ปฏิบัติการปิดล้อมวัดพระธรรมกายวันที่ 14 มีผู้เสียชีวิต จากมาตรา 44 อีกหนึ่งราย เหตุป่วยเป็นหอบหืด แต่กู้ชีพติดด่านทหาร ด้านพระสนิทวงศ์ ย้ำคำสั่ง คสช.ไม่ชอบธรรม ขณะที่พลเอกประวิตร ให้ DSI และกระทรวงยุติธรรมเดินหน้าแผนค้นวัดต่อ
บรรยากาศบริเวณวัดพระธรรมกาย ในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ยังตรึงเข้มคัดกรองบุคคลผ่านเข้าออก ขณะที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ฝั่งตรงข้ามประตู 5และ6 ยังคงมีศิษยานุศิษย์ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และรอทำวัตรเช้าตามปกติ
อย่างไรก็ตามมีพระสงฆ์จากวัดพระธรรมกายเดินทางจากประตู 5 ออกมาบิณฑบาต แต่เมื่อต้องการกลับเข้าไปภายในวัด เจ้าหน้าที่ซึ่งตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณดังกล่าวไม่อนุญาตให้กลับเข้าไปแม้จะมีใบสุทธิสงฆ์ เนื่องจากได้รับคำสั่งว่าให้พระกลับเข้าวัดทางประตู 7 จึงทำให้พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวต้องนั่งฉันอยู่กลางถนนในบริเวณนั้น
พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่าภาพจากกล้องวงจรปิด คาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ DSI สวมเครื่องแบบจำนวน 3 นาย เข้าไปภายในไปอาคาร 60 ปี วัดพระธรรมกาย กำลังดึงสายสัญญาณกล้อง CCTV ออก และจับกุมพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางวัด ถึงแม้ว่าจะปล่อยตัวในภายหลังก็ตาม แต่ทางวัดขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เพราะไม่ทราบวัตถุประสงค์ว่าเข้ามาภายในอาคาร 60 ปี เพื่ออะไร ซึ่งหากของภายในวัดหาย ยังไม่น่ากลัวเท่าของเพิ่ม
พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประตู 7 มีบุคคลไม่ระบุว่าเป็นใคร มาพร้อมใบกระท่อม ทางวัดขอปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย เนื่องจากผู้รับเหมาและคนงานก่อสร้าง ได้หยุดงาน ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์แล้ว อีกทั้งสถานการณ์ปิดล้อมวัด มีเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และ DSI แต่บุคคลดังกล่าวกลับนำใบกระท่อม เข้ามาให้เจ้าหน้าที่ตรวจ
ส่วนประเด็นเรื่องอาหารที่เจ้าหน้าที่รับปากว่าจะจัดส่งอาหารเข้ามาภายในวัดพระธรรมกาย ปรากฎว่าข้าวบูดเสีย ไม่สามารถรับประทานได้ อีกทั้งอาหารก็ไม่เพียงพอกับความจำนวนคน และพระภิกษุภายในวัด เนื่องจากมีจำนวนเพียง 300 กล่อง แต่คนและพระภิกษุมีเป็นหมื่นคน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน
พระสนิทวงศ์ กล่าวเพิ่มด้วยว่า การปิดกั้นเสรีภาพเรื่องเสบียงอาหาร ปิดกั้นเสรีภาพทางสัญญาณสื่อสาร ปิดกั้นเสรีภาพการสัญจรเดินทาง ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร ตำรวจ ทำกับพระภิกษุและพลเมือง จึงเป็นการกระทำที่ยิ่งกว่าในสงคราม นี่ไม่ใช่กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย นี่ไม่ใช่การทำตามกฎหมาย แต่เป็นการทำตามกฎ ที่เขียนขึ้นตามอำเภอใจ จึงขอเรียกร้องให้หยุดย่ำยีพระพุทธศาสนา และยกเลิก มาตรา 44
นอกจากนี้พระสนิทวงศ์ ยังเห็นว่าการข่าวของรัฐบาลมีผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยขอตั้งข้อสังเกตว่า กุนซือเจ้าหน้าที่รัฐ ให้ข้อมูลเท็จกับทางราชการ และเป็นบุคคลล้มละลายทางด้านความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใต้ถุนอาคาร เป็นอุโมงค์ลับ หรือ เครื่องนับดิจิตอลเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสาร เป็นต้น
ด้านพันตำรวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ออกมาเปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่เข้าพูดคุยกับพระ และประชาชน ที่บริเวณตลาดกลาง ที่พยายามจะยกระดับความเคลื่อนไหว ให้ทยอยออกจากพื้นที่ ภายในวันนี้ พร้อมประกาศเอาผิดพระและแกนนำ ที่มีพฤติกรรมข่ายขัดขวาง การปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังอ้างว่า การข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐยังพบว่ามีพระ มาตั้งเต็นท์ชุมนุม นอกบริเวณวัด ซึ่งทางชุดปฏิบัติการร่วม ทั้งทหาร ตำรวจ จะตรวจสอบร่วม กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หากไม่ใช้พระจริงจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
เวลาประมาณ 10.40 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีพ่อค้าแม้ค้า ภายในตลาดได้นำป้ายข้อความต่างๆมายืนถือ เพื่อเรียกร้องให้ทางรัฐบาลยกเลิกมาตรา 44 เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการใช้กฎหมายดังกล่าวนี้
อีกด้านที่หลายฝ่ายจับตา คือความเคลื่อนไหวฝั่งรัฐ หลังจากที่วานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้บัญชาการหารบก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าหารือเป็นการด่วน คาดว่าจะหารือปรับแผนแนวทางในการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดเผยว่า ไม่ได้มีวาระพิเศษ นายกรัฐมนตรีเพียงแต่ชวนกินข้าวเย็น เมนูข้าวหมูแดง ยืนยันไม่ใช่การเรียกประชุม ส่วนเรื่องวัดพระธรรมกาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ ผบ.ตร.และทหาร จะหารือกันอีกครั้ง โดยทุกอย่างจะต้องเดินไปข้างหน้าด้วยความละมุนละม่อม ส่วนต้องปรับแผนการดำเนินการกับวัดพระธรรมกายหรือไม่นั้น อะไรที่ทำแล้วไม่มีความก้าวหน้าก็ต้องปรับ ทั้งนี้ ความจริงไม่มีอะไรเลย ถ้าคนคนเดียวออกมามอบตัวทุกอย่างมันจบ ท่านทำผิดกฎหมายหรือเปล่า อยากให้ท่านออกมารับทราบข้อกล่าวหา มามอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
บรรยากาศบริเวณวัดพระธรรมกาย ในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ยังตรึงเข้มคัดกรองบุคคลผ่านเข้าออก ขณะที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ฝั่งตรงข้ามประตู 5และ6 ยังคงมีศิษยานุศิษย์ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และรอทำวัตรเช้าตามปกติ
อย่างไรก็ตามมีพระสงฆ์จากวัดพระธรรมกายเดินทางจากประตู 5 ออกมาบิณฑบาต แต่เมื่อต้องการกลับเข้าไปภายในวัด เจ้าหน้าที่ซึ่งตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณดังกล่าวไม่อนุญาตให้กลับเข้าไปแม้จะมีใบสุทธิสงฆ์ เนื่องจากได้รับคำสั่งว่าให้พระกลับเข้าวัดทางประตู 7 จึงทำให้พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวต้องนั่งฉันอยู่กลางถนนในบริเวณนั้น
พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่าภาพจากกล้องวงจรปิด คาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ DSI สวมเครื่องแบบจำนวน 3 นาย เข้าไปภายในไปอาคาร 60 ปี วัดพระธรรมกาย กำลังดึงสายสัญญาณกล้อง CCTV ออก และจับกุมพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางวัด ถึงแม้ว่าจะปล่อยตัวในภายหลังก็ตาม แต่ทางวัดขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เพราะไม่ทราบวัตถุประสงค์ว่าเข้ามาภายในอาคาร 60 ปี เพื่ออะไร ซึ่งหากของภายในวัดหาย ยังไม่น่ากลัวเท่าของเพิ่ม
พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประตู 7 มีบุคคลไม่ระบุว่าเป็นใคร มาพร้อมใบกระท่อม ทางวัดขอปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย เนื่องจากผู้รับเหมาและคนงานก่อสร้าง ได้หยุดงาน ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์แล้ว อีกทั้งสถานการณ์ปิดล้อมวัด มีเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และ DSI แต่บุคคลดังกล่าวกลับนำใบกระท่อม เข้ามาให้เจ้าหน้าที่ตรวจ
ส่วนประเด็นเรื่องอาหารที่เจ้าหน้าที่รับปากว่าจะจัดส่งอาหารเข้ามาภายในวัดพระธรรมกาย ปรากฎว่าข้าวบูดเสีย ไม่สามารถรับประทานได้ อีกทั้งอาหารก็ไม่เพียงพอกับความจำนวนคน และพระภิกษุภายในวัด เนื่องจากมีจำนวนเพียง 300 กล่อง แต่คนและพระภิกษุมีเป็นหมื่นคน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน
พระสนิทวงศ์ กล่าวเพิ่มด้วยว่า การปิดกั้นเสรีภาพเรื่องเสบียงอาหาร ปิดกั้นเสรีภาพทางสัญญาณสื่อสาร ปิดกั้นเสรีภาพการสัญจรเดินทาง ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร ตำรวจ ทำกับพระภิกษุและพลเมือง จึงเป็นการกระทำที่ยิ่งกว่าในสงคราม นี่ไม่ใช่กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย นี่ไม่ใช่การทำตามกฎหมาย แต่เป็นการทำตามกฎ ที่เขียนขึ้นตามอำเภอใจ จึงขอเรียกร้องให้หยุดย่ำยีพระพุทธศาสนา และยกเลิก มาตรา 44
นอกจากนี้พระสนิทวงศ์ ยังเห็นว่าการข่าวของรัฐบาลมีผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยขอตั้งข้อสังเกตว่า กุนซือเจ้าหน้าที่รัฐ ให้ข้อมูลเท็จกับทางราชการ และเป็นบุคคลล้มละลายทางด้านความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใต้ถุนอาคาร เป็นอุโมงค์ลับ หรือ เครื่องนับดิจิตอลเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสาร เป็นต้น
ด้านพันตำรวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ออกมาเปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่เข้าพูดคุยกับพระ และประชาชน ที่บริเวณตลาดกลาง ที่พยายามจะยกระดับความเคลื่อนไหว ให้ทยอยออกจากพื้นที่ ภายในวันนี้ พร้อมประกาศเอาผิดพระและแกนนำ ที่มีพฤติกรรมข่ายขัดขวาง การปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังอ้างว่า การข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐยังพบว่ามีพระ มาตั้งเต็นท์ชุมนุม นอกบริเวณวัด ซึ่งทางชุดปฏิบัติการร่วม ทั้งทหาร ตำรวจ จะตรวจสอบร่วม กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หากไม่ใช้พระจริงจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
เวลาประมาณ 10.40 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีพ่อค้าแม้ค้า ภายในตลาดได้นำป้ายข้อความต่างๆมายืนถือ เพื่อเรียกร้องให้ทางรัฐบาลยกเลิกมาตรา 44 เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการใช้กฎหมายดังกล่าวนี้
อีกด้านที่หลายฝ่ายจับตา คือความเคลื่อนไหวฝั่งรัฐ หลังจากที่วานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้บัญชาการหารบก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าหารือเป็นการด่วน คาดว่าจะหารือปรับแผนแนวทางในการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดเผยว่า ไม่ได้มีวาระพิเศษ นายกรัฐมนตรีเพียงแต่ชวนกินข้าวเย็น เมนูข้าวหมูแดง ยืนยันไม่ใช่การเรียกประชุม ส่วนเรื่องวัดพระธรรมกาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ ผบ.ตร.และทหาร จะหารือกันอีกครั้ง โดยทุกอย่างจะต้องเดินไปข้างหน้าด้วยความละมุนละม่อม ส่วนต้องปรับแผนการดำเนินการกับวัดพระธรรมกายหรือไม่นั้น อะไรที่ทำแล้วไม่มีความก้าวหน้าก็ต้องปรับ ทั้งนี้ ความจริงไม่มีอะไรเลย ถ้าคนคนเดียวออกมามอบตัวทุกอย่างมันจบ ท่านทำผิดกฎหมายหรือเปล่า อยากให้ท่านออกมารับทราบข้อกล่าวหา มามอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงปฏิบัติการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือกฎอัยการศึก มาใช้แทนคำสั่งหัวหน้า คสช.หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามฝ่ายความมั่นคง
ส่วนความคืบหน้าในปฏิบัติการรายวัน ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 เซ็นคำสั่งให้ พ.ต.อ.เขมพัทธ์ โพธิพิทักษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร คลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติราชการตำรวจภูธรภาค 1 และให้ พ.ต.อ.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ไปรักษาการแทน
โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่ามีการออกหมายเรียกบุคคลที่มีพฤติกรรม ขัดขวางและปลุกระดมในพื้นที่ประกาศมาตรา 44 ประกอบด้วย 1. นายอัยย์ เพชรทอง 2. นางกชกร ไชยวาน และ 3. นายพยุง อุณหิต โดยให้มารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ตชด.ภาค1 ในวันที่ 3 มีนาคม นี้
มีความเห็นจากนักวิชาการและนักกฎหมายต่อกรณีดังกล่าว
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ค้นเสร็จตามหมายค้น ดีเอสไอต้องกลับกรม ทำการค้นแล้วไม่พบบุคคลที่ถูกออกหมายจับ ไม่เจอของผิดกฎหมายที่จะยึดจากความผิดที่กล่าวหา ตามที่ระบุไว้ในเหตุออกหมายค้น ถือว่าการค้นเสร็จสิ้นแล้ว การออกหมายค้นรวมทั้งอำนาจในการปฏิบัติการตามหมายค้น ก็ได้เสร็จสิ้นยุติไปแล้ว หากดีเอสไอจะอาศัยอำนาจใดๆหรือแม้กระทั่งอำนาจ ตามคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 5/2560 ย่อมเข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจไม่สุจริต ทางกฎหมายเห็นว่าเป็นการออกคำสั่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ วัดและผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมจากศาลที่ออกหมายค้นได้ หรือศาลรัฐธรรมนูญได้แล้วแต่กรณี และที่สำคัญหมายค้นดังกล่าวได้ครบกำหนดเวลาให้อำนาจค้นแล้ว
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ระบุว่า สถานการณ์วัดพระธรรมกายไม่น่าไว้ใจ ขณะที่พระนอกวัดอดอาหารจนทนไม่ไหวไปแล้ว พระและญาติโยมฝ่ายในวัดยังถูกปิดล้อมไม่หยุด การที่พลเอกประยุทธ์' เรียกแม่ทัพภาคหนึ่งเข้าพบ พร้อมแสดงแผนที่วัดพระธรรมกาย ส่วน 'เสธ.วินธัย' ประกาศไม่หยุดใช้ มาตรา44 ไม่สนแม้เสียงพุทธโลกโจมตีว่ารัฐบาลนี้ทำลายศาสนา ส่วนระดับปฏิบัติก็เพิ่มบทบาททหาร ตั้งด่านตรวจพระพร้อมโจมตีว่าคณะสงฆ์เป็นก๊วนชุมนุมการเมือง/ นายศิโรตม์ ระบุว่า สัญญาณของการใช้กองทัพภาคจัดการวัดรุนแรงขึ้น โดยไม่มีวี่แววว่ารัฐจะถอนกำลังและหยุดปิดล้อมวัดธรรมกายอย่างที่สังคมต้องการ
ล่าสุด มีรายงานว่า เมื่อช่วง 12.00 น.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการปปิดล้อมวัดพระธรรมกายครั้งนี้อีก 1 ราย ทราบชื่อคือ น.ส.พัฒนา เชียงแรง อายุ 48 ภูมิลำเนาจังหวัดพะเยา เป็นพยาบาลอาสาของวัด โดยเวลา 11.29 น. ได้รับแจ้งจากผู้ป่วยโรคหอบหืด ต้องการยาพ่น ซึ่งพักอยู่ที่หลังวัด ในพื้นที่ 58 ไร่ ซึ่งปกติจากจุดรับเรื่องถึงที่พักผู้ป่วยใช้เวลาเดินทางเลียบคลองแอล 10 นาที แต่ทางหน่วยกู้ชีพรัตนเวช ติดด่านตำรวจ-ทหาร เพราะตัดสินใจไม่ได้ ต้องถามสอบเจ้าหน้าที่ DSI เท่านั้น หน่วยฯรัตนเวช ที่รับเรื่องจึงได้ประสานงานให้รถหน่วยกู้ชีพ 1669 ให้ไปรับคนไข้แทน แต่รถ 1669 มาตามเส้นทางไม่ถูก และไม่ได้รับอนุญาตให้รับคนไข้ที่อื่น นอกจากประตู 7 เท่านั้น
อาสาสมัครรัตนเวช แจ้งว่า ต้องเสียเวลา ย้อนไปที่ประตู 7 เพื่อทำเรื่องขออนุญาต และนำทางให้รถ 1669 ไปรับผู้ป่วย เมื่อไปถึงในเวลา 12.39 น. พบผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว เสียเวลาในการติดต่อและผ่านเจ้าหน้าที่ ทั้งหมด 1 ชั่วโมง 10 นาที
source ;- http://www.komkhao.com/content/9901
แสดงความคิดเห็น