปลดล็อกใบเหลืองประมงไทยใส่ในทริปรีพอร์ต 2561 ส่งสหรัฐฯ สิ้นเดือน ม.ค. 2562 นี้/ม.หอการค้า เผย 10 อาชีพ เด่น-ร่วง ปี 2562

อาชีพ 'พ่อค้า-แม่ค้า ตำรวจจราจร พนักงานกวาดถนน คนขับรถตุ๊กๆ วิน จยย.' เสี่ยงภัยฝุ่น PM 2.5

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่าช่วงนี้สภาพอากาศมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กสูง พ่อค้าแม่ค้าขายอาหารตามแผงลอยบนบาทวิถีมีความเสี่ยง ควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน นอกจากนี้ การจำหน่ายอาหารบนบาทวิถีบางจุดเป็นสถานที่ที่มีควันรถ ฝุ่นละอองจากถนน การเตรียมปรุงประกอบอาหารไม่มีที่กำบังเพียงพอทำให้อาหารในร้านเสี่ยงปนเปื้อนฝุ่นหรือควันท่อไอเสียรถยนต์โดยเฉพาะร้านที่เปิดโล่ง ผู้บริโภค ควรเลือกซื้อจากแผงลอยที่มีการปกปิดอาหาร เช่น ใส่ตู้กระจก หม้อมีฝาปิด ที่สำคัญผู้บริโภคควรล้างมือบ่อยๆ ป้องกันอันตรายจากการสัมผัสฝุ่นและเข้าสู่ร่างกายจากการหยิบจับ

สำหรับตำรวจจราจร พนักงานทำความสะอาดถนน คนขับรถรับจ้างประเภทรถตุ๊กๆ และจักรยานยนต์ ต้องป้องกันตนเองให้มากขึ้นในช่วงนี้ โดยสวมหน้ากากอนามัยที่เหมาะสมและหลังจากปฏิบัติงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและซักเสื้อผ้าที่สวมใส่ตอนปฏิบัติงานเพื่อสุขอนามัยที่ดี ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือ ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น หายใจติดขัดแน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ ควรรีบปรึกษาแพทย์

ที่มา: สยามรัฐ, 21/1/2562

สระแก้ววิกฤตขาดแรงงานตัดอ้อย เหตุเศรษฐกิจกัมพูชาขยายตัวแล้วแรงงานไม่มาไทย

20 ม.ค. 2562 นายมนตรี คำพล นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา พร้อมด้วยกรรมการสมาคม ได้จัดแถล่งข่าว ที่ห้องประชุมของสมาคม ถึงปัญกหาเกี่ยวแรงงานตัดอ้อยเกิดขาดแคลนอย่างรุนแรง และหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย ต่อไปทางด้านนายมนตรี คำพล นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา เผยว่า ขณะนี้อยู่ฤดูกาลหีบอ้อย และอ้อยต้องตัดส่งโรงงานให้ทันตามกำหนดการหีบอ้อยแต่ขณะนี้ แรงงานตัดอ้อยมีไม่เพียงพอ โดยขณะนี้แรงงานตัดอ้อยชาวกัมพูชาที่มาแล้ว จำนวน 15,000 คน จากเดิมต้องใช้แรงงานตัดอ้อยให้ทันฤดูกาลถึง 22,000 คน

สาเหตุทึ่แรงงานตัดอ้อยจากกัมพูชาลดน้อยลง เพราะว่าทางกัมพูชา เศรษฐกิจเขาค่อนข้างที่จะขยายตัวมากกว่าเดิม งานก่อสร้างในกัมพูชาก็เยอะ และแรงงานส่วนหนึ่ง และทางญี่ปุ่น เกาหลี เอาแรงงานเขาไป ก็เลยมีแรงงานกรรมกรออกมาน้อย ทำให้เราขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก

ในขณะที่แรงงานมีน้อย ส่งผลกระทบต่อการตัดอ้อย ถ้าตัดอ้อยสดจะช้ามาก และอ้อยของเราลำต้นค่อนข้างยาว ทำให้ตัดได้ช้า วันหนึ่งจะตัดได้ 100 กว่ามัด ถ้าอ้อยเผาจะตัดได้วันละกว่า 300 มัด บางส่วนต้องเผาก่อนตัดเพื่อความรวดเร็ว แต่อ้อยเผา ตามระเบียบจะถูกหักตันละ 30 บาท เพื่อเอาไปให้ชาวไร่ที่ตัดอ้อยสด สมมุติว่าโรงงานน้ำตาลเอาหีบอ้อยไป 4 ล้านตัน มีอ้อยไฟไหม้กี่เปอร์เซ็นต์ หักออกไว้ จากนั้นเอามาหารเฉลี่ย ให้อ้อยสดไป โดยขณะนี้มีอ้อยเผากว่า 60% อ้อยสดประมาณ 38% สำหรับอ้อยสดค่าจ้างตัดตันละ 180-200 บาท อ้อยไฟไหม้ราคาค่าจ้างตัดอยู่ที่ตันละ 110-120 บาท ส่วนปีที่แล้วราคาใกล้เคียงกัน แรงงานลดลง แต่ราคาตัดเท่าเดิม อ้อยไฟไหม้กับอ้อยสดค่าจ้างตัดจะต่างกัน 60-70 บาท เมื่อแรงานมีน้อยไม่เผาอ้อย ทำให้การตัดล่าช้า ปีที่แล้วอ้อยตัดไม่หมดเป็นหมื่นไร่ตอนนี้อ้อยยังค้างไร่อยู่ ตัดยังไเสร็จ และทางโรงงานต้องชดเชยเป็นเงินให้ชาวไร่ที่ค้าง ไร่ละ 2,000 บาท ระยะเวลาผ่านมา 1 ปีแล้ว แต่ทางโรงงานยังไม่ยอมจ่ายกว่า 10 ล้นบาท ยังคาราคาซังกันอยู่เลย ทางสมาคมจึงขอให้ทางโรงงานน้ำตาลจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้เกษตรกรด้วย

ที่มา: มติชนออนไลน์, 20/1/2562

ไทย-เมียนมา ประชุมระดับวิชาการ มุ่งแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน และคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงาน

นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยภายหลังการประชุมระดับวิชาการเมียนมา-ไทย ร่วมกับ นายอู วิน เชน อธิบดีกรมแรงงาน กระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากรสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นที่สำคัญของฝ่ายไทยทั้ง การจัดส่งแรงงานประมงเข้ามาทำงานตาม MOU การจ้างงานระยะสั้น การตรวจสุขภาพจากประเทศต้นทาง การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของแรงงาน และการจัดเตรียมแรงงานเมียนมาเพื่อให้นายจ้างไทยได้คัดเลือก

อย่างไรก็ตามการประชุมหารือครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายหวังว่า จะได้ร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานของประเทศไทยการคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงาน รวมทั้งการเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยถูกกฎหมายตาม MOU

ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 19/1/2562

ลูกจ้างชลประทานกว่า 100 คน บุกศาลากลางชัยนาท ร้องสหกรณ์ฯ ทำงานไม่โปร่งใส

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2562 ที่ศาลากลางจังหวัดชัยนาท นายธงชัย นุชนารถ พร้อมด้วย ลูกจ้างประจำ ในสังกัดสำนักงานชลประทานที่ 12 จำนวนกว่า 100 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานชลประทานที่ 12 จำกัด เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดชัยนาท ร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม หลังจากได้รับความเดือดร้อนจากการที่คณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานชลประทานที่ 12 จำกัด ได้ออกประกาศ หลักเกณฑ์การให้กู้เงินสามัญ พ.ศ.2561 ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.61 ซึ่งระบุว่า สมาชิกที่จะขอกู้เงิน เมื่อหักชำระหนี้ต่างๆ แล้ว จะต้องมีเงินได้รายเดือนเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดให้เหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น

นายธงชัย นุชนาถ หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ เปิดเผยว่า สมาชิกในสหกรณ์ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างประจำและพนักงานราชการ ในสังกัดสำนักงานชลประทานที่ 12 ซึ่งการออกประกาศข้อบังคับฉบับใหม่ของสหกรณ์ ทำให้สมาชิกไม่สามารถกู้เงินได้ เพราะส่วนใหญ่จะมีเงินเดือนคงเหลือไม่ถึงร้อยละ 20 ทำให้เดือดร้อน เงินไม่พอใช้จ่าย นอกจากนี้ ทางสหกรณ์ยังมีการหักเงินค่าเบี้ยประกันภัยความเสี่ยง ที่หักจากยอดเงินปันผล

โดยไม่มีการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับกรมธรรม์ให้ทราบ และไม่มีใบเสร็จรับเงินที่หักไปให้แก่สมาชิก ซ้ำยังมีการหักเงินประกันภัยจากยอดเงินกู้อีกด้วย ทำให้สมาชิกได้รับเงินกู้ไม่เต็มจำนวน เคยร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสหกรณ์แล้วถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการชี้แจง จึงเดินทางมาร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้ประสานคณะกรรมการสหกรณ์ ทบทวนแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว รวมทั้งชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการหักเงินเบี้ยประกันความเสี่ยงให้แก่สมาชิกทราบด้วย

ทั้งนี้ นายสหนณ ชัยจรินันท์ สหกรณ์จังหวัดชัยนาท ได้เดินทางมารับฟังการร้องเรียนจากสมาชิกฯ และประสานให้ นายวีระพงษ์ เอกสาตรา รองประธานกรรมการสหกรณ์ฯ และคณะกรรมการอีก 4 คน เข้ามาพูดคุยกับสมาชิกที่มาร้องเรียน ซึ่งหลังจากการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงได้ข้อสรุปว่า ทางสหกรณ์จะเปิดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเรียกสมาชิกทั้งหมดมาประชุม ขอมติหลักเกณฑ์การให้กู้เงินสามัญ ว่าสมาชิกทั้งหมดที่มีจำนวนกว่า 1,700 คน จะเห็นด้วยกับการกำหนดเงินได้รายเดือนของผู้กู้ต้องมีคงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ตามมติที่คณะกรรมการออกมาหรือไม่ รวมทั้งให้คณะกรรมการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการหักเงินประกันความเสี่ยงด้วย ซึ่งหลังจากที่ตกลงกันได้ในเบื้องต้นแล้ว สมาชิกสหกรณ์ที่มาร้องเรียนทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันกลับไปปฏิบัติงานตามต้นสังกัดของตนเอง

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 18/1/2562

เคาน์เตอร์เซอร์วิส จับมือ สำนักงานประกันสังคม เปิดลงทะเบียนสมัครประกันสังคมมาตรา 40 ฟรี

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2562 สำนักงานประกันสังคม บริษัท ร่วมกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ระหว่าง สำนักงานประกันสังคม กับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ช่วยเพิ่มโอกาสในการถึงระบบหลักประกันทางสังคม ให้สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นได้อย่างสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมี พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และ นายวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ลงนาม และเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม จอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี กรุงเทพฯ

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการรับชำระเงินกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ว่า กระทรวงแรงงานได้กำหนดทิศทางการบริหารไว้ ในเรื่องการเร่งผลักดันให้แรงงานนอกระบบผู้ประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้เข้าถึงหลักประกันทางสังคมเข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยมีเป้าหมายภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี (2561 -2565) จะมีผู้ประกันตนรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 5 ล้านคน กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยมีการพัฒนาระบบร่วมกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด รับสมัครผู้ประกันตนมาตรา 40 ผ่านช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีสัญลักษณ์เคาน์เตอร์เซอรวิสกว่า 13,000 แห่งทั่วประเทศ

"กระทรวงแรงงานพร้อมจะขับเคลื่อนการให้บริการภาครัฐโดยการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนในการบริการประชาชน ซึ่งการร่วมมือกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ในครั้งนี้จะส่งผลให้ประชาชนและแรงงานทุกภาคส่วนเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐ และมีช่องทางการสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 มากขึ้น รวมถึงการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรับสมัคร ซึ่งไม่เสียค่าธรรมเนียมในการสมัครแต่อย่างใด ทั้งนี้เริ่มให้บริการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์บริการสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง" พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว กล่าว

ด้านนายวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่าจากการที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคม เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการภาครัฐ ในการผลักดันแรงงานนอกระบบ หรือผู้ที่มีอาชีพอิสระ ที่มีอยู่จำนวนมาก ให้สามารถเข้าถึงระบบหลักประกันทางสังคมได้มากขึ้น ซึ่งเคาน์เตอร์เซอร์วิส มีความพร้อมในการให้บริการดังกล่าวเต็มที่ เนื่องจากบริษัทฯ มีการพัฒนาความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำระบบ มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพสูง พร้อมต่อการรองรับความต้องการของทั้งสำนักงานประกันสังคมเอง และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ที่สามารถช่วยส่งเสริมการเข้าถึงบริการทั้งการสมัครมาตรา 40 หรือการชำระเงินสมทบของมาตรา 39 และมาตรา 40 ให้มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูงสุดและให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อันเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประกันตนให้มีความมั่นคง และยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการให้บริการของสำนักงานประกันสังคมที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น

"เรามีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เข้าร่วมเป็นตัวแทนในการเปิดให้บริการลงทะเบียนสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เป็นเจ้าแรก ให้ประชาชนสามารถสมัครได้ที่จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั้ง 11,080 แห่งทั่วประเทศ ไม่มีค่าธรรมเนียมการสมัคร และใช้เพียงบัตรประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองต่างๆมากมายจากภาครัฐ อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนในการเดินทาง สร้างความสะดวกสบาย และรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการสนับสนุนภาครัฐในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนทั่วไป ที่เราได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตลอดมา นอกจากนี้ เรายังมีบริการนำร่องที่ร่วมมือกันมาก่อนหน้านี้ ในการเปิดให้บริการรับชำระเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ทำให้เรื่องของประกันสังคมเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวประชาชน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของเคาน์เตอร์เซอร์วิสแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ด้วยเทคโนโลยีด้วยและจุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่เรามีทั้งในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่เปิดให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และตัวแทนจุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสอื่นๆ ทั้งในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่างๆรวมกว่า 13,000 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศใกล้บ้านท่าน" นายวีรเดช อัครผลพานิช กล่าว

สำหรับโครงการให้บริการลงทะเบียนสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ผู้สมัครสามารถใช้ร่วมกับบัตรทอง และต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยสมัครประกันสังคมมาตรา 39 มาก่อน โดยใช้บัตรประชาชนสมัครด้วยตนเองผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครื่อง POS และเครื่อง i– TOUCH ซึ่งระบบดังกล่าวจะส่งข้อมูลผู้สมัครไปยังสำนักงานประกันสังคม เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ และเงื่อนไขที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด คือจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 ซึ่งเมื่อมีการพิจารณาคุณสมบัติครบถ้วน สำนักงานประกันสังคมจะอนุมัติความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ผ่านระบบและแจ้งให้ผู้สมัครทราบทันที อีกทั้งยังสามารถชำระเงินสมทบได้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ณ เคาท์เตอร์เซอร์วิส ทุกสาขาทั่วประเทศ

ที่มา: คมชัดลึก, 17/1/2562

ผู้ประกันตนที่ป่วยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก เข้ารักษาตามสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (Particulate Matter : PM 2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคหัวใจ เสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปอด,โรคระคายเคืองจมูก แสบจมูก ไอมีเสมหะ, โรคหลอดเลือดหัวใจ,หลอดเลือดสมอง,หัวใจขาดเลือด และโรคที่ส่งผลกระทบต่อทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ ว่า กระทรวงแรงงาน โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคมได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงงานในพื้นที่กลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม หากเกิดเจ็บป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในโรงพยาบาลตามสิทธิการรักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

และหากเจ็บป่วยฉุกเฉินไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน หลังจากนั้น ญาติ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องรีบแจ้งให้โรงพยาบาล ตามสิทธิฯ ทราบโดยด่วน เพื่อรับตัวไปรักษาต่อและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล โดยจะนับตั้งแต่เวลาที่โรงพยาบาลได้รับแจ้งไปจนกว่าจะสิ้นสุดการรักษา ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งให้โรงพยาบาลตามสิทธิฯ ทราบ สำนักงานประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใน 3 วันแรก (72 ชั่วโมง) ตามหลักเกณฑ์ และอัตราที่กำหนด

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่สำรองจ่ายค่ารักษาไปก่อนสามารถเบิกคืนจากสำนักงานประกันสังคมได้ โดยนำหลักฐานมายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทน คือ แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน (สปส.2-01),ใบรับรองแพทย์,ใบเสร็จรับเงิน และสำเนาสมุดบัญชี เงินฝากธนาคารหน้าแรกที่มีชื่อผู้ประกันตน – เลขที่บัญชี

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงการ ทำกิจกรรมหรืออกกำลังกายกลางแจ้ง หากออกจากบ้านให้สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งหากพบอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายในถี่ หายใจมีเสียงวี๊ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศรีษะ ขอให้ไปพบแพทย์ทันที

หากมีข้อสงสัยเรื่องสิทธิการรักษาประกันสังคม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์บริการสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 15/1/2562

เตรียมนำผลงานปลดล็อกใบเหลืองประมงไทยใส่ในทริปรีพอร์ต 2561 ส่งสหรัฐฯ สิ้นเดือน ม.ค. 2562 นี้

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 6/2561–2562 ซึ่งมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัด พม.และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 60 คน เข้าร่วมประชุมว่าในการประชุมวันนี้ได้มีการพิจารณารายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2561 หรือทริปรีพอร์ต ที่ได้มีการแปลจากภาษาไทยให้เป็นภาษาอังกฤษ ว่ามีข้อแก้ไขตรงไหนบ้าง การสื่อความหมายตรงตามที่เราต้องการหรือไม่ ก่อนการสรุปและประมวลผล ส่งให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ

จากนั้นจะส่งให้สหรัฐอเมริกา ภายในวันที่ 31 ม.ค. 2562 ซึ่งจากการพิจารณา ในที่ประชุมยังได้มีข้อเสนอแนะ เสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เรื่องการบังคับคดี การบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองช่วยเหลือ การป้องกันการใช้แรงงาน เป็นต้น โดยได้มีซักถามเพิ่มเติม แลกเปลี่ยนมุมมองจากเอ็นจีโอ ภาคเอกชน เพื่อให้ทริปรีพอร์ตฉบับภาษาอังกฤษสมบูรณ์ที่สุด โดยคาดว่าทริปรีพอร์ตฉบับอังกฤษ จะเสร็จภายในวันที่ 18 ม.ค. 2562 นี้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ทริปรีพอร์ตฉบับนี้จะเน้นที่สั้นกระชับเข้าใจง่าย ซึ่งนอกจากผลงานที่ดำเนินการในรอบที่ผ่านมาจะถูกบรรจุในรายงานฉบับนี้แล้ว ความสำเร็จของไทยที่ IUU ได้ปลดล็อกใบเหลืองประมงของไทย ก็จะถูกนำไปบรรจุในรายงานฉบับนี้ด้วย ซึ่งหวังว่าผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทยรอบนี้ จะทำให้สหรัฐรัฐฯจัดอันดับการค้ามนุษย์หรือ Teir ให้กับประเทศไทยดีขึ้น

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 16/1/2562

เผยพนักงานชาวไทยเครือโรงแรมดุสิตธานีปลอดภัย จากเหตุ 'อัล-ชาบาบ' โจมตีโรงแรมในเคนยา

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2562 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าทางการเคนยาได้อพยพประชาชนที่ติดค้างภายในโรงแรมดุสิตดี 2 ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือของโรงแรมดุสิตธานี ออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว หลังเกิดเหตุกลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง “อัล-ชาบาบ” โจมตีด้วยระเบิดรถยนต์ (คาร์บอมบ์) และใช้อาวุธสงครามกราดยิงผู้คนภายในโรงแรมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันอังคารที่ผ่านมา ตามวันเวลาในไทย

โดยแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทยของเคนยา เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของทางการเคนยาได้อพยพประชาชนที่ติดค้างภายในโรงแรม และภายในสำนักงานต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมดุสิตดี2 ออกมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งหมด เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันอังคารที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.ของวันพุธ ตามวันเวลาในไทย พร้อมกันนี้ ก็ได้ตรวจตราอาคารทุกแห่งภายในโรงแรมสถานที่เกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ถึงแม้พนักงานราว150 คน ได้รับการช่วยเหลือออกมาได้ แต่ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากยังหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโรงแรม โดยบางคนมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งมีความต้องการได้รับการปฐมพยาบาลรวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกัน ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย (กต.) เปิดเผยผ่านทางทวิตเตอร์ว่า พนักงานชาวไทยที่ทำงานอยู่ในโรงแรมดังกล่าว ปลอดภัยจากเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น โดยในขณะเกิดเหตุมีพนักงานชาวไทยทำงานอยู่ภายในโรงแรม จำนวน 4 คน ซึ่งทางสถานทูตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเคนยา ในกรุงไนโรบี กำลังติดต่อประสานเกี่ยวกับการอพยพออกจากที่เกิดเหตุ โดยล่าสุดมีรายงานว่า พนักงานชาวไทยทั้ง 4 คน ได้รับการอพยพออกจากที่เกิดเหตุและอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งนี้ในโรงแรมดังกล่าว มีพนักงานชาวไทยจำนวนทั้งสิ้น 7 คน แบ่งเป็นพนักงานสปา 4 คน และพนักงานครัว 3 คน

พร้อมกันนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยว่า หากมีผู้ที่ต้องการขอรับความช่วยเหลือ ก็สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่เกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร โดยสามารถติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +254 799 33 22 43 หรือ +254 733 145 145 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: สยามรัฐ, 16/1/2562

ม.หอการค้า เผย 10 อาชีพ เด่น-ร่วง ปี 2562

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลจากการขอข้อมูลของกระทรวงแรงงาน สำนักงานสถิติแห่งชาติเกี่ยวกับความต้องการแรงงาน การประกาศหางานต่าง ๆ ผลการสำรวจ และการวิจัยทางด้านธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และดัชนีความสามารถในการแข่งขัน

พบว่า 10 อาชีพเด่นปีหมูอันดับ 1 คือ แพทย์ (แพทย์ผิวหนัง และศัลยกรรม) เนื่องจากเพราะจำนวนแพทย์ที่ออกสู่ตลาดแรงงานไม่เพียงพอกับความต้องการ อันดับ 2 คือนักวิเคราะห์ข้อมูล และนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น นักพัฒนาพัฒนาซอฟแวร์ ตามการแข่งขันทางธุรกิจทำให้ต้องเพิ่มกลยุทธ์การแข่งขัน

อันดับ 3 นักบิน และนักการตลาดออนไลน์ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังประชาชนให้ความสำคัญกับระบบขนส่งที่รวดเร็ว อันดับ 4 นักขายออนไลน์และนักการเงิน อันดับ 5 ผู้พิพากษาหรือทนาย อันดับ 6 ผู้ประกอบการ อันดับ 7 ดารา-นักร้อง อันดับ 8 ทันตแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัยทางอาหาร อันดับ 9 ครูสอนพิเศษหรือติวเตอร์ และกราฟฟิกดีไซน์ และอันดับ 10 ได้แก่ อาชีพที่ปรึกษาธุรกิจ นักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม และอาชีพนักกีฬา อี-สปอร์ต ตามธุรกิจเกมส์ที่มีความโดดเด่น

สำหรับ 10 อันดับธุรกิจเด่น ปีนี้ ได้พิจารณาจากเกณฑ์ด้านยอดขาย ต้นทุน ส่วนต่างของยอดขายต่อต้นทุน หรือกำไรสุทธิ ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและภาวะการแข่งขัน และพิจารณาจากความต้องการและความสอดคล้องกับกระแสนิยม รวมทั้งสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่จะมีส่วนสนับสนุน และบั่นทอนการดำเนินธุรกิจพบบว่า อันดับ 1 คือ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ จากเดิมปีที่ผ่านมาอยู่อันดับ 3 ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวก และยังมีช่องทางการจำหน่ายจำนวนมาก รวมทั้งต้นทุนต่ำ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน แม้จะมีความเสี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และร้านค้าต้องมีความน่าเชื่อถือ

อันดับ 2 คือ ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามที่ยังคงอันดับเดิมจากปีที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภค ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ของไทยมีคุณภาพและราคาไม่แพง อันดับที่ 3 คือ ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว ขยับจากอันดับ 4 ในปีที่แล้วตามพฤติกรรมการดูแลผิวพรรณของทุกช่วงวัยเพิ่มขึ้น อันดับ 4 คือ ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงผู้ให้บริการโครงข่าย และธุรกิจขนส่ง และธุรกิจเกม อันดับ 5 เป็นธุรกิจด้านฟินเทค และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี อันดับ 6 ธุรกิจทางการท่องเที่ยวโฮสเทล และธุรกิจบนสตรีทฟู้ด อันดับ 7 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจผู้สูงอายุ และธุรกิจประกันชีวิต อันดับ 8 ธุรกิจด้านติวเตอร์ สถาบันสอนภาษา โดยเฉพาะจีนและอังกฤษ อันดับ 9 เป็นธุรกิจก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพ และอันดับ 10 คือ ธุรกิจคาร์แคร์ และธุรกิจสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณาและบรรจุภัณฑ์

ด้าน 10 อันดับธุรกิจดาวร่วงของปีนี้ อันดับ 1. คือ ธุรกิจเช่าหนังสือ ธุรกิจหัตถกรรมและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่ไม่มีการปรับตัว อันดับ 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายซีดีและดีวีดี อันดับ 3. ธุรกิจร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต และธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และวารสาร อันดับ 4. ธุรกิจทำผลิตภัณฑ์หนัง ฟอกหนัง อันดับ 5. ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐาน อันดับ 6. ธุรกิจสถานศึกษาเอกชน และธุรกิจพ่อค้าคนกลางทางการเกษตร อันดับ 7. ธุรกิจของเล่น อันดับ 8. ธุรกิจผลิตสังกะสี อันดับ 9. ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม และทำดอกไม้ ใบไม้ประดิษฐ์ และอันดับที่ 10. ธุรกิจอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ และธุรกิจปาล์มน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม การประเมินธุรกิจที่โดดเด่นปีนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานทางเศรษฐกิจที่จะขยายตัวในกรอบ 4 - 4.2% แม้จะยังมีผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า แต่จะมีปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ที่เม็ดเงินจากการรณรงค์หาเสียงมาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ รวมทั้งนโยบายการลงทุนภาครัฐ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากยุค 3.0 ไปสู่ยุค 4.0 ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจ จะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

ที่มา: Nation TV, 16/1/2562

รวบนายจ้างใช้งานลูกจ้างแรงงานข้ามชาติไม่ตรงตามที่ตกลงไว้-ทุบตีเยี่ยงทาส

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2562 พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบก.จ.ปทุมธานี พ.ต.อ.ฤทธินันท์ ปุ้ยพันธวงศ์ ผกก.สภ.คลองหลวง พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผกก.กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี ร.ท. สัญญาลักษณ์ มะลิวัลย์ รอง.ผบ.ร้อย. ร้อย.รส.คลองหลวง ปตอ.2 พัน4 นายจิม ซัมณาง ที่ปรึกษาด้านแรงงานสถานเอกอัคราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย MR.HOEURN HUNG ที่ปรึกษาด้านแรงงานสถานเอกอัคราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย

เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.คลองหลวง ได้เข้าจับกุม นายมารวย (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี และ นางมีนา (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี เจ้าของแผงขายผลไม้แห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อร้าน) ขายส่งมะม่วงแก้วขมิ้น และผลไม้ตามฤดูกาล ภายในตลาดไอยรา ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันเป็นนายจ้างรับแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต รับบุคคลต่างด้าวที่ไม่ได้รับอนุญาตทำงานกับตนเข้าทำงาน ให้บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นด้วยประการใดเพื่อให้บุคคลต่างด้าวพ้นจากการจับกุม” ซึ่งขณะเข้าจับกุมมีแรงงานต่างด้าวอยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงทำการเชิญตัวพร้อมเอกสารไปทำการตรวจสอบ

ด้าน MR.HOEURN HUNG ที่ปรึกษาด้านแรงงานสถานเอกอัคราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า ทางสถานเอกอัคราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งจากแรงงานหญิงที่เข้ามาใช้แรงงานในประเทศไทยถูกนายจ้างทำร้ายร่างกายและฉีกพาสปอร์ตทิ้งหากทำงานไม่ถูกใจก็ถูกทำร้ายและใช้งานผิดประเภท

ทางด้านสถานเอกอัคราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย จึงได้สนธิกำลังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศเพื่อเข้ามาตรวจสอบ หลังจากที่มาตรวจสอบแล้วพบว่า มีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่ที่ร้านแห่งนี้เป็นผู้ชายจำนวน 5 คน

แรงงานหญิงที่ได้รับบาดเจ็บ ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองได้เข้ามาทำงานกับสามีที่ร้านแห่งนี้ตั้งแต่สงกรานต์ปี 2560 ซึ่งได้มาคัดแยกมะม่วงและเอามะม่วงลงจากรถต่อมานายจ้างที่เป็นผู้ชายให้ตนเองไปทำงานแกะกุ้ง ซึ่งให้เราใช้มือแกะแต่ไม่สามารถทำได้ นายจ้างจึงใช้เหล็กตีที่ศีรษะ ซึ่งสามีตนก็ได้เข้ามาช่วยเหลือ ต่อมาทางนายจ้างก็ได้ให้เราไปช่วยทำงานก่อสร้างบ้านของเถ้าแก่ร้าน ซึ่งตนเห็นว่าเป็นงานนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยได้และที่ไปทำนั้นจำนวน 11 คน แต่เมื่อไปถึงตนเองไม่สามารถทำได้เพราะงานหนัก นายจ้างจึงเข้ามาทำร้าย และก่อนหน้านี้มีเพื่อนได้เตือนตนเองแล้วว่าทำงานกับนายจ้างคนนี้ให้ระวังตัวเพราะจะถูกทำร้าย

พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบก.จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า วันนี้ทางด้านแรงงานต่างด้าวที่ถูกทำร้ายนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.คลองหลวง ซึ่งการสอบสวนขยายผลก็ยังมีเพื่อนแรงงานชาวกัมพูชาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ปรึกษากับทางแรงงาน จ.ปทุมธานี จัดหางาน จ.ปทุมธานี และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ปทุมธานี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนเพิ่งจะเริ่มดำเนินการ ส่วนการทำร้ายร่างกายลูกจ้างนั้น ต้องรอผลการตรวจของแพทย์และการสอบปากคำอย่างละเอียดหากพบมีความผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: Sanook! News, 15/1/2562


[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.